บทย่อ
เมื่อเขาตกกระไดพลอยโจนต้องแต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์ประจำหมู่บ้าน คำพูดร้ายกาจจึงออกมาไม่หยุด ทุกอย่างเพื่อให้ได้หย่ากับเธอ!
บทนำ
บทนำ
สองข้างทางไม่มีกระทั่งแสงไฟ มีเพียงไฟจากตะเกียงในมือที่พอส่องสว่างให้เห็นทางข้างหน้า เงยมองจันทราเต็มดวงนวลกระจ่างแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามองความงามของธรรมชาติ สองเท้าก้าวไปข้างหน้าโดยเร็วเพื่อให้ถึงบ้าน
ปิดเทอมใหญ่มีโอกาสมาพักผ่อนที่บ้านของคุณยายซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองเกือบสามสิบกิโลเมตร ได้ใช้ชีวิตเป็นหนุ่มบ้านนาเต็มที่อย่างไม่เคยทำมาก่อน ลุยโคลนบุกป่าผิวที่เคยขาวก็เข้มขึ้นเป็นกอง เชื่อว่าเปิดเทอมแล้วขึ้นเป็นรุ่นพี่มัธยมศึกษาปีที่สาม จะต้องมีรุ่นน้องหลายคนทักเรื่องสีผิวอย่างแน่นอน ซึ่งเขาก็ไม่ได้กังวลอย่างใด
ไม่ได้เคร่งเรื่องของผิวมากนัก รู้เพียงว่าตอนนี้ได้เล่นสนุกจนไม่อยากกลับบ้าน อย่างวันนี้ที่ไปเล่นบ้านของเพื่อนเพิ่งรู้จักกันไม่นานจนเย็นย่ำ รู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าพระจันทร์มาแทนที่ดวงตะวันเสียแล้ว เหตุว่ากลัวมารดาดุจึงรีบหยิบตะเกียงแล้วสวมรองเท้า วิ่งออกจากบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนโล่งอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมบอกลาเพื่อนพลางเน้นย้ำว่าพรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยอีก
คิดว่าเดินกลับบ้านไม่นานก็ถึงจึงปฏิเสธที่จะให้คนอื่นมาส่ง แต่ลืมไปเสียสนิทว่าหมู่บ้านในชนบทนอนเร็ว เพียงแค่ตะวันตกดินบ้านรอบข้างก็เงียบสนิท ไฟฟ้าแทบไม่มีใช้จึงไม่เห็นดวงไฟส่องสว่าง ยกเว้นก็แต่บ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวาง ไฟเปิดสว่างจนร่างเล็กเผลอหยุดชะงัก
“บ้านรวยฉิบหาย...”
พึมพำกับตัวเองเสียงเบา
ความเร็วของเท้าลดลงแล้วมองบ้านไม้สองชั้นหลังงาม ทำด้วยไม้สักทั้งหลังไม่ละสายตา อาณาบริเวณมีต้นไม้ปลูกให้ความร่มรื่น กลิ่นหอมของดอกมะลิโชยเข้าจมูกทำให้นึกหลงใหลเดินเข้าไปใกล้เขตรั้วมากกว่าเดิม
ตอนแรกไม่ทราบว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร จนรู้จากเพื่อนว่าอีกฝ่ายเป็นนายฮ้อยที่คนนับหน้าถือตา ภรรยายังเป็นเจ้าของที่ดินแถบนี้อีกต่างหาก จึงไม่แปลกใจที่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ได้ขนาดนี้
เมฆา จิตติพัฒน์เด็กชายวัยสิบสี่ปีเผลอเดินเข้าไปผลักประตูที่เปิดค้างไว้อย่างเสียมารยาท ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าความเกรงกลัว จึงเดินเลียบกำแพงจากในตัวบ้านลัดเลาะไปทางด้านหลังที่เป็นเส้นทางขนาดเล็ก ไปยังเรือนไม้ขนาดกะทัดรัดยกตัวสูงจากพื้นบ้านเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็เรียกสายตาให้เขามองอย่างหลงใหล
