ตอนที่ 4 องค์หญิงเซี่ยลี่เจิน
“ท่านพ่อเรียกหาลูกหรือเจ้าคะ”
ท่านแม่ทัพอู๋ซานเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ใบหน้าเครียดขึงนั้นพลันยกยิ้มขึ้นจาง ๆ เขาลุกจากโต๊ะไม้ทำงานมานั่งลงที่โต๊ะกลมกลางห้อง กวักมือเรียกเซี่ยลี่เจินที่ยืนเกาะขอบประตูอยู่หน้าเรือน
“เข้ามาเถอะ โตจนจะออกเรือนอยู่แล้วเจ้ายังเกาะประตูห้องหนังสือพ่อเป็นเด็ก ๆ อีกหรือ”
เซี่ยลี่เจินยิ้มกว้างรีบเดินเข้ามานั่งลงด้านข้างบิดา นางกอดแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลนั่นอย่างเอาอกเอาใจ
“ก็ข้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาห้องหนังสือของท่านพ่อนี่เจ้าคะ”
ท่านแม่ทัพลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมเงางามของเซี่ยลี่เจินอย่างอ่อนโยน เขาหลุบสายตามองรอยยิ้มสว่างไสวของบุตรสาวก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมา
“แม่เจ้าเล่าให้พ่อฟัง ว่าเจ้าตกรางวัลให้บ่าวไพร่สิบตำลึงทองหรือ”
เซี่ยลี่เจินเอนตัวออกจากท่อนแขนของท่านพ่อ นางเอียงคอ
“ใช่เจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าลูกตกรางวัลไม่ได้”
ท่านแม่ทัพอู๋ซานส่ายหน้ายิ้ม ๆ เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดของตนเองให้เข้าใจง่ายที่สุด หากพูดวกไปวนมาลูกสาวที่ค่อนข้างหัวอ่อนของเขาคงได้สับสนขึ้นมาอีกครั้ง
เขากล่าวเสียงอ่อน “ใครเป็นคนบอกเจ้าหรือ เสด็จพี่ไท่จื่อ? หรือว่าเสด็จลุงฮ่องเต้?”
ถึงแม้เว่ยชินอ๋องจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับทั้งสองพระองค์ แต่กับเซี่ยลี่เจินผู้ไม่เคยคิดอะไรได้ไกลกว่าปลายจมูกของตนเองนั้นกลับชอบสองผู้ยิ่งใหญ่ในวังถึงขนาดเรียกขานองค์ไท่จื่อว่าเสด็จพี่อยู่เนือง ๆ ทั้ง ๆ ที่องค์ไท่จื่อเป็นผู้ดึงนางจากฐานะจวิ้นจู่ไปเป็นกงจู่เพื่อที่จะส่งออกสาวงามไปเชื่อมสัมพันธ์กับชนเผ่าเพื่อ สร้างรากฐานอำนาจให้ตนเอง แต่ลูกสาวของเขาก็ไม่เคยได้รับรู้เจตนานั้นเลย ทั้งยังกล่าวถึงเดรัจฉานตัวนั้นว่าเป็นเปี่ยวเกอที่จิตใจดี ไม่มีทางทำร้ายนางแน่
ไท่จื่อสุนัขผู้นั้น มันกล้าเอาลี่เอ๋อร์ของเขาที่มีอายุเพียงหกหนาวเข้าสมรภูมิรบของพวกขุนนาง แต่เขาจะทำอย่างไรได้ เว่ยชินอ๋องที่ไร้อำนาจในราชสำนัก จะไปมีปากมีเสียงอันใดกับองค์รัชทายาทผู้สง่างามได้กัน ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกนั่นจะแอบหัวเราะเยาะเซี่ยลี่เจินมานานเท่าไหร่แล้ว แต่จะให้เว่ยชินอ๋องสอนนางในเรื่องโสมมของวังหลวง เขาก็ทำไม่ลงจริง ๆ ลูกสาวของเขาควรจะได้มีชีวิตขาวสะอาดตลอดไป ไม่ต้องคอยปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องทิศทางลมของฉางอัน
และเขาจะสร้างชีวิตแบบนั้นให้ลูกสาวด้วยมือของตนเอง
เซี่ยลี่เจินส่ายหน้าจนปอยผมเล็ก ๆ ของนางพลิ้วไหว “ไม่ใช่เสด็จพี่ไท่จื่อเจ้าค่ะ เป็นบ่าวชายคนหนึ่งที่ห้องครัวเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพอู๋ซานขมวดคิ้ว “บ่าวชายในห้องครัว?”
