4 กำเนิดรามิล
“ด้านนอกห้องค่ะ ความจริงทางเราอนุญาตให้กลับบ้านได้แต่เธอยืนยันว่าจะขอเฝ้าคุณและภรรยาจนถึงเช้า”
นางพยาบาลคนสวยพูดคุยตอบโต้กับทานาบีด้วยน้ำเสียงฉาดฉาน จากใบหน้าคล้ายกับพวกยุโรป ทานาบีสันนิษฐานว่าเธอคงมีเชื้อฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเขา รูปร่างหน้าตาผิวพรรณจึงโดดเด่นกว่าคนอาหรับทั่วไป
ต้นตระกูลเขาคือชาวอาหรับได้แต่งงานกับฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในซีเรีย ลูกหลานที่เกิดมาจึงกลายเป็นแขกที่หล่อและสวยเหมือนคนยุโรป คนทั่วไปจึงเรียกพวกเขาว่าแขกขาวที่มีทั้งความเป็นแขกและฝรั่งรวมอยู่ในตัวตนเดียวกัน
ความคิดล่องลอยไปไกล จากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ภรรยาผู้สวยงามและบุตร ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นเช่นไร จู่ ๆ เกิดอาการง่วงนอนขึ้นมา ไม่อาจที่จะลืมตาได้ เปลือกตายาวประดับด้วยแพขนตาหนางอนปิดเข้าหากัน
ทานาบีหลับเพราะฤทธิ์ยา แพทย์ให้เขารับประทานบรรเทาอาการปวดเพื่อให้พักผ่อนเต็มที่
เสียงเด็กร้องจ้าเมื่อนางพยาบาลสองคนช่วยกันทำความสะอาด ใบหน้ากลม แก้มยุ้ย จมูกโด่งซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างมารดากับบิดาทำให้เด็กน้อยเกิดใหม่มีเค้าหล่อตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้แค่เพียงคืนเดียว
ทุกครั้งที่ผ้านุ่มชุบน้ำสัมผัสลงบนผิวเนื้ออ่อน เสียงแผดจ้าดังขึ้นด้วยความตื่นตกใจ ริมฝีปากเล็กสั่นระริก มือและเท้าเกร็ง ทานาบียืนอยู่ใกล้ ๆ ทำท่าผวาเข้าหาด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าลูกชายจะได้รับอันตราย
“ลูกผมทำไมถึงร้องขนาดนั้น”
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะท่าน เด็กแรกเกิดทุกคน เมื่อสัมผัสกับความเย็นจะต้องตกใจกลัว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว สวมใส่เสื้อผ้าเขาก็หยุดร้องไปเอง”
“ผมไม่สบายใจเลย ใจแทบขาดเมื่อได้ยินเสียงลูกร้อง”
“พ่อแม่ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ฉันขอแสดงความดีใจด้วยลูกชายท่านน่ารักมาก ไม่รู้ว่าท่านตั้งชื่อเอาไว้หรือยัง”
นางพยาบาลวัยกลางคนหันมาถามด้วยรอยยิ้มดวงตาพราวเมื่อเห็นความรักที่ทานาบีมีต่อลูกน้อย บัดนี้นอนนิ่งอยู่ในกระบะแก้ว หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย มือน้อย ๆ ยกขึ้นมา ก่อนจะยัดหัวนิ้วโป้งเข้าไปในปากดูดเบา ๆ บ่งบอกว่ากำลังหิว
“รามิล ผมตั้งชื่อเขาว่ารามิล”
“ช่างเป็นชื่อที่เพราะมาก ขอให้สวรรค์จงคุ้มครองเขาให้มีชีวิตที่งดงาม”
“ขอบคุณมาก ผมขอฝากลูกกับภรรยาให้คุณพยาบาลช่วยดูแลด้วย ผมจะกลับบ้านก่อน หมอบอกว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ทางเราจัดนางพยาบาลพิเศษเอาไว้แล้ว เชิญค่ะ”
ฝ่ามือเรียวสวยผายออกเป็นการเชิญให้ทานาบีเดินออกไปจากห้องเด็ก เขาหมุนร่างในชุดประจำชาติอาหรับก้าวออกไป ทว่า หันกลับมามองบุตรชายอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้ม ดีใจที่ลูกปลอดภัย ทั้งที่ดวงตาคู่คมมีแววกังวลเคลือบแฝงเอาไว้ ลอบถอนใจออกมาเบา ๆ แล้วก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทุกคนฟังทางนี้”
เสียงอันทรงพลังที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากได้รูปสะกดลูกจ้างชายหญิงสิบกว่าคนที่นั่งอยู่กับพื้น ไม่ให้มีเสียงสนทนาเหมือนเมื่อครู่ ทานาบีกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องโถง สำรวจดูว่ามีใครบ้างที่ยังไม่เข้ามารวมกลุ่ม กระทั่งแน่ใจว่าอยู่ครบทุกคน
“เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้”
“นายท่าน มีเรื่องอะไร บอกพวกเราได้”
“ใช่ พวกเราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างนายท่านตลอดเวลา ไม่ว่าสุขหรือทุกข์”
ลูกจ้างชายวัยเกือบเกษียณสองคนสลับกันพูดด้วยความเป็นห่วง หลังจากสังเกตสีหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมเต็มไปด้วยความกังวล รู้ว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่อาจคาดเดาว่าคืออะไร ทานาบีตวัดดวงตาคมเฉี่ยวมองมาที่ลูกจ้างทั้งสองแล้วหยุดนิ่ง
“ขอบใจมาก เราคิดทบทวนทั้งคืน กระทั่งตัดสินใจแล้วว่าสิ่งที่กำลังกระทำอยู่นี้ถูกต้องแล้ว เราจะพูดครั้งเดียว ว่าจะให้เงินแก่ทุกคนสิบเท่าของเงินเดือนงวดสุดท้าย”
“โอ ขอบพระคุณท่านมากที่เมตตาต่อพวกเรา”
“ใช่ ท่านทานาบีคือพ่อพระผู้ประเสริฐ”
“ท่านคงดีใจที่ได้ลูกชายจึงให้รางวัลแก่พวกเรา”
เหล่าบรรดาลูกจ้างต่างแซ่ซ้องสรรเสริญต่อผู้เป็นนายด้วยความดีใจ คิดว่าเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับนี้คือผลแห่งความปลื้มปิติที่เขาได้ลูกชาย
“นายน้อยคือผู้มีบุญเพียงแค่เกิดมาทำให้พวกเราโชคดี”
“ใช่ ใช่ เราจะต้องช่วยกันดูแลนายน้อยให้ดีที่สุด”
ก่อนที่ลูกจ้างจะส่งเสียงชื่นชมเขาและลูกชายไปมากกว่านี้ทานาบียกมือขึ้นเป็นการห้าม พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผู้ที่เป็นบริวารอึ้ง เกิดอาการช็อกไปชั่วขณะ