บทย่อ
คำโปรย จี้ชิงหยางรับมือกับฮ่องเต้ว่ายากแล้ว รับมือกับภรรยาที่ออกจะ...ซื่อบื้อ ยากยิ่งกว่า เฮ้อ!ภรรยาโฉมงามแต่ฉลาดน้อย เขาเลือกถูกหรือไม่ที่รับภาระนี้มา สปอยล์ “เจ้าอ่านดูสิ แล้วจะรู้ว่าข้าแอบคุยกับสตรีอื่นลับหลังเจ้าหรือไม่” เซี่ยลี่เจินไม่อยากอ่านแต่ก็ทนความอยากรู้ของตนเองไม่ไหว นางหลุบสายตาลงค่อย ๆ ไล่สายตาตามตัวอักษรสีเข้มบนหน้ากระดาษ นางหยุดสะอื้นแล้ว ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำซ้ำยังลามไปถึงลำคอ เนื้อหาจินผิงเหมยมันมากกว่าที่นางคิดไว้ เซี่ยลี่เจินอึ้งไปสักพักก็รู้สึกว่ากายร้อนรุ่มขึ้นมา นางรีบตวัดมือปิดหนังสือดังฉับ อับอายสามีจนไม่อาจสู้หน้าเขาได้ นางผุดกายลุกขึ้นอยากจะให้ธรณีสูบล้างอายเสียเดี๋ยวนั้น แต่จี้ชิงหยางก็ไม่ยอมให้นางเดินหนีไป เขานั่งลงแทนที่นาง ออกแรงเพียงนิด ร่างบอบบางของภรรยาก็ตกลงสู่อ้อมกอด จี้ชิงหยางหัวเราะเสียงเบา เอ่ยถามข้างใบหูขาวสะอาด “อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรเล่า ข้ายังแอบคุยกับสตรีอื่นอยู่หรือไม่”
ตอนที่ 1ทูตสวรรค์แห่งฉางอัน
ราวยี่สิบปีก่อน ที่เมืองเล็ก ๆ นอกฉางอัน เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทูตสวรรค์ที่เง็กเซียนเคยส่งลงมาช่วยปัดเป่าเภทภัยให้กับปุถุชนพิภพเบื้องล่าง ทูตสวรรค์ผู้นั้นทั้งหล่อเหลาและเฉลียวฉลาด ภรรยาของเขาผู้นั้นรูปโฉมเป็นเลิศ พริ้งเพราไปทั่วทุกสัดส่วนจนถูกเรียกขานว่าองค์หญิงอยู่เนือง ๆ ทว่าหลังจากผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ทูตสวรรค์ที่ผู้คนพากันนับถือก็หายเข้ากลีบเมฆไป ไม่มีผู้ใดได้ข่าวคราวอีก
บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ผู้นั้นบรรลุพระประสงค์ของเง็กเซียนฮ่องเต้จึงกลับขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า บ้างก็ว่าเขายังคงอยู่พิภพล่าง คอยสอดส่องฉางอันให้ปกติสุขไม่ห่างหาย แต่ต่อให้เล่าลือกันไปมากเพียงใด ทูตสวรรค์ผู้นั้นก็ไม่เคยปรากฏกายต่อสายตาฝูงชนอีก นานวันเข้าฉางอันก็ค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องของบุรุษผู้นี้ไปตามกาลเวลา
แต่หากมีใครสักคนกล่าวถึงวีรกรรมโด่งดังคับฟ้าของเขาขึ้นมากลางวงน้ำชาแล้วล่ะก็ พวกผู้เฒ่าผู้แก่จะต้องจดจำเขาได้อย่างแน่นอน
ในอดีตกาล ฉางอันยังไม่ใช่แผ่นดินใหญ่อย่างทุกวันนี้ ยังเป็นเพียงที่ดินที่มักจะมีชนเผ่าเร่ร่อนกระจัดกระจายคอยต่อสู้แย่งชิงอาหาร น้ำ และสตรีกันอยู่เนือง ๆ ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่สิบปีก็มีมหาบุรุษผู้หนึ่งถือกำเนิด เขาคนนั้นสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นและแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด หลังจากนั้นฉางอันก็ถูกถือครองโดยคนสกุลเซี่ยตลอดมา
รัชศกเซี่ยเฉินที่ยี่สิบเอ็ด หลังการสอบหน้าพระที่นั่งในฤดูใบไม้ร่วง บุรุษมากหน้าหลายตาต่างถูกส่งออกจากวังหลวงด้วยความคิดที่ไม่ต้องพระทัย แต่นั่นไม่ใช่กับท่านจอหงวนคนใหม่ที่นั่งถกข้อราชการกับฮ่องเต้เกือบสามชั่วยาม จนในที่สุด เซี่ยเฉิน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ตรัสเสียงดังว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นจอหงวน เตรียมเข้ารับตำแหน่งในราชสำนัก และถึงกับยอมทุ่มเงินในท้องพระคลังจำนวนมากเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองยินดีในครั้งนี้
เซี่ยเฉินนั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง ขุนนางน้อยใหญ่ในชุดราชสำนักยืนเรียงรายอยู่รอบด้าน มีเพียงบุรุษหนุ่มผู้นั้นที่ใส่ชุดสีขาวสะอาดที่ได้รับเกียรติให้ยืนอยู่ข้างบัลลังก์ ถัดจากมู่กงกง ขันทีคนสนิทของพระองค์
เซี่ยเฉินตบโต๊ะดังปัง เขาเอ่ยอย่างพออกพอใจ “ตลอดเวลาที่เจิ้นขึ้นรับราชบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อ ไม่เคยมีบัณฑิตผู้ใดที่ฉลาดล้ำเลิศถึงเพียงนี้ มหาบุรุษที่มีสติปัญญามากเช่นนี้ ไม่พบเจอในฉางอันมาเกือบร้อยปีนับตั้งแต่ท่านผู้เฒ่าสกุลโหย่วสิ้นไป หากเจิ้นไม่รั้งเขาไว้ก็คงผิดต่อสวรรค์ที่เมตตาฉางอันแล้ว”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นหน้า ใบหน้าอวบอูมด้วยชั้นไขมันกระเพื่อมเสียจนคนมองรู้สึกขยะแขยง เสนาบดีผู้นั้นยกยิ้มประจบประแจง “เป็นเพราะฝ่าบาทมีบุญบารมีมาก ปกครองฉางอันด้วยความเที่ยงธรรมเสมอมา เง็กเซียนฮ่องเต้ถึงส่งทูตสวรรค์ลงมารับใช้พระองค์ ทูตสวรรค์รับใช้โอรสสวรรค์ สมควรอย่างถึงที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยิ่งได้ฟังคำยกยอปอปั้นนั่นเซี่ยเฉินยิ่งมีความสุข เขาลูบเครามังกรของตนเองก่อนจะกล่าวย้ำๆ “ดี ดี กล่าวได้ดี ถ่ายทอดคำสั่งเจิ้นลงไป เจ็ดวันเจ็ดคืนนับจากนี้เราจะจัดงานฉลองต้อนรับทูตสวรรค์ไปพร้อม ๆ กับบวงสรวงให้ชาวชั้นฟ้า!”
ขุนนางทั้งหลายต่างคุกเข่าค้อมศีรษะ “ตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในวันเดียวกันก็มีม้าเร็วรีบส่งข่าวให้ขุนนางทั่วทั้งฉางอัน พวกที่อยู่ไกลหน่อยรีบตามพระราชสาสน์ว่าจะมาร่วมให้ทันวันสุดท้าย ส่วนพวกที่อยู่ใกล้ก็รีบเก็บข้าวของมุ่งกลับเมืองหลวงทันที ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากเห็นจอหงวนที่ล้ำเลิศนักหนาจนถูกอกถูกใจนายเหนือหัวเข้า อีกส่วนกลับเข้าเมืองหลวงเงียบๆ เปิดตารอดูทิศทางกระแสลมภายในราชสำนักที่เริ่มผันผวน
เป็นจอหงวนคนสำคัญของฮ่องเต้คิดว่าจะมีชีวิตรุ่งโรจน์ไปได้ตลอดหรือ ตำแหน่งนั้นพวกขุนนางใหญ่ต่างหมายตาไว้ให้บุตรชายตนเองมากขนาดไหนรู้หรือไม่ ได้ยินว่าบุตรชายคนที่สามของท่านเสนาบดีใหญ่หมายมาดคุยโตโอ้อวดไปทั่วว่าลูกสามที่ล้ำเลิศที่สุดในแผ่นดินฉางอันของเขาต้องคว้าตำแหน่งจอหงวนมาได้แน่ แต่สุดท้ายกลับเอื้อมถึงแค่ปั๋งเหยี่ยน ซ้ำตนเองยังต้องมาจัดงานต้อนรับทูตสวรรค์อันใดนี่อีก ไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีจะโกรธแค้นจนเลือดลมตีกลับเพียงใด
