บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 ท่านแม่ทัพเซี่ยเลือกบุตรเขย

ท่านแม่ทัพอู๋ซานยืนมือไพล่หลังอยู่ภายในห้องหนังสือ ดวงตาเขาทอดมองออกไปไกลจนไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าเขากำลังมองสิ่งใดอยู่ ในหัวพลันคิดไปถึงเรื่องเมื่อบ่าย จี้ชิงหยาง จอหงวนคนสำคัญผู้นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่มันติดอยู่ในใจเขาจนไม่สามารถสลัดออกไปได้

ถึงแม้เซี่ยลี่เจินจะดูไม่ออกว่าจี้ชิงหยางอายุอานามยังไม่มากนัก แต่กับแม่ทัพที่ขึ้นเหนือล่องใต้ซ้ำยังเคยอาศัยอยู่ในสถานที่ดูดกลืนผู้คนอย่างวังหลวงมีหรือจะไม่รู้ จอหงวนนั่นยังหนุ่มยังแน่นแต่กลับมีความรู้แตกฉานราวกับนักปราชญ์ชื่อดัง ซ้ำยังรู้จักปล่อยวางในสิ่งของนอกกายคล้ายกับพระธุดงค์ที่ออกแสวงหาบุญบนพิภพล่างที่แปดเปื้อนไปด้วยบาปทั้งปวง

บุรุษที่เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญาเช่นนี้ เขาขบคิดให้หัวแทบแตกอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมถึงได้พาตนเองเข้ามาในวังวนโสมมของราชสำนักกัน เท่าที่ได้หยั่งเชิงอีกฝ่ายไป จี้ชิงหยางเป็นพวกไม่แสวงหาอำนาจโดยแท้ เขามองหาผลประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เสมอ เป็นนิสัยที่หาได้ยากจนคนหยาบกระด้างเช่นท่านแม่ทัพก็ยังเผลอรู้สึกเลื่อมใสในตัวเขาขึ้นมาคราหนึ่ง

เว่ยชินอ๋องพลันมีความคิดขึ้นมาในจิตใจ หากลี่เอ๋อร์ได้ลงเอยกับคนเช่นจี้ชิงหยาง คนเป็นพ่ออย่างเขาจะต้องกังวลสิ่งใดอีกเล่า แต่กระนั้นประวัติอีกฝ่ายก็สำคัญยิ่ง หากอีกฝ่ายเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามที่แฝงเข้ามาในฉางอันนั่นคงเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตลูกสาวของเขาเอง ซ้ำฮ่องเต้และไท่จื่อดูจะต้องการดึงตัวอีกฝ่ายไปเข้าร่วมด้วยอย่างมาก เขาคงต้องไปพบจี้ชิงหยางอีกครั้งเพื่อหยั่งท่าทีอีกฝ่าย หากท่านจอหงวนมีท่าทีจะเข้าร่วมกับสองพ่อลูกนั่น เขาคงต้องตัดเรือนี้ทิ้งเสีย

เขาจะไม่ยอมปล่อยมือลูกสาวจนกว่าจะมั่นใจว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นต้นไม้ใหญ่ให้นางได้พักพิงไปทั้งชีวิต เซี่ยลี่เจินต้องมีชีวิตที่ยืนยาว สามีต้องปฏิบัติกับนางอย่างดี ไม่ปล่อยให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจหรือทำให้นางต้องตกระกำลำบาก และต่อให้เขาต้องขัดพระประสงค์ขององค์ไท่จื่อ เขาก็ยินดียิ่ง

เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่คนเป็นพ่ออย่างเขาจะให้นางได้

หลังจากไปเยี่ยมเยียนจวนของเว่ยชินอ๋องแล้วจี้ชิงหยางยังต้องแวะเวียนไปอีกหลายจวนจนทำให้ไม่มีเวลาพบปะกับเซี่ยเฉินเป็นการส่วนตัว เรื่องในคราวนี้ทำเอาฮ่องเต้พระพักตร์หมองคล้ำด้วยความกล้ำกลืนไปหลายวัน เป็นเขาเองที่ตรัสสั่งห้ามไม่ให้จอหงวนคนใหม่ไปจวนขุนนางพวกนั้นแต่ก็เป็นเขาเองที่อนุญาตให้เว่ยชินอ๋องยืมตัวอีกฝ่ายไปได้ หากคราวนี้เขายังไม่อนุญาตให้จี้ชิงหยางไปร่วมสนทนาวงน้ำชาอีก เขาคงกลายเป็นฮ่องเต้ที่กลับกลอกในสายตาขุนนางแล้วกระมัง

