ตอนที่ 3 เปิดหูเปิดตา
พ่อครัวใหญ่ถือวิสาสะมองสีหน้าองค์หญิงก็รีบหันกลับมาขอโทษขอโพยชายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเอง เขาหันมาทำความเคารพเซี่ยลี่เจินแล้วรีบวิ่งออกไปเตรียมน้ำแกงผักอุ่น ๆ ทันที เซี่ยลี่เจินมองแผ่นหลังท่านพ่อครัวใหญ่ก่อนจะเบนสายตามองมายังชายที่พานางมา พ่อครัวใหญ่ขอโทษบ่าวรับใช้เช่นนั้นหรือ ช่างแปลกเสียจริง
เซี่ยลี่เจินสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระนั่น ชายคนนั้นหันมายิ้มให้นาง มือหยาบยกขึ้นประสานทำความเคารพองค์หญิงแห่งฉางอันเล็กน้อย เขาเบี่ยงกายยืนรออยู่ด้านข้างกระทั่งพ่อครัวใหญ่นำน้ำแกงผักร้อน ๆ มาส่งให้ถึงมือ
เซี่ยลี่เจินมองน้ำแกงสีใสที่ทำให้ความรู้สึกอยากอาเจียนหยุดชะงัก นางหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแกงดื่ม สัมผัสสดชื่นที่กระจายไปทั่วทั้งโพรงปากนั้นทำนางตาโต รีบถาม
“นี่น้ำแกงอะไรรึ ทำไมอร่อยถึงเพียงนี้”
ทว่าในตอนที่พ่อครัวกำลังจะอ้าปากตอบก็มีลูกมือคนหนึ่งตะโกนเรียกให้เขากลับไปทำอาหารเพิ่มให้องค์ฮ่องเต้ พ่อครัวมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ คำถามขององค์หญิงก็ต้องตอบแต่อาหารของเจ้าชีวิตก็จะช้าไม่ได้เช่นกัน ชายคนนั้นก้าวขึ้นหน้า เขากล่าวเสียงเบา
“ท่านพ่อครัวใหญ่กลับไปทำหน้าที่ของท่านเถิด เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้องค์หญิงฟังเอง”
พ่อครัวใหญ่รีบขอบคุณปะหลกๆ เขาวิ่งตื้อออกไปในทันที ชายคนที่รับอาสาหันมาทางเซี่ยลี่เจินที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว เขายกยิ้มบาง
“นี่เรียกว่าน้ำแกงผักกาดพ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์หญิงทานแต่อาหารรสจัดและรสมันเลี่ยนตลอดทั้งคืนเลยทำให้ท่านรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน น้ำแกงนี้จะช่วยให้ท่านรู้สึกดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยลี่เจินเอียงคอ “แต่ข้าไม่ได้ป่วยนี่”
“บางทีอาจเป็นเพราะองค์หญิงเดินทางมาไกลและอาจจะไม่ค่อยได้ทานอาหารรสจัดจ้านแบบในวังมากนัก ข้าน้อยเดาว่าที่เรือนของท่านอาหารมักจะถูกปรุงจากวัตถุดิบธาตุเย็นที่คอยช่วยเสริมพลังหยางในตัวท่านถึงทำให้ไม่คุ้นชินขอรับ”
“ข้าไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอก แต่ก็ขอบคุณเจ้า” เซี่ยลี่เจินตักน้ำแกงนั่นเข้าปากอีกครั้ง
“น้ำแกงนี่อร่อยมาก”
ชายคนนั้นค้อมศีรษะลง “กระหม่อมไม่ได้ทำสิ่งใด องค์หญิงไม่ต้องขอบคุณหรอกพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงควรขอบคุณท่านพ่อครัวใหญ่ เหล่าสาวใช้ คนงานในครัวและชาวบ้านที่อยู่ข้างนอกวังมากกว่า”
เซี่ยลี่เจินที่กำลังดื่มน้ำแกงผักกาดอยู่พลันชะงัก นางถามอย่างงุนงง
“ทำไมข้าต้องขอบคุณพวกเขาล่ะ มันคือหน้าที่ของพวกเขาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไหนจะพวกชาวบ้านอีก พวกเขาทำสิ่งใดกัน”
ชายที่รับอาสาดูแลค่อย ๆ พูด “แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะมีพวกเขาทำตามหน้าที่ ท่านจึงไม่ต้องเคี่ยวน้ำแกง ไม่ต้องผ่าฟืน ไม่ต้องล้างถ้วยจาน ส่วนชาวบ้านข้างนอกนั่นท่านยิ่งต้องขอบคุณในการเสียสละของพวกเขาไม่เช่นนั้นแม้แต่น้ำแกงผัก ท่านก็คงจะไม่มีดื่ม”
เซี่ยลี่เจินวางชามน้ำแกงลง นางมุ่นหัวคิ้ว
“ข้าไม่เข้าใจเลย”
เขายกยิ้มบาง อธิบายแก่นางอย่างอดทน “เป็นเพราะเพิ่งผ่านช่วงโรคระบาดหนัก ผู้คนเจ็บป่วยมาก อาหารขาดแคลน ถึงแม้ท่านจะดื่มน้ำแกงเพียงครึ่งถ้วยแต่พ่อครัวต้องใช้ผักกาดทั้งหัวเพื่อเคี่ยวน้ำแกงให้ท่าน หัวผักกาดหนึ่งหัวนั่นสามารถเลี้ยงผู้คนข้างนอกได้หลายชีวิต ยังไม่ต้องพูดถึงหมูแดงหรือหมูสวรรค์ที่ท่านทิ้งไว้ที่งานเลี้ยง อาหารพวกนั้นต้องถูกทิ้งขว้างในขณะที่ผู้คนนอกต้าหมิงกงต้องอดทนไม่กินอะไรเพื่องานเลี้ยงฉลองนี้”
เซี่ยลี่เจินนิ่งอึ้งไป นางค่อย ๆ คิดตามคำบอกเล่าของชายผู้นั้นก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา นางพยายามยกชามน้ำแกงดื่มจนหมดถ้วยซ้ำยังสั่งให้คนครัวเอาน้ำแกงผักพวกนั้นไปแจกคนงานได้ คนงานที่ได้รับต่างก้มมองถ้วยน้ำแกงอย่างงง ๆ พวกเขาไม่ได้ดีใจนักเพราะของเหลือดี ๆ ยังมีอีกมากมาย แต่องค์หญิงกลับประทานให้แค่น้ำแกงผัก?
ช่างทำให้คนไร้คำจะกล่าวจริง ๆ
ชายนำทางมององค์หญิงแห่งฉางอันพยายามดื่มน้ำแกงผักจนหมดด้วยสายตายิ้ม ๆ เขาเป็นฝ่ายออกปากจะไปตามสาวใช้สักคนให้พานางกลับงานเลี้ยง แต่เซี่ยลี่เจินที่พูดขึ้นมากลางคันนั้นดึงดูดความสนใจเขาไว้
“ข้าดูไร้ประโยชน์มาก เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เขาส่ายศีรษะ “หามิได้องค์หญิง ทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตนเอง เพียงท่านทำหน้าที่ตนเองได้เป็นอย่างดีก็ถือว่าดีแล้ว อีกอย่าง ไม่มีใครไร้ประโยชน์หรอกพ่ะย่ะค่ะ ทุดคนย่อมต้องมีสิ่งที่ตนเองทำได้ดีเยี่ยมแน่นอน องค์หญิงอย่าได้กังวลไป”
เซี่ยลี่เจินขมวดคิ้วคิดเงียบ ๆ “เจ้าว่าข้าและสาวใช้ที่เดินวุ่นอยู่ข้างนอกไม่มีใครไม่มีประโยชน์หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชายผู้นั้นค่อย ๆ หลบฉากเดินออกไป เขาตามสาวใช้ของเซี่ยลี่เจินที่เดินหาองค์หญิงของตนเองให้วุ่น สาวใช้นางนั้นรีบวิ่งเข้ามาขอโทษขอโพยนางเป็นการใหญ่แล้วรีบพาองค์หญิงคนสำคัญกลับงานเลี้ยง เซี่ยลี่เจินดื่มน้ำแกงถ้วยนั้นหมดแล้ว ตลอดเวลาทั้งในงานเลี้ยงและนั่งรถม้ากลับจวน นางก็เอาแต่เงียบไม่เปิดปากพูดสิ่งใด
เซี่ยลี่เจินทรุดกายนั่งกับตั่งเตียง นางเหลือบสายตามองมือของสาวใช้คนสนิท “ชุนเอ๋อร์ ข้าไม่เคยสังเกตเลยว่ามือเจ้าหยาบกร้านถึงเพียงนี้”
ชุนเอ๋อร์งุนงงแต่นางก็ยังตอบกลับ “สาวใช้ที่ต้องทำงานหนักก็ต้องมีมือเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เซี่ยลี่เจินพยักหน้าเงียบ ๆ วันรุ่งขึ้นนางเรียกสาวใช้ที่เรือนตนเองเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดและตกรางวัลให้อย่างงาม ทั้งยังเลิกนิสัยกินทิ้งกินขว้างและมักจะขอบคุณสาวใช้อยู่เสมอจนเรื่องนี้ลือกันหนาหูไปถึงซ่งฮูหยิน นางนั่งอยู่ในห้องนอนรอสามีกลับมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
เกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวของนางกัน?
แม่ทัพอู๋ซานหาทางหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงเจ็ดวันเจ็ดคืนนั่นได้ในที่สุด หลังจากวันแรกแล้วเขาก็ไม่ได้เยื้องกรายเข้าไปในบริเวณรื่นเริงนั่นแม้แต่ก้าวเดียว เว่ยชินอ๋องละทิ้งความสำเริงสำราญไปกลับค่ายทหารทุกวัน เขากำลังเคร่งเครียดกับสถานการณ์ทางชายแดนจนไม่มีแม้แต่ความคิดสักเสี้ยวที่จะหวนคิดไปว่าการกระทำของเขาจะถือเป็นการหักหน้าฮ่องเต้ผู้สูงส่งหรือไม่
แม่ทัพอู๋ซานเปิดประตูเรือนตรงเข้าไปยังส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องนอน เขาและฮูหยินตั้งแต่เข้าหอก็ไม่เคยแยกเรือนนอนกันอีก ท่านแม่ทัพมองภรรยาที่นั่งหน้าเครียดอยู่บนตั่งเตียง เขาขมวดคิ้ว เดินเข้าไปหานาง
“ฮูหยิน มีเรื่องอะไรหนักอกหนักใจหรือ”
ซ่งฮูหยินที่มัวแต่กังวลกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูกสาวนั้นไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตูเรือน นางรีบเงยหน้าขึ้น มือเรียวบางอ่อนนุ่มอย่างคนที่ไม่เคยทำงานหนักยื่นแตะแขนแกร่งของเว่ยชินอ๋อง
“ท่านพี่ ข้า-” ซ่งฮูหยินกระพริบตาปริบ หยาดน้ำตาสายหนึ่งก่อตัวเป็นม่านบาง นางกังวลเรื่องบุตรสาวจนอึดอัดใจไปหมดแล้ว
“ข้าว่าเกิดเรื่องกับลี่เอ๋อร์เจ้าค่ะ นางไม่เหมือนเดิม”
ท่านแม่ทัพอู๋ซานก็เหมือนขุนน้ำขุนนางคนอื่น ๆ เรื่องหลังเรือนนั้นเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวและปล่อยให้ภรรยาจัดการได้อย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องงานบ้านเมืองซ่งฮูหยินก็ไม่แตะต้องเช่นกัน
แม่ทัพอู๋ซานนั่งลงข้างภรรยา ดึงนางเข้ามากอดปลอบ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลี่เอ๋อร์ เจ้าค่อย ๆ เล่าให้ข้าฟัง”
ซ่งฮูหยินค่อยๆเล่าถึงพฤติกรรมอันเปลี่ยนไปเป็นหน้ามือหลังมือของบุตรสาว ถึงแต่เดิมเซี่ยลี่เจินจะไม่ใช่คนหยาบช้าตบตีบ่าวไพร่หรือด่ากราดด้วยคำผรุสวาท นางเป็นคุณหนูในห้องหอที่มีนิสัยอ่อนหวานและอ่อนโยนจนบางครั้งบ่าวไพร่พวกนั้นก็เอาลูกสาวนางไปเล่าลือเสีย ๆ หาย ๆ ว่าองค์หญิงเซี่ยลี่เจินเป็นคนโง่
เพราะต่อให้พวกสาวใช้จะทำผิดจนไม่น่าให้อภัยขนาดไหน บุตรสาวของนางก็ยังคงยิ้มรับกล่าวให้อภัยได้เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยลี่เจินก็ไม่ใช่คนที่กล่าวชมบ่าวไพร่พร่ำเพรื่อ นางได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยจรรยาขององค์หญิงมาตั้งแต่เด็ก และหนึ่งในเรื่องพวกนั้นคือการวางตัวกับคนที่มีศักดิ์ต่ำกว่า
ตลอดมา เซี่ยลี่เจินทำได้ดี นางไม่ได้อ่อนแอจนสาวใช้เหยียบหัวนางได้โดยง่ายแต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าวจนดูเป็นนายจ้างใจร้าย กลับกัน หากไม่ใช่สาวใช้คนสนิทแล้วเซี่ยลี่เจินปฏิบัติกับคนงานพวกนั้นพื้น ๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไรจนคนต้องเอาไปยกย่อง แต่พักหลังมานี้ หลังจากนางกลับจากงานเลี้ยงในวังหลวงครานั้น นางก็เริ่มชื่นชมคนสวนที่คอยดูแลสวนของนางให้งดงามอยู่เสมอ นางตกรางวัลให้สาวใช้คราวละมาก ๆ จนมีแต่คนหมายตาอยากเข้าไปทำงานในเรือนขององค์หญิงเป็นสิบเป็นร้อยคน
แม่ทัพอู๋ซานรับฟังเรื่องหนักอกหนักใจของภรรยาจบก็พลันนึกสงสัยตาม เขาขมวดคิ้วแน่น นั่นไม่ใช่นิสัยของบุตรสาวเขาอย่างแน่นอน เซี่ยลี่เจินถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเพราะเป็นบุตรีคนเดียวทั้งยังเป็นคนสุดท้อง เขากับซ่งฮูหยินต่างสรรหาสิ่งของต่าง ๆ นานา มาประเคนลงตรงหน้านางอย่างไม่นึกหวง และอาจจะเพราะเขากับภรรยาประคบประหงมนางมากเกินไป เซี่ยลี่เจินถึงได้หยิบจับสิ่งใดก็ไม่โดดเด่น ความสามารถทั้งสี่ของนางก็พื้น ๆ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นกระนั้นเขาก็ยังรักบุตรสาวคนนี้มาก
ท่านแม่ทัพลูบแขนภรรยาคนงามในอ้อมกอดแผ่วเบา เขากระซิบเสียงหนักแน่น “วางใจเถอะ ข้าจะคุยกับลูกให้เอง”