เซี่ยลี่เจินพยักหน้ารับ นางหยิบขนมดอกกุ้ยบนโต๊ะส่งเข้าปาก “เจ้าค่ะ เป็นชายที่ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ น่าจะเป็นคนงานของห้องครัว เขาบอกลูกว่าที่ลูกไม่ต้องทำงานหนักเป็นเพราะมีบ่าวไพร่และชาวบ้านข้างนอกคอยทำแทนลูก ลูกจึงต้องขอบคุณพวกเขามาก ๆ เจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพอึ้งไป “เขาบอกให้เจ้าขอบคุณบ่าวไพร่หรือ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
เซี่ยลี่เจินเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ท่านพ่อฟังโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าบิดาเลยสักนิด ความคิดหลายสายพลันผุดขึ้นมาพร้อมกันในหัวของผู้เป็นพ่อ แต่ที่แน่ชัดในจิตใจของท่านแม่ทัพอู๋ซานนั้น คือชายผู้นั้นไม่มีทางเป็นคนครัวแน่นอน ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นวังหลวง คนงาน บ่าวรับใช้ นางกำนัลจะได้เสื้อผ้าใหม่เพื่อผลัดเปลี่ยนทุกสองปี ไม่มีทางที่มู่กงกงจะปล่อยให้คนในวังหลวงแต่งตัวเหมือนขอทานเด็ดขาด
เพราะเซี่ยเฉินไม่ชอบอะไรไม่เจริญหูเจริญตายังไงล่ะ
เขายกยิ้ม ลูบหลังเซี่ยลี่เจินแผ่วเบา “พ่อเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ อย่าลืมหาอะไรอุ่น ๆ กินด้วยเล่า”
เซี่ยลี่เจินยิ้มรับ ลุกขึ้นยอบกายให้ท่านแม่ทัพอย่างสง่างามก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือไป ลับหลังลูกสาวนั้นใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มอย่างใจดีกลับกลายเป็นบึ้งตึงทันที มือที่ถือจอกชาบีบกันแน่นจนกระเบื้องชั้นยอดเกิดรอยร้าว คิ้วกระบี่มีกลิ่นอายสังหารแผ่ออกมาจางๆ
คนที่ปลอมตัวในวังหลวงอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าองค์หญิงที่เซี่ยเฉินแต่งตั้งด้วยตนเอง ซ้ำยังทำให้พ่อครัวใหญ่ที่มักหยิ่งผยองค้อมกายเคารพได้ถึงขนาดนั้น คนที่ใจกล้านั้นมีมาก แต่คนที่ใจกล้าและน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้เขานับได้เพียงหยิบมือเดียว
หากชายผู้นั้นบังเอิญเจอเซี่ยลี่เจินก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากมันพยายามล่อลวงลูกสาวของเขาขึ้นมาเล่า จะทำอย่างไร
ท่านแม่ทัพคิดมาถึงตรงนี้ก็จิตใจร้อนรุ่มด้วยความกระวนกระวาย เขาเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างครุ่นคิด ที่นั้นเป็นวังหลวง จะส่งสายสืบเข้าไปไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยสักนิดเดียว หากถูกจับได้ขึ้นมามีหวังพาครอบครัวต้องโทษประหารจนสิ้นสกุลแน่ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ท่านแม่ทัพเรียกพ่อบ้านใหญ่ เขากล่าวเสียงเรียบ “เจ้าเอาถุงเงินถุงนี้ไปให้พ่อครัวใหญ่ของวังหลวง กล่าวว่าเป็นสินน้ำใจที่ช่วยดูแลองค์หญิงในงานเลี้ยง”
พ่อบ้านอู่ทำงานกับท่านแม่ทัพมานาน เรื่องที่องค์หญิงน้อยเล่าเขาก็รับฟังมาจนครบถ้วนจึงพลันเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายในทันที
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
