13 รามิลไม่ยอมคน
“ผมคิดว่าคุณรามิลจะได้ตามใจปรารถนา”
“คิดเหมือนฉันไหม พี่อิสมาอิลเสียชาติเกิด ไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้ ทำแต่งาน หาเงินเสียจนแทบเป็นหุ่นยนต์เข้าไปทุกที”
“แต่ก็ดีไม่ใช่หรือ คุณจะได้มีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน”
“อ้าว นูร์ทำไมสรรเสริญฉันอย่างนี้ล่ะ หลอกด่าว่าฉันเป็นคนขี้เกียจใช่ไหม”
“โอ๊ย เปล่าคร้าบ แค่ปากมันพาไปเท่านั้นเอง”
พี่เลี้ยงรีบปฏิเสธหูตาเหลือก กลัวว่าเจ้านายจะโกรธที่กล่าวหาว่าเป็นคนขี้เกียจ ใช้แต่เงินเพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำงาน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอยากจะว่าหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าจะถูกระเห็จไปอยู่ที่อื่น หากว่าได้งานก็คงไม่ได้เจ้านายให้มากเท่านี้
เอาตัวรอดเป็นยอดดี คือคติสำหรับนูร์พี่เลี้ยงจอมสอพลอ
“เดี๋ยวเถอะจะด่าให้หายแก่ไปเลย เฮ้ย อะไรวะ ใคร ใคร”
“มีอะไรครับ คุณรามิล”
“แกไม่แหกตาดูซะบ้าง นั่นไง ท้ายรถสปอร์ตสีดำคันนั้น มันแซงเราแล้วปาดหน้ากระชั้นชิดมาก เกือบเฉี่ยวแน่ะ ดีที่เบรกทัน ใครวะ บังอาจเย้ย เดี๋ยวเหอะเจอดีแน่”
“เอาไว้ดี”
“ไม่ต้องถาม นอกจากเหยียบให้มิด”
“เหวอ คุณรามิลเร็วไปหรือเปล่า ลม ๆ พัดแรงมาก พัดผ้าโพกหัวผมปลิวไปแล้ว เบา ๆ หน่อย ผมกลัว เสียวไส้”
เสียงร้องด้วยความกลัวของพี่เลี้ยงดังขึ้น ทันทีที่รามิลเหยียบคันเร่งจนมิด เข็มไมค์วิ่งขึ้นไปจนถึงขีดสุด รถสปอร์ตเปิดประทุนพุ่งไปข้างให้ด้วยความเร็วราวกับพายุ นูร์นั่งตัวเกร็งหลับตาปี๋ กลั้นหายใจ แขม่วหน้าท้องแน่น หวาดหวั่นต่อความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้น สัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดปะทะกับใบหน้าแล้วกระชากผ้าโพกศีรษะให้ปลิวหลุดออกไป
“ไม่ต้องกลัว รถคันนี้ปลอดภัย”
“ช้า ๆ กว่านี้ได้ไหม”
“ช้าก็ไม่ทันไอ้คันข้างหน้านั่นสิ มันผยองเกินไป กล้าท้าฉันรึ เห็นไหม พอเราเร่ง มันก็เหยียบ ไม่ให้ไล่ทัน ได้เลยไอ้หนู”
“เดี๋ยวก่อนครับ คิดดูให้ดี คนขับรถระดับนี้จะต้องเป็นคนรวยเหมือนคุณ อาจเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลก็ได้นะครับ”
พี่เลี้ยงพยายามเตือนสติให้ใจเย็น กลัวว่าจะมีเรื่อง หากว่าเจอผู้ที่ทรงอิทธิพลแห่งมาลูล่า อาจจะอยู่ไม่สงบ แทนที่รามิลจะเกรงกลับตาลุกวาววับ
