14 แม่นางเนดา กล้าเกินหญิง
นางสามารถล้มผู้ชายตัวโตๆ ได้ด้วยมือเปล่า นางจึงเป็นหญิงที่ดูแลตัวเองได้ บิดาคลายความกังวลว่าจะถูกรังแกจากเพศตรงกันข้าม
“ถ้าข้ากลัวมนุษย์ด้วยกันแล้วจะอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร ลืมแล้วหรือว่าทุกวันนี้เราต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ผู้ที่อ่อนแอ เสียเปรียบผู้มีกำลังเหนือกว่า พวกเจ้าเช่นเดียวกัน อย่าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่อย่าก้าวร้าวระรานผู้อื่นก่อน”
“เรื่องนี้พวกเราทราบดี นายหญิง”
“ดีแล้ว ออกเดินทางกันเถิด เราจะต้องไปถึงสุสานอูฐก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
“เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว จะค้างคืนหรือไม่”
เจ้าคนร่างผอมถามด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าแหลมตอบเผือดสีด้วยความกลัว เพราะคำร่ำลือที่บอกว่าที่นั่นผีดุ
“พวกเจ้า ต้องการให้ข้าค้างที่นั่นไหมล่ะ”
“โธ่ นายหญิง ถ้าไม่จำเป็นพวกเราคงไม่ไปที่นั่นหรอก นี่เห็นแก่นายหญิงนะ เขาว่ามันน่ากลัวมากไม่ใช่หรือ เฮ้ย”
ผู้ติดตามเรือนร่างใหญ่กำยำ กลับทำเสียงเล็กเสียงน้อยด้วยความกลัว ดวงตามองลอกแลกไปรอบๆ และสะดุ้งร้องเฮ้ย เมื่อสบตากับเพื่อนร่างผอมอย่างจัง
“พวกเจ้านี่ เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ อย่าลืมว่าเราต้องเข้มแข็ง”
“นายหญิง ข้าอยากรู้ว่าจะนอนค้างที่โอเอซิสสุสานอูฐหรือไม่”
เจ้าคนร่างกำยำยังคงกังขาเกี่ยวกับสิ่งที่ข้องใจ รอคำตอบจากเรดา นางกระโดดขี่หลังม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ส้นเท้ากระทุ้งลงไปที่สีข้าง กระตุ้นเตือนให้ออกเดิน เสียงม้าร้องฮี่ๆ แล้วเดินไปตามเส้นทางที่หญิงงามเป็นผู้กำหนด ดูจากแผ่นที่หนังสัตว์ที่อยู่ในมือ
“ความจริง ข้าก็อยากพักที่นั่นเหมือนกัน”
“โอย นายหญิง อย่าพูดให้พวกข้าใจเสีย”
ผู้พิทักษ์ใบหน้าเข้มพอๆ กับผิวโพล่งขึ้น หลังจากปิดปากมานาน ส่ออาการกลัวออกมาจากดวงตา เนดาหันมามอง เปรยด้วยเสียงขึ้นจมูก
“พวกเจ้านี่เหมือนกันหมด ตัวโตเสียเปล่า แต่ตาขาวมากกว่าตาดำ กลัวทำไมกับผีที่ไม่มีตัวตน ข้าถามสักนิดเถอะว่าผีจับดาบมาประมือกับพวกเจ้าได้ไหม”
“ถึงมันจับได้ ข้าก็คงไม่ประมือกับมันหรอก แค่เพียงเห็นก็เผ่นแล้ว”
คนร่างผอมปฏิเสธที่จะเจอะเจอกับสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ ครั้งแรกที่รู้ว่าเนดามีความประสงค์เดินทางไปที่สุสานอูฐ ทุกคนต่างผวา หนาวเยือกไปตามๆ กัน ไม่เข้าใจว่าเป็นสตรีประเภทไหน ไม่รู้จักกลัวบ้างเลย
ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนา กล้าในสิ่งที่ไม่สมควร ทุกครั้งที่นางพาออกจากโอเอซิสไอเรส ทุกคนต่างใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวจะไปเผชิญต่อสิ่งที่หวาดหวั่น
ครั้งนี้เช่นกัน เมื่อรู้ว่าจะต้องไปที่สุสานอูฐ แต่ละคนมีอาการเหมือนกันคือแข้งขาสั่น ประวิงเวลาในการเดินทางเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจต้านความต้องการของหญิงสาวได้
“ตาขาวสิ้นดี ข้าคิดว่าน่าจะลองค้างคืนที่นั่นดูนะ เผื่อว่าจะมีอะไร ทำให้เลือดสูบฉีดแรง”
“โธ่ นายหญิง อย่าล้อพวกข้าเล่นนะ มันน่ากลัวหยอกเสียเมื่อไหร่ล่ะกับภูตผีน่ะ ที่นั่นไม่เห็นจะมีอะไรน่าดูเลย นอกจากซากอูฐนอนตายเน่าเหม็น”
“เจ้ายังไม่เคยไป รู้หรือว่ามีซากอูฐเน่าเหม็น”
เนดาย้อนถามแบบนี้ คนที่พูดถึงกับนิ่ง เป็นใบ้ไปชั่วครู่ เนดาขำต่อท่าทีของผู้ติดตาม แต่ก็ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น นอกจากกระตุกเชือกม้าให้วิ่งเร็วขึ้น ลูกน้องทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยท่าทางขลาดๆ แต่ก็จำต้องติดตามนายหญิงไปอย่างกระชั้นชิด
เนดาบังคับม้าไปทางใต้ของเมืองที่ผ่านมา ขณะเดียวกันขบวนใน ชีค อาดัมชาร์ เคลื่อนไปทางเหนือ ทั้งสองออกเดินทางในเวลาไล่เลี่ยกัน
สาส์นที่อยู่ในพระหัตถ์เจ้าหญิงพาซาเรผู้สูงศักดิ์ ถูกนำไปวางลงบนพานสีทอง แล้วส่งให้แก่นางสนมที่กำลังรอรับ
เจ้าหญิงพาซาเรผู้มีสิริโฉมงดงาม พระวรกายแบบบาง พระฉวีผ่องนวลกระจ่างตา งามสง่าในเครื่องทรงประจำชาติของสตรีอาหรับสีน้ำเงินเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีต ประดับด้วยลายปักดิ้นเงินแวววาว
นางกำนัลสังเกตเห็นพระพักตร์เจ้าหญิงที่ยังคงนิ่ง พระเนตรเต็มไปด้วยความกังวล หลังจากอ่านสาส์นฉบับนั้นจบลง
“ข้าไม่อยากไปไหนทั้งสิ้น อับอายผู้คน”
“พระนางจะไปไหน เพคะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ชีค ซาอุด ผู้ครองเมืองอัลคัสซาร์ ปรารถนาให้ข้าไปพำนักที่นั่น ข้ารู้ถึงพระประสงค์ของท่านดีว่า ต้องการให้ข้าสนิทสนมกับท่านพี่อาดัมชาร์ ไม่รู้ถึงจิตใจเลยว่า คนที่ตกเป็นเมืองขึ้นผู้อื่นนั้นเหมือนเป็นทาส ไม่มีเกียรติในตนเอง ผู้คนมองอย่างเหยียดหยาม”