แต่ผู้ใดจะสังสรรค์ ผู้ใดจะโกรธแค้น ผู้ใดจะมุดหัวอยู่ในกระดองก็ช่างเขาเถิด เพราะจวนของท่านแม่ทัพอู๋ซานนั้นใกล้แตกเป็นเสี่ยงๆ เต็มที ใบหน้าคร้ามแดดและมีรอยแผลเป็นจาง ๆ ใต้โหนกแก้มขวางปาพระราชสาสน์จากฮ่องเต้ลงพื้นอย่างแรง แม่ทัพใหญ่โมโหเสียจนเลือดขึ้นหน้า ไม่รักษากิริยาอันใดอีก
ฮูหยินท่านแม่ทัพรีบส่งสายตาไล่พวกคนสนิทออกไป นางเดินเข้าใกล้สามี ฝ่ามือบอบบางแตะลงบนหน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างแรงนั่น
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่ เหตุใดถึงได้โมโหถึงเพียงนี้กัน”
แม่ทัพอู๋ซานแม้จะเป็นคนหยาบกร้าน แต่เขาก็อ่อนโยนกับภรรยายิ่ง ถึงจะโมโหสักแค่ไหนแต่เขาก็ยังลดเสียงลงไม่ให้ภรรยาคนงามตกใจ
“ฮ่องเต้ส่งสาสน์เรียกขุนนางเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับจอหงวนคนใหม่”
ฮูหยินขมวดเรียวคิ้ว “ก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือเจ้าคะ งานแบบนี้ก็มีทุกปี ข้ายังต้องพาลี่เอ๋อร์ไปร่วมงานอยู่เลย”
“ปีนี้จัดเจ็ดวันเจ็ดคืน” แม่ทัพอู๋ซานเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ทั้ง ๆ ที่ชายแดนเพิ่งจะหายจากโรคระบาด แต่ฮ่องเต้อันทรงธรรมของฉางอันกลับจัดงานเลี้ยงถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน”
ซ่งฮูหยินเข้าใจโดยพลัน สามีของนางแม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงเว่ยชินอ๋องแต่ก็ยังต้องคอยประจำเป็นแม่ทัพที่ชายแดนอยู่เนือง ๆ ปีนี้พืชผลเก็บเกี่ยวได้ไม่ดีนักจึงมีคนย้ายเข้าไปเมืองชายแดนของเว่ยอ๋องค่อนข้างมาก แต่เพราะเสบียงที่สะสมไว้มักจะถูกกันไว้ให้พวกทหารก่อน ที่นำออกมาแจกได้ก็แจกไปหมดแล้ว ที่สามารถควักเนื้อได้ก็ควักจนหมดสิ้นแต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อประชาชนที่อดอยากและหิวโหย
ซ่งฮูหยินเหม่อมองออกนอกบานหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ สายลมแผ่วพลิ้วพัดเอาไอเย็นลอยแตะลงบนผิวแผ่วเบา นางพึมพำ
“หน้าฝนกำลังจะมาในอีกไม่ถึงเดือน” ก่อนจะช้อนสายตามองสามี
“แล้วแบบนี้คนที่ชายแดนเล่าเจ้าคะ พวกเขาจะทำอย่างไรถ้าไม่ได้เงินอุดหนุนจากราชสำนัก”
ขอทานในเมืองชายแดนนั้นส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นเกษตรกร แต่เมื่อผลผลิตที่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจประคบประหงมอยู่เกือบปีนั้นขายไม่ได้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงจะผ่านฤดูฝนไปได้แต่ก็คงหนาวตายอยู่ข้างถนนช่วงเหมันต์อยู่ดี
แม่ทัพอู๋ซานถอนหายใจ เขายกมือขึ้นนวดคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า งานที่ชายแดนเร่งด่วนนัก แต่จะไม่เข้างานเลี้ยงก็คงไม่ได้
“ข้าจะสั่งให้คนที่ชายแดนเตรียมเสบียงให้ได้มากที่สุดก่อน ข้ากลับชายแดนเมื่อไหร่ค่อยไปดูด้วยตนเอง เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ไปช่วยลี่เอ๋อร์เตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้เถอะ”
“เจ้าค่ะ” ซ่งฮูหยินพยักหน้ารับ