พ่อบ้านอู่อยู่ในห้องรับรองด้านข้างห้องเล็ก ขนาดแตกต่างจากห้องที่ใช้รับรององค์หญิงในครานั้น แม้พ่อครัวใหญ่จะไม่รู้ว่าพ่อบ้านจวนเว่ยชินอ๋องมาหาเขาด้วยเหตุใด แต่เขาก็ยังคงต้อนรับขับสู้อย่างดี
พ่อบ้านอู่หยิบยิ้มการค้าขึ้นมาแขวนบนใบหน้า เขาหยิบถุงเงินหนักอึ้งออกจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนไปตรงหน้าของพ่อครัวใหญ่ “สิ่งนี้เว่ยชินอ๋องให้ข้านำมาให้ท่าน ท่านอ๋องซึ้งใจกับการดูแลองค์หญิงของท่านในวันนั้นมาก หลังจากกลับจวนไปองค์หญิงยังพูดถึงน้ำแกงวันนั้นไม่ขาดปาก ท่านอ๋องเลยให้ข้ามาตกรางวัลให้ท่านขอรับ”
พ่อครัวใหญ่สงวนท่าทีเล็กน้อย แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้นเพียงครู่เดียวเขาก็ยื่นมือมาดึงถุงเงินนั่นไปถือไว้ ความหนักอึ้งและเสียงเหรียญที่กระทบกันภายในนั้นทำเอาเขาตาลุกวาว พ่อครัวใหญ่ถูมืออย่างตื่นเต้นแต่ก็ไม่ลืมประจบประแจงอีกครั้ง
“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยขอรับ หน้าที่ดูแลองค์หญิงนั้นข้าที่เป็นบ่าวไพร่ย่อมทำอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ฝากท่านพ่อบ้านอู่กล่าวคำขอบคุณถึงท่านอ๋องแทนข้าด้วย หากมีโอกาสข้าจะนำน้ำแกงไปถวายองค์หญิงอีกแน่นอน”
พ่อบ้านอู่ยิ้มจาง เขาหลุบสายตามองจอกชาในมืออย่างต้องการปิดบังแววตาขยะแขยง ปากเจ้ากล่าวว่าไม่แต่มือเจ้ากลับยัดถุงเงินพวกนั้นเข้าอกเสื้อซ้ำยังตบปุ ๆ อย่างดีอกดีใจนั่นอีก ยังจะมีหน้ามาประจบประแจงท่านอ๋องข้า พ่อบ้านอู่รอกระทั่งอารมณ์กลับมาคงที่แล้วเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ที่จริงแล้วองค์หญิงฝากคำขอบคุณมาให้บ่าวชายคนนั้นด้วย ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด ข้าอยากจะขอบคุณเขาด้วยตนเอง”
“เอ่อ-” พ่อครัวใหญ่ชะงักงัน เขาไม่แน่ใจว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี แต่เงินของผู้อื่นยังร้อนอยู่ในอกเสื้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเรื่องที่เคยรับปากเปล่าไว้เถิด พ่อครัวใหญ่รีบยิ้ม “วันนั้นไม่ใช่บ่าวชายหรอกขอรับ แต่เป็นท่านจอหงวนคนใหม่ของราชสำนักขอรับ”
พ่อบ้านอู่ไม่ทันคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นจอหงวน เขาถามต่ออย่างลืมตัว “จอหงวนงั้นหรือ?”
พ่อครัวใหญ่รีบพยักหน้า “ขอรับ ท่านจอหงวนรับอาหารมัน ๆ ไม่ไหวเลยมาขอให้ข้าทำอาหารเจง่าย ๆ ให้เขาทาน ข้าทำผัดหมี่เจให้เขาไปจานหนึ่ง เขายกออกไปกินที่ศาลาด้านนอกแต่ตอนขากลับเอาถาดพวกนั้นมาคืน เขามากับองค์หญิงขอรับ”
พ่อบ้านอู่ขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้เรียกบ่าวรับใช้ไปด้วยหรือ”
“ท่านจอหงวนบอกว่าเขาทำเองได้ขอรับ ข้าจำได้ราง ๆ ว่าวันนั้นเขาพูดว่าองค์หญิงหลงทางและอยากได้น้ำแกงอุ่น ๆ สักถ้วย ข้าก็เลยยกเข้าไปให้องค์หญิง แต่หลังจากนั้นข้าต้องกลับไปทำอาหารให้ฮ่องเต้จึงไม่ได้อยู่ด้วยขอรับ”
พ่อบ้านอู่พยักหน้ารับ เขาถามต่ออีกสองสามคำก็ลากลับจวนชินอ๋องไป