บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 เบื้องหลังประวัติท่านจอหงวน

ฮ่องเต้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก เห็นดังนั้นมู่กงกงก็รีบปรี่เข้ามาเชื้อเชิญเว่ยชินอ๋องออกจากตำหนัก เซี่ยเว่ยมองพี่ชายตนเองอย่างปลง ๆ เขารู้อยู่แล้วพี่สิบของเขานั้นไม่ฉลาดด้านการรบ ที่ยังบริหารบ้านเมืองมาได้นานถึงเพียงนี้ก็เพราะมีแม่ทัพนายกองคอยค้ำยันฉางอันไว้ หาไม่แล้วป่านนี้ซันไห่ก็คงตกไปอยู่ในกำมือของพวกนู่เจิน ประชาชนชาวฉางอันคงโดนพวกมันแล่เนื้อเถือหนังจนตาย

เว่ยชินอ๋องทำความเคารพเซี่ยเฉินอีกครั้ง เขาเดินออกไปเงียบ ๆ หูพลันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเซี่ยเฉินลอยแว่วมากับสายลม ท่านแม่ทัพอู๋ซานดวงตาสว่างวาบ หลังจากกลับมาจากวังหลวง เขาสาบานกับตนเองในใจ

หากวันนั้นมาถึง เขาจะยอมละทิ้งเมืองหลวงแต่จะไม่ยอมละทิ้งซันไห่เด็ดขาด

ท่านแม่ทัพเดินเข้าห้องหนังสืออย่างหงุดหงิด มือปาเสื้อคลุมปักลายพยัคฆ์เนื้อดีลงกับพื้นอย่างแรง เขากำลังจะหาสิ่งของมาระบายอารมณ์ สายตาก็เหลือบไปเห็นมือขวาของตนเองที่ยืนแอบอยู่ด้านข้าง

“ยังไม่ไปอีก”

“ขออภัยขอรับท่านแม่ทัพ” ชายคนนั้นค่อย ๆ คืบคลานออกมาจากกำแพง “ข้ามีเรื่องท่านจอหงวนมารายงานขอรับ”

เซี่ยเว่ยชะงักไป เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เดี๋ยวนี้เองว่าตนเองสั่งให้อีกฝ่ายไปสืบเรื่องของจี้ชิงหยางด้วย อาจจะเพราะเรื่องของข่านเผ่านู่เจินใหญ่จนเขาปัดเรื่องอื่นให้ตกไปจากหัวก็เป็นได้ ท่านแม่ทัพอู๋ซานเดินไปที่โต๊ะกลม เอ่ยเสียงเรียบ “ว่ามา”

มือขวาหยิบปึกกระดาษออกมาวางให้ท่านแม่ทัพ มันเป็นหลักฐานที่เขาพอหามาได้ในเวลาสั้น ๆ นี้ รอกระทั่งท่านแม่ทัพพลิกขึ้นอ่าน เขาถึงเริ่มรายงาน “จี้ชิงหยางเป็นบัณฑิตยากจนจากวัดแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวงขอรับ ข้าไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้น เขาเล่าว่าจี้ชิงหยางเป็นเด็กที่หลวงจีนเก็บมาจากหมู่บ้านที่เกิดน้ำท่วมรุนแรงจนคนในหมู่บ้านนั้นตายทั้งหมดเหลือแต่เขาที่ยังเป็นเด็กทารก หลวงจีนเอาเขากลับหมู่บ้านแต่พวกชาวบ้านไม่มีกำลังจะเลี้ยงดูได้ หลวงจีนท่านนั้นจึงเก็บเขาไปเลี้ยงเอง”

เซี่ยเว่ยไล่สายตาไปตามตัวอักษรพวกนั้น “เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ละทางโลกได้มากขนาดนั้นงั้นหรือ”

“ขอรับ หลวงจีนท่านนั้นเลี้ยงจี้ชิงหยางในฐานะลูกศิษย์และมักจะพาเขาออกธุดงค์ไปทั่ว เพิ่งจะกลับมาปักหลักที่หมู่บ้านเหลียนจงเมื่อไม่กี่ปีก่อนเพราะหลวงจีนท่านนั้นเริ่มชราภาพขอรับ อีกอย่าง จี้ชิงหยางไม่ยอมบวชตามพระอาจารย์จึงได้รับการสั่งสอนให้เป็นบัณฑิตแทน แต่เพราะเขาเป็นคนฉลาดมาก เพียงไม่ถึงปีก็สามารถสร้างทำนบกั้นน้ำให้หมู่บ้านจนรอดพ้นจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกปี ชาวบ้านพวกนั้นซาบซึ้งน้ำใจเขามากจึงรวบรวมเงินส่งให้เขาเข้ามาสอบเป็นจอหงวนขอรับ”

เซี่ยเว่ยวางกระดาษกองนั้นลงกับโต๊ะ เขาประสานมือวางไว้ที่ตัก “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเป็นความจริง”

มือขวาของท่านแม่ทัพส่ายศีรษะ “ข้าไปสืบมาแล้วขอรับ ชาวบ้านที่นั่นต้องเจอกับน้ำท่วมทุกปี บางปีรุนแรงจนผลผลิตเสียหาย ถึงหลัง ๆ มาจะเริ่มไม่รุนแรงมากแต่ก็ไม่ถึงกับร่ำรวย แม้จะรวบรวมเงินทั้งหมู่บ้านแล้วก็ยังไม่พอส่งเขาเข้าเมืองหลวงแน่นอนขอรับ พวกชาวบ้านเล่าว่ามีนายพรานคนหนึ่งไปเจอพวกจอมยุทธ์ที่กำลังประลองฝีมือกันอยู่ หลังจากที่จอมยุทธ์ผู้นั้นสะบั้นคออีกฝ่ายเสร็จก็หายลับไป นายพรานที่จดจำใบหน้าผู้ตายได้จึงนำศีรษะไปขึ้นค่าหัวได้มาเกือบสองพันตำลึงเงิน”

“สองพันตำลึงเงิน?” ท่านแม่ทัพอู๋ซานขมวดคิ้ว นั่นถือเป็นเงินที่มหาศาลในหมู่ชาวบ้านเลยทีเดียว “เจ้าจอมยุทธ์นั่นไปก่อคดีอะไรไว้”

“ปล้นสะดมเสบียงของทางการขอรับ”

“อ้อ” เขาพยักหน้า “เจ้าพูดต่อ”

“นายพรานคนนั้นเก็บเงินไว้เองห้าร้อยตำลึงเงิน อีกหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเงิน เขานำไปมอบให้วัดขอรับ”

ท่านแม่ทัพเคาะนิ้วลงบนเอกสารพวกนั้น “เจ้าหมายความว่า มีใครที่ไหนไม่รู้ทำร้ายชางหลี่เฉียงจนตายแล้วก็เอาหัวมอบให้นายพรานโง่ ๆ คนหนึ่งในหมู่บ้านไปขึ้นค่าหัว แล้วนายพรานนั่นก็เอาเงินเจ็ดในสิบส่วนไปมอบให้วัด? จอมยุทธ์ผู้นั้นเป็นใคร แล้วนายพรานผู้นั้นเป็นใคร”

สายสืบค้อมศีรษะลง “ไม่ทราบขอรับ แต่พรานป่าที่เป็นผู้นำศีรษะไปขึ้นเงินบอกว่าได้ยินลูกน้องของอีกฝ่ายเรียกว่าพี่หลี่จื้อขอรับ ส่วนเรื่องเงินชาวบ้านเล่าว่าบุตรชายของนายพรานเคยได้จี้ชิงหยางช่วยไว้ขอรับ คราแรกตั้งใจจะยกเงินให้ทั้งหมดแต่หลวงจีนไม่ยอมรับไว้ พรานป่าจึงดึงเงินออกมาเล็กน้อยแล้วส่งมอบให้ตามเดิม เขาอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้ชาวบ้านเลยบริจาคทั้งหมด จี้ชิงหยางถึงได้มีเงินมาสอบที่เมืองหลวงขอรับ”

เซี่ยเว่ยพยักหน้ารับเบา ๆ เขากำลังใช้ความคิดหาช่องโหว่ในเรื่องนี้อย่างหนัก “เจ้าสืบเรื่องจี้ชิงหยางเป็นคนวางแผนรึยัง”

“สืบแล้วขอรับ มีชาวบ้านบางคนคิดว่าเขาวางแผนเองทั้งหมด แต่ตามที่ข้าสืบมาได้เขาไม่เคยพบปะกับพวกขุนนางในราชสำนักมาก่อน ไม่มีทางที่จะรู้ว่าชางหลี่เฉียงโดนราชสำนักขึ้นค่าหัวไว้แน่นอนขอรับ อีกอย่างหมู่บ้านนั้นก็อยู่ห่างไกลมาก และเขามักจะไม่ออกจากวัดจึงไม่ค่อยได้พบปะผู้อื่นขอรับ”

ทว่าท่านแม่ทัพยังมีจุดติดใจ “แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมนายพรานนั่นถึงได้เอาหัวของชางหลี่เฉียงไปขึ้นค่าหัวได้กัน หากเขาอยู่หมู่บ้านเดียวกับจี้ชิงหยาง เขาก็ไม่น่าจะรู้”

“เรื่องนั้นเป็นเพราะหลี่จื้อขอรับ” สายสืบถือวิสาสะเปิดกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นมา ในนั้นมีรูปวาดของหลี่จื้ออยู่ “เขาเป็นชาวนาที่ผันตัวไปฝึกยุทธเพราะครอบครัวถูกโรคระบาดคร่าชีวิตจนหมด เดิมทีเป็นคนในหมู่บ้านแต่ออกล่าค่าหัวไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีคนมาติดตาม มักจะออกฆ่าพวกขุนนางกังฉินตัวเล็ก ๆ ละแวกเมืองหลวงขอรับ ตอนที่ครอบครัวเขาเกิดโรคระบาดนั้นพวกขุนนางท้องถิ่นดันเก็บงำเสบียงไว้ไม่ยอมนำออกมาใช้จ่าย ทางวังหลวงจึงส่งไปเพิ่มแต่ชางหลี่เฉียงดันมาปล้นเสบียงเสียก่อน ครอบครัวเขาเลยอดตายขอรับ”

ท่านแม่ทัพพยักหน้า ความแค้นของใครเขาไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยว หากแต่ก็ไม่คิดจะปล่อยไว้เฉย ๆ เช่นกัน “เจ้าคอยจับตาดูเจ้าหลี่จื้อนั่นให้ดี หากกำเริบเสิบสานมากนักก็จัดการเสีย แต่หากมีประโยชน์ก็ดึงมาใช้งาน”

มือขวาของเขาออกไปแล้วแต่ท่านแม่ทัพยังคงขบคิดเกี่ยวกับตัวของจี้ชิงหยาง สายข่าวของเขาไม่เคยพลาดมาก่อน เรื่องข่าวกรองถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการเดินทัพ หากสายสืบของเขายืนยันว่าเจ้าหนุ่มจอหงวนนี่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับขุนนางอื่นก็คงเป็นเรื่องจริงแล้ว เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาภูตผีหายตัวถึงหลบเลี่ยงสายตาของจวนชินอ๋องได้