รอบบ้านเต็มไปด้วยไม้ล้มลุก ดอกไม้สีสันสดใสกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เขาไม่อาจทราบได้ว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดไหน ฝีเท้าหนักเดินไปทางด้านหลังบ้าน ก่อนพบสระน้ำขนาดเล็กซ่อนตัวได้มิดชิด น้ำสีใสทำให้นึกอยากลงเล่นสนุก
ยิ้มกว้างแล้วคิดจะเดินเข้าไปใกล้สระน้ำก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นถึงนางฟ้าที่โผล่เหนือขอบน้ำ
จนเขาชะงักรีบหลบหลังพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว สายตาเพ่งไปยังน้ำที่กระเพื่อมตามแรงว่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจคือร่างแบบบางกับใบหน้าหวานหยดที่ยิ้มกว้างอยู่ภายใต้แสงจันทร์มากกว่า
เขารู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย...แต่ทำไมถึงเจอหน้าฟ้ามาอยู่ตรงหน้าได้
ไม่เคยพานพบสาวสวยเช่นนี้มาก่อน ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองสาวเจ้าตาไม่กระพริบ หล่อนน่าจะอายุน้อยกว่าเขาแต่สวยผุดผาดเหมือนสาววัยแรกแย้ม มุมปากที่เคยเหยียดตรงก็ยกยิ้มขึ้น รู้ว่าการแอบเข้าบ้านคนอื่นและแอบดูหญิงสาวกำลังดำผุดดำว่ายเป็นเรื่องผิด
แต่เขาไม่อาจละสายตาจากหล่อนได้ ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะหลุดออกมานอกอกจนต้องยกมือขึ้นจับไว้
อาการแบบนี้คืออะไร ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยสักครั้ง
ตกหลุมรักเหรอ...
ยิ่งมองหน้าหล่อนก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกที่มีเพียงสองเรา ทว่ามีเพียงแค่เขาที่มองเธอ ขณะที่อีกคนกำลังแหวกว่ายอย่างมีความสุข
ขณะที่เด็กชายกำลังมองสาวสวยเพลินตา ก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผ่านเท้า พอก้มมองก็ตกใจแทบสิ้นสติที่สัตว์เลื้อยคลานกำลังเลื้อยผ่าน สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องเสียงดังด้วยความลืมตัวทำให้คนในน้ำหันมามอง
“เฮ้ย! ออกไป!”
ลุกยืนเต็มความสูงก่อนตระหนักได้ว่าตนกำลังแอบดูสาว พอเห็นงูเขียวเลื้อยหนีเสียงดังก็รีบมองไปยังสระน้ำ พลันได้สบดวงตากลมเกิดความรู้สึกเหมือนสายฟ้าแล่นปลาบไปทั่วกาย ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเสียงคนบนเรือนวิ่งลงมาข้างล่าง
“เกิดอะไรขึ้น เสียงใครน่ะ!”
ไม่ยืนรั้งรอให้ถูกจับ เมฆารีบวิ่งออกไปทางเดิมโดยทิ้งตะเกียงเอาไว้ที่พุ่มไม้ หัวใจเต้นรัวกลัวโดนเจ้าของบ้านจับตัวแล้วนำไปลงโทษ โคดีที่เขาตัวเล็กปราดเปรียว รีบกระโดดออกนอกรั้วพอดีแล้ววิ่งกลับบ้านไม่คิดชีวิต
ถึงจะอยากหันกลับไปมองนางฟ้าในดวงใจก็ไม่อาจทำได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่อยถามจากเพื่อนก็ได้ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร
หน้าตาสะสวยเช่นนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักหรอก
เขาหมายมั่นไว้แล้วว่าจะต้องนำเธอมาเป็นนางใจดวงเคียงกายตนให้ได้!