บทที่ 8
เกาซื่อต้มยาให้บุตรสาวเสร็จก็ห่มผ้าให้นาง
"เยว่เออร์พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว พ่อกับแม่กินข้าวต้มกับผักดองสักสองสามวันได้มิเป็นอันใด" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาวอย่างปวดใจ หากนางหัดเข้าครัวเสียบ้างบุตรสาวคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้
"ท่านแม่ ท่านทนกินข้าวต้มไปก่อนนะเจ้าค่ะ รอข้าหายดีจะจัดมื้อใหญ่ให้ท่านกินจนเดินไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ" เกาซื่อบีบจมูกบุตรสาวอย่างหมั่นไส้
"ได้ได้ เจ้านอนพักเสีย พรุ่งนี้ก็ทนกินข้าวต้มฝีมือแม่ไปก่อน" นางเหน็บชายผ้าห่มแล้วลุกออกไป
เมื่อจินเยว่หลับสนิท หน้าต่างห้องของนางก็ถูกเปิดออก จ้าวตงหยางกระโดดเข้ามานั่งลงบนเตียงข้างจินเยว่ เขารอให้นางดึงเขาเข้าไปกอดเช่นเมื่อวาน แต่วันนี้นางไม่ยอมทำเสียที จนเข้ารอไม่ไหว มุดตัวลงไปในผ้าห่มแล้วกอดนางแทน
อาจจะเป็นเพราะยังไม่ดึกมากนัก จินเยว่ยังมิได้หนาวเท่าเมื่อวาน อีกอย่างไข้นางกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้จึงร้อนๆหนาวๆ แต่ตอนนี้นางร้อนไง นางจึงดิ้นหนีจากเตาไฟที่กอดนางไว้ แต่เพราะฤทธิ์ของยานางจึงมิได้ตื่นขึ้น
จ้าวตงหยางเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่านางคงร้อนเขาจึงนำผ้ามาเช็ดเหงื่อที่หน้านางให้ การกระทำของเขาหากหลิวเหล่ยมาพบเข้าคงได้ตกใจแทบตายเป็นแน่ ใครจะคิดว่าคนหยาบเช่นเขาจะกระทำอย่างอ่อนโยนเช่นนี้กับจินเยว่ได้
จินเยว่รู้สึกสบายตัวขึ้นนางจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ ลักยิ้มสองข้างปรากฏออกมา จ้าวตงหยางมองจนเหม่อ เขาเผลอใช้นิ้วจิ้มไปที่แก้มของนาง แล้วยิ้มออกมา เมื่อรู้สึกตัวจึงได้หุบยิ้มลง
"หึ เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกหรือไง" เพราะใจของเขากระตุกเพียงได้เห็นนางยิ้มออกมา
จ้าวตงหยางล้มตัวลงนอน แล้วดึงจินเยว่เข้ามากอดอย่างเอาแต่ใจ เข้าสูดดมเส้นผมของนางแล้วนอนหลับไป
จินเยว่เมื่อตกดึกอากาศเริ่มเย็นก็ซุกตัวเข้าหาจ้าวตงหยางเช่นเมื่อวาน จ้าวตงหยางที่รู้สึกตัวตื่น เมื่อคลำหน้าผากนางไม่ร้อนเช่นตอนแรกก็วางใจ ก่อนจะกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเผื่อให้นางคลายหนาว
เขาตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนี้ ทั้งที่ต้องเกลียดนาง เพราะบิดาของนางทำให้บิดาของเขาต้องตาย แต่เขามิอาจปล่อยนางออกจากอ้อมกอดของตนได้ จ้าวตงหยางถอนหายใจก่อนจะเลิกคิดแล้วนอนต่อ
จ้าวตงหยางทำเช่นนี้อยู่ถึงสามวัน จนวันที่สี่เขาก็แอบเข้าไปอีก แต่ครั้งนี้จินเยว่เริ่มสงสัยเสียแล้ว นางยังมิได้หลับ พอได้ยินเสียงคนงัดหน้าต่างนางจึงลุกขึ้นหยิบเชิงเทียนมาไว้ในมือ
จ้าวตงหยางเห็นความเคลื่อนไหวในห้องจึงได้หยุดมือแล้วรีบหนีออกไป เมื่อจินเยว่เปิดหน้าต่างออกไปก็ไม่พบใครเสียแล้ว นางจึงปิดหน้าต่างแล้วกลับมานอนที่เตียงตามเดิม
คืนนั้นเป็นจ้าวตงหยางที่นอนไม่หลับเสียเอง เขาไม่ยากจะเชื่อเพียงไม่กี่วันที่เขาแอบเข้าไปนอนกอดนาง จะทำให้เขาลำบากถึงเพียงนี้
เช้าตอนที่จ้าวตงหยางไปถึงค่ายทหารขอบตาของเขาดำคล้ำจากการอดนอน จนหลิวเหล่ยต้องเอ่ยปากถาม เพราะสหายของเขาเมื่อสามวันที่แล้วสีหน้ายังสดชื่นอยู่ แต่วันนี้กลับเป็นเช่นนี้ไปได้
"ตงหยาง สภาพเจ้าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้"
จ้าวตงหยางปรายตามองหลิวเหล่ยอย่างเฉยชา แล้วเหมือนเขาคิดอะไรขึ้นมาได้จึงมองสหายด้วยสายตาลึกล้ำแทน
"เจ้ามิไปเรือนตระกูลเสวี่ยอีกหรือ" หลิวเหล่ยรีบส่ายหัวทันที ต่อให้เขาไปเขาก็ไม่ไปกับจ้าวตงหยาง
"ไม่ไป"
"เหตุใดถึงไม่ไป" จ้าวตงหยางมองสหายอย่างสงสัย
"ตงหยางเจ้ามิรู้ตัวเลยหรือ" หลิวเหล่ยมองสหายอย่างมองคนโง่ที่ตนทำเรื่องอะไรไว้แล้วจำไม่ได้
"เรื่องอันใด"
"หากเจ้าอยากรู้ วันนี้เจ้าลองไปดู" เขาจะบอกได้อย่างไร ว่าเขาไปมาเมื่อวานแล้ว แต่เสวี่ยป๋อเหวินบอกไม่สะดวกรับแขก
จ้าวตงหยางขมวดคิ้วคิดอย่างแปลกใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าหลิวเหล่ยที่สนใจจินเยว่จะไม่ไปพบนางอีก
จ้าวตงหยางลากหลิวเหล่ยไปด้วยกัน เมื่อมาถึงหน้าเรือนก็พบว่า ประตูเรือนตระกูลเสวี่ยไม่เปิดต้อนรับพวกตน กงจือที่ทำหน้าที่เฝ้าคนตระกูลเสวี่ยจึงได้รายงานให้แม่ทัพของเขาฟัง
"ท่านแม่ทัพขอรับ นายท่านเสวี่ยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านแล้ว จึงไม่ยอมให้พวกท่านเข้าไปในเรือนอีกขอรับ" จ้าวตงหยางกับหลิวเหล่ยตกตะลึง แต่จะโทษใครได้เป็นตนเองที่ทำให้บุตรสาวของเขาอับอาย หากบิดาของนางจะทำเช่นนี้ก็เห็นสมควรแล้ว
ตอนนี้ภายในเรือนตระกูลเสวี่ย สองพ่อลูกกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องธนาคารในอีกพันปีข้างหน้า จินเยว่เล่าระบบการทำงานของธนาคารให้บิดาฟัง เสวี่ยป๋อเหวินก็ร่างระเบียบแผนการเก็บไว้มอบให้องค์รัชทายาท
หากแคว้นฉีมีธนาคารเช่นที่จินเยว่พูดเงินในคลังหลวงก็จะเพิ่มขึ้นจากการเก็บดอกเบี้ย หรือปล่อยเงินให้ชาวบ้านได้กู้ จะเก็บดอกเบี้ยเป็นเงินหรือเสบียงที่มีราคาเท่าดอกเบี้ยก็นับว่าดีทั้งสิ้น
สองพ่อลูกมิรู้เลยว่าท่านแม่ทัพกับกุนซือยืนอึ้งอยู่หน้าเรือนของตน จ้าวตงหยางจะใช้อำนาจของเขาเข้ามาในเรือนก็ย่อมได้ แต่หากเขาทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เสวี่ยป๋อเหวินไม่พอใจตัวเขามากขึ้น
จ้าวตงหยางสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อคุมโทสะของตนไม่ให้ปะทุออกมา ก่อนจะขึ้นม้าขี่ควบออกไป
คล้อยหลังเขาจากไปไม่นาน รถม้าของท่านเจ้าเมืองก็เคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าเรือนตระกูลเสวี่ย คนที่มาคือท่านเจ้าเมือง เขามาครั้งนี้เพราะครั้งที่แล้วในงานวันเกิดฮูหยินท่านผู้เฒ่า เขาเห็นจินเยว่มาคอยรับใช้เว่ยซืออิง
ครั้งนี้เขาจึงเลียนแบบจวนแม่ทัพ มาเรียกตัวนางไปรับใช้ที่เรือนของตนบ้าง เขาใช่เหตุผลเดียวกันกับจวนท่านแม่ทัพ เรื่องที่จวนท่านเจ้าเมืองกำลังจะจัดงานแล้วคนขาดไปจึงมาขอให้นางไปช่วยรับรองแขก
เสวี่ยป๋อเหวินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตบโต๊ะบันดาลโทสะต่อหน้าท่านเจ้าเมือง
"วันนี้ข้าเป็นเพียงขุนนางต้องโทษก็จริง แต่เรื่องของข้ายังมิได้ถูกตัดสิน หากพวกเจ้ายังรังแกกันมิเลิก ข้าก็ขอสู้ตายกับพวกเจ้า"
ท่านเจ้าเมืองที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบร้อนออกจากเรือนตระกูลเสวี่ยไป ถึงแม้เสวี่ยป๋อเหวินจะได้ชื่อว่าขุนนางต้องโทษแต่โทษของเขาก็ยังไม่ได้ถูกตัดสิน เพียงแค่โดนคุมตัวไว้เท่านั้น หากวันใดที่เขากลับคืนตำแหน่งได้ ตำแหน่งเจ้าเมืองเล็กๆของตนคงไม่อาจได้เป็นต่อ
"ท่านพ่อคลายโทสะด้วยเจ้าค่ะ แค่คำพูดของคนอื่นหากทำให้ท่านล้มป่วยข้าคงเสียใจอย่างมาก" จินเยว่เดินเข้าไปกอดแขนของบิดาไว้ เสวี่ยป๋อเหวินจึงได้คลายโทสะลง ความแค้นครั้งนี้เขาจดไว้ในบัญชีเรียบร้อย รวมทั้งจ้าวตงหยางด้วย