ท่านแม่ทัพตัดสินใจในที่สุด จี้ชิงหยางเหมาะจะเป็นลูกเขยของเขาอย่างถึงที่สุด ทั้งไม่มีภูมิหลังและไม่สนใจลาภยศ คนเช่นนี้เท่านั้นถึงจะปกป้องเซี่ยลี่เจินจากหยาดฝนเลือดของการแย่งชิงบัลลังก์ได้ หลังจากนั้นห้าวันติด ๆ กันที่ท่านแม่ทัพเพียรพยายามส่งฎีกาขอยืมตัวจี้ชิงหยางแต่ก็ถูกฮ่องเต้ปฏิเสธเรื่อยมา แม้แต่การเข้าเฝ้าในห้องทรงพระอักษรก็ถูกสั่งห้าม แม่ทัพอู๋ซานสายตาดำมืด พ่อลูกสุนัขคู่นั้นคงคิดจะใช้จี้ชิงหยางเป็นฐานรองบัลลังก์ของตนเองเป็นแน่แท้

เซี่ยเฉินอยากได้จี้ชิงหยางไว้ช่วยงานรัชทายาท ด้วยความคิดที่ฉลาดล้ำเลิศถึงปานนั้นเขาต้องช่วยเสริมอำนาจให้รัชทายาทได้แน่ แต่ตัวจี้ชิงหยางกลับไม่เคยคิดหวังในอำนาจ เขาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ระวังไม่ให้ไปแตะเกล็ดย้อนของฮ่องเต้เข้า กระนั้นเซี่ยเฉินก็ยังไม่ยอมแพ้ จัดงานเลี้ยงฉลองถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อหลอกสายตาผู้อื่นว่าจี้ชิงหยางเป็นคนของรัชทายาทแล้ว ทั้งยังเป็นการกดดันจี้ชิงหยางอยู่ในที หากวันนี้คนทั้งหมดรับรู้กันทั่วว่าเขาเป็นคนของรัชทายาท วันหน้าเขาจะบิดพลิ้วได้อย่างไร

ทว่านอกจากจี้ชิงหยางจะไม่สนใจงานเลี้ยงพวกนั้นแล้ว เขายิ่งแสดงออกภายในการประชุมเช้าของขุนนางหนึ่งวันหลังการสอบหน้าพระที่นั่งอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการตำแหน่งอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น และเขาจะไม่เข้ากับฝ่ายใดเด็ดขาด เขาไม่ได้ตอบรับคำชวนด้วยการอ้างคำสั่งของฮ่องเต้แต่หลังจากที่ฮ่องเต้เอ่ยปากอนุญาตให้เขาไปที่จวนชินอ๋องได้ เขาก็ต้องวนเวียนไปจวนนั้นจวนนี้อย่างเสียไม่ได้

จี้ชิงหยางไปจวนพวกนั้นประเดี๋ยวประด๋าว เขาทานข้าว ถกเถียงเรื่องพุทธเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับ ในบทสนทนาพวกนั้นแทบไม่มีเรื่องอำนาจอยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนงานที่พวกปราชญ์จัดขึ้นนั้นเขาก็ไม่เคยเหยียบย่างเท้าเข้าไป ปฏิเสธตำแหน่งราชครูอย่างชัดเจนจนข่าวลือในหมู่ขุนนางเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ว่าบางทีแล้ว จี้ชิงหยางอาจจะไม่ใช่คนของวังบูรพาก็เป็นได้

ท่านแม่ทัพรำพึง “คนที่ไร้ความโลภโมโทสันนั้น มีรึจะอยากถูกใช้เป็นเครื่องมือ คนเช่นนี้แหละเหมาะจะดูแลลี่เอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง”

ท่านแม่ทัพตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เพื่อบุตรสาวอันเป็นที่รักยิ่งของเขา หากคุยกับฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่ได้ผล เขาก็จะหาวิธีอื่นเอง คนมีขาเดินด้วยตนเอง หากจี้ชิงหยางอยากจะมา เขาก็อยากจะเห็นนักว่าเซี่ยเฉินจะทำอย่างไรเพื่อรั้งตัวชายหนุ่มเอาไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel