จอมมารทะเลทราย
บทย่อ
จอมมารทะเลทราย ผลงานล่าสุดของ ฟ้าใส ไอรดา เพียงแค่ชื่อก็บอกแล้วว่าพระเอกเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่ร้ายซาดิสต์ ฉุดกระชาก ลากถู ตบจูบนางเอกนะคะร้ายแบบว่าเอาแต่ใจตัวเองตามประสาลูกคนมีเงิน ทุกคนจะต้องเข้ามาซูฮก เมื่อเจอกับนางเอกที่ไม่ยอมคน ชอบความถูกต้อง หากว่าถูกทำร้ายก่อนจะตอบโต้ทันควันเช่นกัน
1 เสียงร้องในยามดึก
ความมืดมิดในคืนดึกสงัดที่แผ่สยายครอบคลุมอาณาบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ในแถบเมืองมาลูล่า ทุกคนต่างรู้ดีว่าทานาบีคือผู้ที่เป็นเจ้าของ เขาร่ำรวยจากธุรกิจสบู่น้ำมันมะกอกรายใหญ่ของประเทศซีเรีย
ในช่วงหัวค่ำอากาศเริ่มเย็น ต่างจากกลางวันที่ร้อนระอุเสียจนผิวแทบไหม้ ผู้คนต่างพากันนอนหลับอยู่ภายใต้เคหะสถานอย่างมีความสุข
เช่นเดียวกับคฤหาสน์ของทานาบี ทั้งเจ้าของบ้านหนุ่มหล่อและบริวารได้เข้าห้องนอนก่อนเวลาสามทุ่ม ประตูหน้าต่างทุกบานปิดแนบสนิท เหลือไว้แต่เพียงไฟดวงเล็ก ๆ ทอประกายเหลืองนวลอ่อนตรงชายคาชั้นล่างเปิดเอาไว้เพียงสี่ดวงเท่านั้น
แม้ว่าบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่บนทะเลทราย ทว่า อาณาบริเวณรอบ ๆ บ้านกลับอุดมสมบูรณ์ด้วยพรรณไม้นานาชนิด ให้ความร่มรื่นแก่ผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี
หลังเที่ยงคืนไปแล้ว สรรพสิ่งที่มีชีวิตยุติการเคลื่อนไหว ราวกับถูกสาปให้ตรึงนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่ต้นไม้ใบไม้ไร้สิ้นการโบกพัด
จู่ ๆ เสียงหวีดร้องของสตรีดังออกมาจากบ้านของทานาบี เสียงนั้นยังคงร้องเป็นระยะ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไฟทุกดวงถูกเปิดสว่างจ้า ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที
“เร็ว ๆ เข้า ใคร ก็ได้ช่วยกันหน่อย ไปเอารถมาจอดหน้าบ้านเดี๋ยวนี้”
“ครับ นายท่าน เอ่อ ใครเป็นอะไรครับ”
“ไม่ต้องถาม ฉันสั่ง แกมีหน้าที่ไปขับรถมาจอดตรงนี้ เดี๋ยวนี้”
“ครับ ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ลูกจ้างวัยเลยกลางคนอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวรับคำด้วยเสียงสั่น ๆ ก่อนจะพาร่างสันทัดลนลานออกไปด้วยความหวาดหวั่น รู้ดีว่าประมุขของบ้านมีอารมณ์ฉุนเฉียว หากว่าไม่พอใจหรือว่ามีใครทำให้ขัดเคือง
คนผู้นั้นจะได้รับโทษหนักจนถึงขั้นหามเข้าโรงพยาบาล พวกลูกจ้างไม่กล้าหือเมื่อได้รับคำสั่งให้ทำในสิ่งที่ต้องการ
ทานาบีหนุ่มหล่อใบหน้าเข้ม ยืนตัวตรงอยู่กลางห้องโถงกว้างประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์สีทองราคาแพง โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ห้อยระย้าอยู่บนเพดานสาดส่องแสงสว่างจ้าราวกับกลางวัน จับต้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
ผมที่ยุ่งเป็นกระเซิง บัดนี้คนรับใช้ประจำกายได้เข้ามาจัดการเก็บเอาไว้ให้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะลายหมากรุกสีขาวดำ
ชุดคลุมสีขาวแขนยาวและลำตัวยาวเลยเข่า ผ่าหน้าติดกระดุมแค่เพียงห้าเม็ด บัดนี้ยับย่นเพราะใส่นอนมาตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยความวิตกต่อเสียงหวีดร้องของสตรีที่ดังออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งทานาบีทำอะไรไม่ถูกนอกจากพับแขนเสื้อทั้งสองข้างให้อยู่เหนือข้อศอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำเช่นนั้นทำไมทั้งที่อากาศภายนอกเย็นยะเยือก
ดวงตาคู่คมทอประกายวาว มองไปยังห้องที่มีเสียงร้องเกือบตลอดเวลา แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วยที ปวดจนแทบขาดใจอยู่แล้ว”
“ใจเย็น ๆ ค่ะนายหญิง เดี๋ยวก็ได้ไปโรงพยาบาลแล้ว”
“นั่นสิ ถึงมือหมอแล้วจะปลอดภัย”
เสียงสตรีทั้งสองปลอบใจผู้ที่ยังคงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าใจจะขาดรอน ๆ แต่ละครั้งที่หวีดเสียงออกมา ทานาบีแทบเป็นบ้า
“อย่าร้องได้ไหม เราไม่ไหวแล้ว สงสารเหลือเกิน เฮ้ย เมื่อไหร่รถจะมาเสียที โรงรถก็อยู่แค่นี้ ทำไมช้านัก”
“นายท่าน ผมหยิบกุญแจไปผิดคัน ขออภัยด้วย มือไม้สั่นไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ถูก”
“บ้าจริง เร็ว ๆ เข้า โธ่ อย่าร้อง”
เวลานี้ทานาบีละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก นอกจากเป็นห่วงผู้ที่ส่งเสียงร้อง บางครั้งกรีดยาวโหยหวน ทำเอาบริวารทั้งหมดเฮโลมาออรวมกันอยู่ที่ห้องโถง ต่างสวดมนต์ภาวนาขอให้นายหญิงของพวกตนปลอดภัย
“นายท่าน รถจอดเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี นายรออยู่ที่นี่ ฉันจะขับเอง เร็ว ๆ เข้าพวกที่อยู่ข้างในพาเธอออกมาได้แล้ว”
“ค่ะ ๆ คุณทานาบี นายหญิงขาอดทนอีกนิดนะคะ เดี๋ยวก็ปลอดภัย นายท่าน นายหญิงเดินไม่ไหว ล้มลงไปแล้วค่ะ”
“ช่วยประคองเธอเอาไว้ เราจะเข้าไปอุ้มออกมาเดี๋ยวนี้”
ออกคำสั่งเสียงดังล้งเล้งด้วยความหวาดหวั่นกลัวว่าภรรยาจะได้รับอันตรายและตื่นเต้นต่อการที่จะได้เห็นบุตรที่จะลืมตาดูโลกในไม่ช้า
ทานาบีพาร่างสูงใหญ่กระโจนผึงเข้าไปในห้องนอนหรูหรา พร้อมกับช้อนร่างแบบบางในชุดคลุมยาวขึ้นมา เห็นชัด ๆ ว่าส่วนท้องปูดโตจากการตั้งครรภ์ครบ 9 เดือน ใบหน้าของนางปกคลุมด้วยผ้าคลุมทอจากไหมชั้นดีเอาไว้จนมิด ไม่อาจเห็นริ้วรอยแห่งความเจ็บปวด