จอมใจแห่งชีคเถื่อน

87.0K · จบแล้ว
ฟ้ารดา, ฟ้าใส ไอรดา, ธัญญา, ดาวฉาย, จันทร์นารี, ภูต เภตรา, จรรยา เลิศพงษ์ไทย
75
บท
2.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ณ ดินแดนอาหรับ ชีค อาดัมชาร์ บุรุษชาตินักรบ ผู้ไม่เคยเสน่หาในสตรีนางใดมาก่อน มุ่งแต่ต่อสู้เพียงอย่างเดียว กระทั่งเจอกับหญิงนิรนาม พันใบหน้าเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น นางเก่งฉกาจทางด้านการต่อสู้ เป็นสตรีนักรบที่สามารถล้มผู้ชายได้ด้วยมือเปล่า พระองค์ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งที่มีคู่หมายเป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉมอยู่แล้ว ด้วยความรักพระองค์ให้นางมาเป็นองครักษ์ คอยติดตามไปทุกหนทุกแห่ง สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ แต่นางกลับไม่มีทีท่ากับพระองค์แม้แต่น้อย นางเฉยชาราวกับหัวใจไร้รัก พระองค์จะทำอย่างไรที่จะพิชิตใจนักรบสาวคนนี้ ธัญญา

นิยายรักโรแมนติกสัญญาทางรักเศรษฐีนิยายย้อนยุคราชันย์รบ

1 ชีค อาดัมชาร์ ชายชาตินักรบ

ริมฝั่งคาบสมุทรอาหรับเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีเมืองต่างๆ ที่แตกแยกตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่ละเมืองต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่ หากว่าร่ำรวย มีกำลังทหารมากกว่าจะเป็นที่เกรงขามต่อเมืองอื่นๆ

เมืองที่ยิ่งใหญ่พยายามที่จะล่าอาณานิคมเพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง

บริเวณชายฝั่งทะเลแห่งเมืองอัลคัสซาร์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในแถบนี้ บนพื้นทรายที่ราบเรียบและสูงนูนพูนขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ เสียงม้าฝูงหนึ่งกำลังวิ่งกุบกับใกล้เข้ามา เห็นว่าบนหลังเจ้าอาชาแต่ละตัว มีชายฉกรรจ์ในชุดสีดำ ทำหน้าที่บังคับให้วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว กระทั่งกระโดดข้ามผ่านเนินทราย

พลัน! เม็ดทรายแตกกระจายซัดซ่าเมื่อร่างใครบางคนในชุดคลุมสีเข้มโพกใบหน้าด้วยผ้าดำพุ่งพรวดขึ้นมาแล้วเหนี่ยวเกาะขาผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวหนึ่งเอาไว้ แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย! อะไรวะ”

เสียงเจ้าคนในชุดดำอุทานด้วยความตกใจ แต่ช้าไป เมื่อลำแขนแข็งแรงล็อกลงที่ลำคอ กระชากแรงๆ เพียงครั้งเดียว เสียงดังอ๊อก คอหักเอียง ร่างร่วงรูดลงไปกองที่พื้นทันที

ไม่เพียงแต่เจ้าคนนี้เท่านั้นที่ถูกจู่โจมจนสิ้นชีวิต คนอื่นๆ มีสภาพไม่ต่างจากกัน ต่างตกลงมาจากหลังม้า ตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

กลุ่มผู้จู่โจมที่ยึดครองเป็นเจ้าของม้า พากันบังคับเจ้าอาชาสี่เท้าแล้วขึ้นไปยืนบนเนินดินที่อยู่เหนือฝั่งริมทะเล ชูดาบขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมใจกันเปล่งเสียงแสดงความดีใจ

“ชีค ซาอุด จงเจริญ”

“อัลคัสซาร์จงยิ่งใหญ่ตลอดไป”

“ขอให้ ชีค อาดัมชาร์ จงเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่า ชีค อื่นๆ ที่อยู่ในคาบสมุทรแห่งนี้”