เรื่องนี้ทำเอาฮ่องเต้พิโรธหนัก สั่งโบยนางกำนัลตายไปหลายคนเพียงเพราะทำอะไรไม่เข้าหูเข้าตาทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วเขาอยากจะสั่งโบยเจ้าเว่ยชินอ๋องผู้นั้นเสียมากกว่า แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าน้องชายต่างมารดานั่นมันดันเป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดน ทหารนับสิบหมื่นอยู่ในกำมือมัน หากโดนก่อกบฏขึ้นมาบุตรชายเขาจะทำอย่างไร

ในขณะที่วังหลวงกำลังร้อนเป็นไฟจากเพลิงโกรธแค้นของเซี่ยเฉิน ฟากจวนเว่ยชินอ๋อง ซ่งฮูหยินเพิ่งดูแลปรนนิบัติล้างเท้าให้สามีเสร็จ ถึงแม้นางจะมีศักดิ์เป็นถึงซ่งหวางเฟยตามตำแหน่งของสามี แต่ท่านแม่ทัพอู๋ซานกลับไม่ชอบคำเรียกขานท่านอ๋องเท่าไหร่นัก นานวันเข้า จวนของนางก็คล้ายกับจวนสามีภรรยาทั่วไป ไม่มีใครเรียกขานว่าท่านอ๋อง พระชายาหรือองค์หญิงอีก

นางเปิดประตูห้อง เตรียมจะออกไปเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเก็บกวาดก็พลันตกใจกับเงาตะคุ่มที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าจนเผลอกรีดร้องเสียงดัง

“ว้าย!”

ท่านแม่ทัพอู๋ซานวิ่งออกมาจากด้านใน ในมือเขามีกระบี่เล่มยาวถือติดมือมาด้วย “น้องหญิง! เป็นอะไรหรือไม่!”

ซ่งฮูหยินคนงามที่เคยใจดีมีเมตตากับบ่าวไพร่มีสีหน้าถมึงทึง นางรวบเสื้อคลุมขึ้นกอดตนเองอย่างโกรธจัดกล่าวเสียงแข็ง “ท่านพี่ ข้าเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะว่าหากจะหารือเรื่องงานราชการให้ท่านไปคุยกันที่ห้องหนังสือ เหตุใดถึงให้เขาเข้ามาในเรือนนอน”

นางหันไปทางมือขวาของท่านแม่ทัพ “เจ้าอีกคน รับใช้ท่านแม่ทัพมานานปีดีดัก ไม่รู้กฎที่บ่าวไพร่ห้ามเข้าเรือนนอนของเจ้านายยามวิกาลโดยไม่ได้รับอนุญาตรึ หรือเจ้าอยากจะโดนโบยกัน”

ท่านแม่ทัพอู๋ซานนิ่งอึ้ง เขามองลูกน้องสลับกับมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของภรรยาก่อนจะเลือกเอาตัวรอดไว้ก่อน เขาโอบนางเข้าห้องนอน กล่าวปลอบเสียงอ่อน “ฮูหยิน อย่าโมโหไปเลย เขาคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานข้าถึงรีบเร่งเข้ามาทั้งอย่างนั้น เจ้านอนก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

ท่านแม่ทัพเกลี้ยกล่อมภรรยาเสร็จก็เดินออกไปเรียกสาวใช้ให้นาง เขาก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่ห้องหนังสือจนมันคล้ายกับจะเป็นการวิ่งเข้าไปทุกที มือขวาของท่านแม่ทัพปิดประตูดังฉับพร้อมกับเสียงนายท่านที่ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้ารีบร้อนขนาดนี้”

มือดีคนนั้นรีบคุกเข่าลง รายงานเสียงหนักแน่น “ข่านของพวกนู่เจินสิ้นแล้วขอรับ ตอนนี้ทางนั้นกำลังวุ่นวายกับการจัดการงานศพและพิธีแต่งตั้งข่านคนใหม่ขอรับ”

ท่านแม่ทัพอู๋ซานขมวดคิ้ว พวกนู่เจินเป็นพวกที่อยู่นอกชายแดนซันไห่ของเขา มักจะชอบแอบมาปล้นสะดมตามชายขอบห่างไกลอยู่บ่อย ๆ จนเขาต้องเริ่มตอบโต้ ไม่นานก็กลายเป็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างชายแดน เขาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “รู้หรือยังว่าเป็นใคร”

“ยังไม่แน่ชัดขอรับ สายของเราในนั้นยังไม่ได้ข่าว” มือดีเงยหน้ามองท่านแม่ทัพ เห็นใบหน้าคร้ามแดดนั้นเคร่งเครียดก็รีบก้มหน้าลง “องค์ชายสองเพิ่งถูกหามเข้ากระโจมเพราะต้องธนูพิษเมื่อช่วงเย็นขอรับ”

ท่านแม่ทัพอู๋ซานพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลง ความคิดมากมายตีวนเวียนกันอยู่ในหัวจนขมับมันเริ่มจะปวดขึ้นมาราง ๆ เขาเรียบเรียงความสำคัญอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบกระดาษปึกใหญ่ขึ้นมาเขียนจดหมายเร็วไว

“สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือการที่ ‘เขา’ ได้ขึ้นเป็นผู้นำ ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็คงจะเดือดร้อนไปทั้งหมดแน่ ต้องรีบหาทางดับไฟก่อนจะลุกลาม”

ท่านแม่ทัพวางจดหมายไว้ด้านข้าง เวลาผ่านไปหลายชั่วยามจนน้ำหมึกบนกระดาษเหือดแห้งไปนานแล้ว เทียนที่จุดไว้พอให้แสงสว่างค่อย ๆ ละลายจนเปลวเพลิงสีส้มนั่นแทบจะดับอยู่รอมร่อ มีกลุ่มคนมากมายเดินเข้าออกห้องหนังสือของท่านแม่ทัพผ่านเงามืดในจวนจวบจนย่ำรุ่ง คนพวกนั้นถึงได้แยกย้ายกันไปโดยเร็ว ในมือมีจดหมายหลายฉบับเตรียมส่งออกไปให้ถึงมือผู้รับ

แม่ทัพอู๋ซานถอนหายใจเบา ๆ เขาหยิบเสื้อคลุมปักลายพยัคฆ์ขึ้นสวม เดินออกไปนอกห้องหนังสือ

“เตรียมม้า ข้าจะเข้าวัง”

“เว่ยชินอ๋อง ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเฉินละสายตาจากฎีกาในมือ เขาเหลือบสายตามองมู่กงกงอย่างไม่ชอบใจนัก “มันจะมาทำไมอีก”

มู่กงกงค้อมศีรษะลง เรื่องในคราวนั้นฮ่องเต้ยังคงโมโหท่านอ๋องไม่หาย เห็นทีคราวนี้ไม่ว่าท่านอ๋องจะมาด้วยเรื่องอันใดก็ดูท่าจะไม่สมหวังโดยง่ายแล้ว “ท่านอ๋องกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเฉินวางพู่กันขนหมาป่าล้ำค่าลงกับจานหมึก เขาโบกมือ “ให้เข้ามา”

เว่ยชินอ๋องเดินตรงเข้ายังห้องทรงพระอักษรของพี่ชายต่างมารดา เขาคุกเข่าลง “ถวายบังคมฮ่องเต้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี”

เซี่ยเฉินมองคนที่คุกเข่าต่ำกว่าตนเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาอธิบายความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ภายในอกไม่ได้ มีเพียงคำว่าเกะกะลูกตาเท่านั้นที่พอจะเข้าเค้าแรงอารมณ์ในตอนนี้ เซี่ยเฉินโบกมือ “ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเฉินรับจอกชาเคลือบทองจากมู่กงกง ดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเป็นฝ่ายถามขึ้น “มีอะไร”

เซี่ยเว่ยชินแล้วกับความเย็นชาของพี่ชายต่างแม่ และเขาก็ไม่ได้ต้องการความเอื้อเอ็นดูในฐานะน้องชายร่วมสายเลือดเลยสักนิดเดียว เขาเลิกมองอีกฝ่ายเป็นท่านพี่ผู้สูงส่งไปนานแล้ว มีเพียงฮ่องเต้บัดซบเท่านั้น

เซี่ยเว่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย กล่าวรายงาน “ข่านเผ่านู่เจินสิ้นชีพแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ทางเผ่ากำลังจะจัดหาคนใหม่ขึ้นเป็นข่านพ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยเฉินถอนหายใจ “ยี่สิบเอ็ด เจ้าก็รู้ดีว่าเวลาของข้าเทียบเท่ากับการดูแลฉางอันทั้งหมด เจ้าจะมารบกวนข้าด้วยเรื่องแค่นี้จริงๆหรือ”

เซี่ยเว่ยเงยหน้าขึ้น “แต่ฝ่าบาท คนผู้นั้นไม่ธรรมดาเลยพ่ะย่ะค่ะ หากเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำของเผ่านู่เจินขึ้นมา ฉางอันจะมีแต่เสียเปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ กระทั่งซันไห่ก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้”

ทว่าเซี่ยเฉินกลับไม่คิดจะเอาคำเตือนนั้นเก็บไปคิดจริงจัง ก็แค่ชนเผ่าเล็ก ๆ นอกด่านชายแดน กำลังทหารก็มีไม่เท่าไหร่เหตุใดเขาที่เป็นถึงฮ่องเต้ของฉางอันจะต้องหวาดกลัวด้วย

อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการวางรากฐานอำนาจให้องค์รัชทายาทต่างหาก แค่เรื่องนั้นก็ทำเอาเขาปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมของพวกชายแดนบ้านนอกนั่นหรอก 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel