๑ คนอัปลักษณ์ไม่เผยใบหน้า (๒)
แต่เหมือนว่าจะทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว เหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าจนนับไม่ถ้วน จากหนุ่มมาดขรึมก็หลุดทันที หัวเราะร่วนกับเรื่องเล่าสนุกสนาน กระทั่งรู้ตัวว่าดึกเกินไปจึงขอตัวกลับ พยายามยืนให้ตรงแล้วก้าวไปที่จักรยานของตัวเอง
“ไหวไหมไอ้หล่อ”
“ไหวเว้ยไอ้เหี้ย” หันกลับไปตอบเสียงอ้อแอ้แล้วเปิดไฟฉายที่ติดอยู่แฮนด์รถจักรยาน เขาปั่นออกจากบ้านของเจ้าบ่าวที่ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกมากกว่าเดิม
สองข้างทางมีไฟจากต้นเสาส่องสว่างทว่าแต่ละต้นก็ค่อนข้างห่างกัน คนเมายิ้มตาหวานแล้วร้องเพลงไปตามทางอย่างมีความสุข พอได้คุยกับเพื่อนก็ลืมเลือนความทุกข์ไปชั่วขณะ ดวงหน้าคมเหม่อมองบ้านหลังงามแล้วลากเท้าไปตามพื้นก่อนกำเบรกไว้แน่น
“บ้านนางฟ้า...” พึมพำเสียงเบาก่อนทิ้งรถจักรยานเอาไว้ที่เดิม
เวลาผ่านมาหลายปีจนเด็กชายในตอนนั้นกลายเป็นหนุ่มหล่อที่ผ่านศึกสงครามในกามโลกีย์มาอย่างโชกโชน วันนี้เป็นเหมือนวันนั้นที่ประตูหน้าบ้านยังคงแง้มเอาไว้ไม่ได้ล็อคสนิทเหมือนทุกคราวที่เดินผ่าน
เมฆาเดินลัดเลาะไปทางด้านหลังอย่างชำนาญเส้นทางแม้จะมาเพียงครั้งเดียว ไม่มีคนเหมือนทุกครั้งแต่ต่างจากครั้งก่อนตรงที่มีแสงไฟสว่าง และเขาก็ต้องหลบอยู่หลังพุ่มไม้เหมือนเดิม
บ้านหลังเล็กกับสระน้ำสีใส...เสียดายไม่มีนางฟ้ามาแหวกว่าย
“นางฟ้า...”
ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อนางฟ้าโผล่พรวดขึ้นมาจากใต้น้ำแล้วกำลังว่ายไปมากลางธาราในยามค่ำคืน ปากหยักแย้มยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอหล่อนอีกครั้งจึงเผลอมองด้วยความหลงใหล
แต่คราวนี้ต่างออกไปเพราะเขาจะไม่นั่งอยู่เฉย ต้องพิสูจน์ให้รู้ว่าเป็นคนหรือผีกันแน่
ชายหนุ่มที่สติไม่ครบร้อยเดินโซเซออกมาจากพุ่มไม้หนา กระโดดลงน้ำในทันทีจนหญิงสาวที่ครองนทีถึงกับหันมามองอย่างตระหนก คิดจะรีบว่ายหนีก็ไม่ทันเมื่อเขาคว้ากายเธอเอาไว้ ดึงแม่นางฟ้าเข้ามาใกล้ก่อนยิ้มกว้าง
“ไม่ใช่ผี...เป็นนางฟ้า” พูดจบก็ซุกไซ้ที่ซอกคอขาวแล้วประทับริมฝีปากที่แก้มนวลอย่างหลงใหล กลิ่นกายของหล่อนหอมอ่อนจนเขาฟังจมูกไว้นาน นึกติดใจกับกลิ่นนั้นแต่ไม่รู้ว่ามันคือกลิ่นอะไรเพราะไม่คุ้นเคย
แขนแกร่งโอบเอวบางไว้แน่น เปลือกตาหนักอึ้งค่อยปิดลงแล้วก็หลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัว...
แดดยามเช้ากับเสียงไก่ขันช่างเข้ากันเหลือเกิน แต่เมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อยเขาจึงไม่ต้องการการรบกวน ไม่ว่าจะจากพระอาทิตย์ที่ขึ้นทำงานตรงเวลา หรือไก่ที่พยายามปลุกให้คนหลับใหลตื่นก็ตาม ร่างหนาหมายจะหันกายหลบแสงแต่ติดที่แขนของตนมีของหนักทับเอาไว้
คิ้วหนาขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจ โดนผีนอนทับหรือเปล่า...
ไล่ความคิดนั้นออกทันทีแล้วค่อยเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า สิ่งแรกที่เห็นคือผมสีดำขลับเงาวาววับอย่างคนดูแลสุขภาพผมดี กลิ่นหอมอ่อนโชยเข้าจมูก จำได้ว่าน่าจะเป็นกลิ่นของมะกรูดที่ตนไม่ค่อยจะชอบเพราะมันแสบจมูก
ทว่าคราวนี้พอเป็นกลิ่นหอมอ่อนกลับรู้สึกเย็นสบายจนเผลอลืมตัวสูดดมเข้าเต็มปอด
ยกมืออีกข้างขึ้นโอบรอบคนที่กำลังนอนหนุนแขน แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่หล่อนไม่ได้หายไป นั่นหมายความว่าหญิงตรงหน้าเป็นคนมีเลือดเนื้อไม่ใช่ภาพฝัน
“มันหายหัวไปไหนทำไมไม่มา! คิดจะนอนอุดอู้ในห้องไม่ยอมทำการทำงาน คุณพ่อต้องจัดการให้เข็ดนะคะ!” เสียงที่ดังขึ้นด้านนอกทำให้เขาลุกนั่งไม่สนใจว่าคนร่วมเตียงจะตื่นหรือเปล่า เพิ่งรู้ว่าร่างกายของตนเปลือยเปล่า ไม่มีอาภรณ์สวมสักชิ้น
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพอจะหยิบเสื้อผ้าซึ่งคิดว่าคงถอดไว้บนพื้นข้างเตียงกลับว่างเปล่า!
แย่แล้วไอ้เมฆ!
“คุณ คุณ...” คนที่นอนร่วมเตียงลุกนั่งแล้วจ้องเขานิ่ง
เมฆาไม่มีเวลามาสนใจหล่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าอย่างไรเพราะเจ้าหล่อนสวมผ้าคลุมหน้าไปกว่าครึ่ง ตั้งแต่ดวงตาลงมาแทบไม่เผยกรอบหน้าให้ใครเห็น
กระนั้นสถาปนิกหนุ่มก็ทราบในทันทีว่าหล่อนคือใคร
หญิงอัปลักษณ์ที่ไม่มีชายใดอยากเข้าใกล้อย่างไรเล่า!
“นี่มันอะไรกัน!” จังหวะที่คิดจะหาทางหนีทีรอดให้ตัวเอง ประตูที่เคยปิดก็เปิดออกจนเขาสะดุ้งสุดตัวกับเสียงเข้มพร้อมใบหน้าถมึงทึง
รีบจับผ้าห่มคลุมกายเอาไว้แน่น ขณะที่หญิงสาวข้างกายก็ขยับเข้ามาใกล้ชวนให้เข้าใจผิดมากกว่าเดิม เหงื่อซึมออกตามกรอบหน้าคมขณะจดจ้องเจ้าของบ้านที่เป็นอดีตนายฮ้อยซึ่งคนในชุมชนให้ความเคารพ แม้แต่ยายของเขาก็ชื่นชมไม่ขาดปาก