4 อาซิฟ แม่ทัพผู้เกรียงไกร
“เมื่อหม่อมฉันกระทำตัวเป็นที่รังเกียจแด่พระองค์ ขอพระราชทานอภัยเพคะ”
ก่อนที่จะปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมา การิตาถอยหลังคลานออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพ้นจากห้องสรง นางยกสองมือปิดหน้าร้องไห้อย่างสุดกลั้น อัปยศในความรู้สึกเมื่อรู้ว่าไม่เป็นที่เสน่หาแห่งมหาบุรุษ อีกทั้งยังสร้างความรังเกียจให้แก่พระองค์จนถึงขั้นขับไล่อย่างไร้สิ้นเยื่อใย
คล้อยร่างงามจากบุตรีแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว ชีค อาดัมชาร์ ดึงภูษาสีขาวออกจากพระวรกายแล้วก้าวลงไปในอ่างไม้ที่บรรจุน้ำอุ่นใส เบื้องบนโรยด้วยกลีบหอมแห่งมวลบุปผา ฝ่าพระหัตถ์ลูบลงไปตามพระวรกาย ความอ่อนเพลียเมื่อยขบค่อยๆ จางหายไป
พระศอเอนพิงลงไปบนหมอนไม้ริมอ่าง หลับพระเนตรเนิ่นนาน ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล ทุกครั้งที่ได้แช่น้ำเช่นนี้ พระองค์ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ สลัดความกังวลทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปจนสิ้น
“สตรีผู้ไร้ยางอาย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าบุตรีท่านอาซิฟจะกล้าถึงเพียงนี้ น่าเกลียดสิ้นดี หากว่าเราเผลอไปกับเรือนร่างอาบเสน่ห์นั่น คงกลายเป็นว่าหาห่วงมาผูกคอ”
ชีค อาดัมชาร์ คร้ามต่อการมีสตรีเคียงข้าง รู้ว่าเวลานี้มีภารกิจยิ่งใหญ่ ออกไปลาดตระเวนดูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เกรงว่าจะมีพวกอริราชศัตรูบุกรุกเข้ามาทำร้ายผู้คนให้ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังต้องเข้าไปในเมืองที่เป็นอาณานิคมเพื่อที่จะสืบดูการเคลื่อนไหวว่ากระด้างกระเดื่องต่ออัลคัสซาร์หรือไม่
หากว่ามีสตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง กลายเป็นห่วงอันใหญ่ เหนี่ยวรั้งพระองค์ให้พะวง ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มที่
“ใครบ้างจะไม่ชมชอบต่อสตรีอันงดงาม แต่เราก็ต้องมีสติ อย่าลุ่มหลง รู้ดีว่าการิตาไม่ใช่หญิงที่จะอยู่เคียงคู่เรา หากว่าแต่งตั้งให้เป็นพระชายา ความเห่อเหิมทะเยอทะยานไม่รู้จักพอของนางจะทำให้แผ่นดินอัลคัสซาร์ลุกเป็นไฟ”
พระองค์รับรู้ถึงนิสัยของสตรีนางนี้ดีว่าไม่รู้จักพอในสิ่งที่ตนมี ชอบใช้อำนาจข่มผู้ที่ด้อยกว่า บุคคลเช่นนี้เป็นใหญ่ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เวลานี้ยังหาสตรีที่จะเคียงข้างพระองค์ไม่เจอเลย
“รึว่าเราจะโดดเดี่ยวไปจนวันตาย ช่างเถิดเรื่องนี้แล้วแต่พระเจ้าเบื้องบนจะลิขิต คงยังไม่ถึงเวลาของเราที่จะได้หญิงงามผู้พร้อมด้วยคุณสมบัติครบถ้วนมาเคียงคู่”
พระองค์รำพึงอย่างปลดปลงต่อความอ้างว้างที่เกิดขึ้น ชีค อาดัมชาร์ ไม่เหมือนชีคเมืองอื่น แม้ว่าเป็นนักรบ แต่เคียงข้างด้วยสาวงาม คอยเอาอกเอาใจ ชีวิตตั้งแต่หนุ่มยังแก่ ไม่เคยขาดเพศตรงข้าม ทั้งได้มาด้วยความเต็มใจและบังคับขืนใจ
แม้ว่ามีอำนาจล้นฟ้า แต่พระองค์ต้องการได้สตรีด้วยความเต็มใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเดียวดายอยู่เช่นเดิม
เสียงร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจดังโหยหวนออกมาจากห้องบุตรีที่อยู่ใกล้กัน อาซิฟชันศีรษะขึ้นชั่วครู่ เงี่ยหูฟังจนเป็นที่แน่ใจว่าเสียงนั้นคือ การิตาบุตรสาวแสนสวย เขาไม่รอช้าที่จะสลัดผ้าออกจากตัว ไม่แยแสต่อเรือนร่างสะคราญจากสตรีวัยกำดัดที่นอนเคียงข้าง นางลืมตาที่ประดับด้วยขนตายาวงอนขึ้นทันที
“ท่านอาซิฟ มีอะไรหรือ พรวดพราดลุกอย่างนี้ ข้าตกใจหมดเลย”
“เงียบเลยน่า ในเมื่อข้าไม่ถามอย่าพูด”
อาซิฟหันมาดุด้วยเสียงห้วนจัด ใบหน้าบึ้งตึง แสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง สตรีนางนั้นข่มความโกรธเอาไว้อย่างที่สุด
แม้ว่าได้เป็นนางบำเรออันดับหนึ่งแห่งแม่ทัพผู้เกรียงไกร แต่เขาไม่เคยให้เกียรติ มักจะพูดให้ได้รับความเจ็บปวด ทำร้ายจิตใจบ่อยๆ แต่นางทนเพื่อความอยู่รอด อำนาจของชายผู้นี้ช่วยคุ้มครองไม่ให้ถูกรังแกและมีทรัพย์สินมากกว่าสตรีอื่นๆ
“เสียงลูกข้าร่ำไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ข้าจะต้องไปดู”
ร่างเปลือยส่วนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกำยำลุกขึ้นจากเตียงทันที คว้าเสื้อคลุมสีขาวสวมใส่อย่างรวดเร็ว สตรีงามวัยเดียวกับบุตรสาวช่วยมัดพันเชือกที่เอวให้กระชับ อาซิฟหันมามองด้วยสายตานิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
เฉยชาราวกับไร้หัวใจจากแม่ทัพวัยกลางคน สร้างความเจ็บช้ำให้แก่นางไม่น้อย แต่ก็ต้องทนเพราะรู้ว่านี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตมีความสุข
ดีกว่าตกเป็นผู้ใช้แรงงานแลกกับอาหารและสิ่งมีค่าแค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตไร้ความสำราญ ต่างจากนางทนกอดคนแก่แม้ว่าขยะแขยงแทบขาดใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมานั้นคุ้มค่า มีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์
คิดว่าตนเองใช้ความงามที่ติดตัวได้ถูกวิธี