“ช่างมัน ใหญ่มาจากไหนก็ไม่กลัว ดันมาแกล้งเราก่อน”
“คุณจะเอายังไง”
“ชนตูดมันเลย”
“หา เอาอย่างนั้นเลยหรือ แรงไปมั้ย”
คำถามจากนูร์ไร้ความหมาย เพียงครู่เดียวเสียงร้องด้วยความกลัวดังขึ้นอีก เมื่อรามิลยังคงเหยียบคันเร่งให้มิดเหมือนเช่นเดิม เพื่อที่จะกวดรถคันหน้าให้ทัน เวลานี้นูร์ทำอะไรไม่ได้นอกจากจับข้างประตูเอาไว้แน่น หลับตาภาวนาขอให้รอดปลอดภัย
ใบหน้าที่มีผ้าปกปิดเอาไว้เหลือแต่ดวงตาสวยดุมองกระจกหลังด้วยความหยามเยาะ เมื่อรู้ว่ารถสปอร์ตจอมกวนคันนั้นเร่งความเร็วตามมาติด ๆ รู้ว่าเจ้าของรถกำลังโกรธ ต้องการที่จะเอาคืน เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะยินยอมให้ง่าย ๆ
เมื่อครู่รถคันนั้นขับคร่อมเลน ไม่ยอมไปทางวิ่งที่ถูกต้อง เท่านั้นยังไม่พอยังขับส่ายยังกับงูเลี้ยว แซงซ้าย แซงขวาก็ไม่ได้ สุดท้ายก็สั่งสอนด้วยการแซงแล้วปาดหน้า เท่ากับว่าเยาะเย้ย หยามหมิ่นอย่างแรง
ผลที่ได้รับก็คือเจ้าของรถคันนั้นโกรธ ไล่บี้ตามมาติด ๆ แต่ผู้ที่มีฝีมือในการขับขี่รถสปอร์ตไม่ยอมเช่นกัน รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เกมบนท้องถนนเริ่มขึ้น เมื่อความเร็วเร่งขึ้นจนถึงขีดสุดแล้วเลี้ยวไปหลบข้างทางที่มีโขดหินโผล่ขึ้นมาบดบังสายตา
“ไปเลย ล่วงหน้าฉัน อย่างนั้น ดีมาก ฉันจะสอนแกให้รู้สำนึก คราวหน้าจะได้ไม่ต้องขับเป็นจ้าวถนนแบบนี้”
สายตาคู่คมมองไปที่รถของรามิลด้วยความขุ่นเคือง รอโอกาสที่จะสั่งสอนที่ไม่มีมารยาทในการขับขี่รถบนท้องถนน แผนต่าง ๆ ถูกกำหนดขึ้น รู้ว่าทำอย่างนี้คือทางออกดีที่สุด
ทางด้านรามิลขับรถไล่รถสปอร์ตสีดำไปชั่วครู่ ได้ผ่อนความเร็วลง ดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม ครั้นหันมามองพี่เลี้ยงเห็นว่าหลับตาหน้าซีดขาว ผมบนศีรษะพร้อมใจกันชี้ขึ้นฟ้า ริมฝีปากหนาขยับไปมา รู้ว่ากำลังขอให้รอดพ้นจากอันตราย
“นูร์ นูร์”
“โอ สวรรค์ ท่านเรียกเราแล้ว นี่ นี่เราตายแล้วใช่ไหม”
“ตายบ้า ตายบออะไรของนาย ลืมตาสิ”
“ไม่ เรากลัวแม้ว่าอยู่บนสวรรค์หรือลงนรกก็ตามที อย่าให้เห็นสภาพรอบตัวเลย พาดวงวิญญาณเรากลับบ้านทีเถิด”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ถ้ายังไม่ลืมตา ฉันชกให้คางเบี้ยวจริง ๆ ด้วย”
“หา พูดแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณรามิล โอ จริง ๆ ด้วย ผมไม่ได้ตายคนเดียว มีคุณมาเป็นเพื่อน”