ชายชาติทหารเรือนร่างกำยำเปล่งเสียงอำนวยชัยให้แก่ ชีค อาดัมชาร์ พระราชโอรสใน ชีค ซาอุด กับพระนางอานี ผู้ครองเมืองอัลคัสซาร์ บัดนี้พระองค์ทรงม้าตัวใหญ่สีดำนิลที่เพิ่งยึดมาจากโจรป่า พวกมันบังอาจเล็ดลอดเข้ามาทำร้ายประชาชนในแถบนี้

“ขอบใจพวกเจ้ามากที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้ามาโดยตลอด”

พระสุรเสียงที่ตรัสออกมานั้นเข้มขลัง ทรงอำนาจ สะกดให้ทหารทุกนายกระโดดลงมาจากหลังม้า นั่งเรียงหน้ากระดานต่อหน้าพระพักตร์ บัดนี้คลี่ผ้าพันพระพักตร์ออกช้าๆ

พระองค์เป็นบุรุษรูปงามราวกับเทพบุตร หล่อคมเสียจนผู้ชายด้วยกันยังอึ้งตะลึงมองนิ่ง ราวกับต้องมนตร์สะกด

พระเนตรเข้มดำวาวนั้น จับจ้องอยู่ที่นาจิปองครักษ์ผู้มีเรือนกายสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อคมก้มลงทำความเคารพ ชีค อาดัมชาร์ ทรงพระสรวลเบาๆ หลังจากมองไปที่ศพผู้บุกรุกที่ยังคงนอนตายอยู่เบื้องหลัง

“นาจิปให้ทหารจัดการขุดหลุมฝังศพ เจ้าพวกคนเถื่อนเหล่านี้ อย่าให้เป็นเหยื่อแร้งกา ถึงอย่างไรก็เป็นคนเหมือนกับเรา”

“พระเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการให้เรียบร้อย พระองค์จะเสด็จกลับพระราชวังเลยหรือไม่”

“ใช่ วันนี้เราเหนื่อยและเพลียมาก คงไม่ออกลาดตระเวนไปไหนอีกแล้ว ขอพักนอนหลับให้เต็มที่สักวัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

“เจ้าสามคน ทำหน้าที่อารักขาพระองค์ด้วย”

“ขอรับ ท่านนาจิป”

ทหารนักรบทั้งสามนายที่ซ่อนใบหน้าเอาไว้ภายใต้ผ้าสีดำรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่ออาชาสีดำตัวใหญ่ซึ่ง ชีค อาดัมชาร์ เป็นผู้กุมบังเหียน พุ่งกระโจนไปข้างหน้า ทหารทั้งสามนายบังคับม้าตามไปทันที

นาจิปมองตามจนลับสายตาแล้วหันมาสั่งการให้ทหารที่เหลือ ช่วยกันจัดการกับศพที่นอนเกลื่อนกลาดบนพื้นทราย ขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วโยนร่างพวกโจรเถื่อนลงไป กลบทรายให้มิดเป็นการฝังหมู่อย่างเรียบง่าย โดยไม่ผ่านกรรมพิธีทางศาสนาแต่อย่างใด

หญิงงามที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดตา ปกคลุมใบหน้าด้วยผ้าบางๆ รีบทรุดร่างลงกับพื้น เมื่อพระวรกายสง่างามแห่ง ชีค อาดัมชาร์ ก้าวผ่านมา นางลอบยิ้มด้วยความดีใจ ดวงตาทอประกายวับวาว

“เจ้าชายผู้สง่างาม ดวงใจของข้ากลับมาแล้ว บุญของเจ้าแล้ว การิตาที่ได้รับใช้ใกล้ชิด ข้าจะทำให้พระองค์ลุ่มหลงให้ได้”

การิตาบุตรีแห่งอาซิฟ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพอัลคัสซาร์รำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะลอบมองพระวรกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างชื่นชม เมื่อพระองค์เดินผ่านไปทางใด นางกำนัลต่างพากันก้มทำความเคารพและยังคงหมอบอยู่อย่างนั้น จนกว่าพระองค์ผ่านเลยไป ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่คนเดียว