- 4 -
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินกลับมาที่ลานหน้าบ้าน เมื่อสุริยันใกล้ลาลับจนแสงทองส่องทะลุหมู่เมฆาลงมามิได้อีกต่อไป และจันทราเริ่มแย้มหน้าออกมาทักทาย สรรพชีวิตในยามค่ำคืนต่างพากันส่งเสียงร้องระงมอยู่ไกล ๆ
หลิวหนิงยืนคอยเจ้านายอยู่อย่างสงบ เมื่อเห็นคุณหนูและคุณชายกำลังหัวเราะกันอย่างสนิทสนมก็รู้สึกโล่งใจขึ้น หวังว่าความโปรดปรานที่คุณชายเจียหรงมีต่อคุณหนูของนางจะทำให้คุณหนูใช้ชีวิตในจวนได้อย่างสงบสุข
“ข้าคงต้องขอตัวกลับแล้ว รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าเสียนาน” จางเจียหรงกล่าวอย่างสุภาพ
“ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น มิได้รบกวนอันใดเจ้าค่ะ”
“หากมีสิ่งใดขาดเหลือหรือเจ้าประสงค์สิ่งใดในพิธีแต่งงาน ก็ให้คนมาบอกข้าได้เลยนะหลานเฟย” เขากำชับ
“เจ้าค่ะ แต่ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องจัดเตรียมทุกอย่างไว้สมบูรณ์แล้วแน่นอน” นางพูดอย่างอ่อนน้อมและชื่นชมฝ่ายตระกูลจางอย่างชาญฉลาด
จางเจียหรงยิ้มพอใจ “ข้าจะไปกล่าวลาบิดาเจ้าเสียหน่อย”
“ข้าว่าท่านพ่อน่าจะยังอยู่ในห้องหนังสือเหมือนเดิม ใช่ไหมพี่หลิวหนิง” ท้ายประโยคหันมาถามสาวรับใช้
“เจ้าค่ะคุณหนู” สาวใช้รับคำ
“ข้าขอตัว” ร่างสูงโปร่งก้าวเดินไปทางห้องทำงาน
เมื่อแยกจากจางเจียหรงไป๋หลานเฟยและหลิวหนิงจึงมุ่งตรงกลับเรือน
บ่าวรับใช้คนสนิททราบความประสงค์ของคุณหนูโดยมิต้องเอ่ยวาจา
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู”
หลิวหนิงปิดประตูหน้าต่าง รินน้ำชาให้ผู้เป็นนายแล้วเอ่ยปากถามด้วยความใคร่รู้ เท่าที่ดู นางเห็นความก้าวหน้าระหว่างคุณหนูกับคุณชาย และนั่นทำให้นางคลายใจ ดูท่าคุณชายเองคงพึงใจคุณหนูนางไม่น้อย
“เขายังคงสุภาพเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เราคุยเรื่องพิธีและเรื่องอื่นมากกว่าเดิม” นางจิบชาด้วยกิริยามารยาทของคนที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
“เขาบอกว่าทุกคนจะชอบข้า ได้ฟังแบบนั้นข้าก็เบาใจ แต่เวลาเขาพูดถึงเรื่องนี้ข้ารู้สึกว่าแววตาเขาแปลก ๆ” นางยกจอกชาขึ้นจิบอีกครั้งพลางครุ่นคิดถึงแววประหลาดที่ฉายแวบในแววตาจองจางเจียหรงวูบหนึ่ง
“ไม่รู้สิพี่หลิวหนิง ข้าอาจคิดมากไปเอง”
“คุณหนูมิต้องคิดมากนะเจ้าคะ มีใครบ้างไม่ชอบคุณหนู”
หลิวหนิงทั้งให้กำลังใจและชื่นชมคุณหนูที่รักของตน แล้วส่ายหัวให้กับนางอย่างเอ็นดู
ไป๋หลานเฟยผู้นี้ได้รับการดูแลฟูมฟักมาอย่างดีด้วยความเอาใจใส่ของฮูหยินซึ่งเลี้ยงนางมากับมือโดยแทบไม่ใช้แม่นม นิสัยอ่อนหวานอ่อนโยนซึ่งเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไป ก็มาจากการบ่มเพาะของมารดานี่เอง
“ขอบใจมากนะพี่หลิวหนิงที่คอยยกยอข้า”
“บ่าวพูดความจริงเจ้าค่ะ ฟ้าดินเป็นพยาน” สาวใช้คนสนิทประกบมือเข้าหากันสื่อถึงสรวงสวรรค์จนนายสาวหัวเราะออกมา
“ใกล้วันเข้ามาทุกที ท่านแม่ได้บอกเจ้าไหมว่าจะมาช่วยข้าเตรียมของเพื่อออกเรือนเมื่อใด”
“พรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าวของเครื่องใช้เยอะนัก คงต้องเตรียมการหลายวัน เพื่อให้สมกับฐานะของบุตรีคนเดียวของเจ้ากรมพิธีการ จะให้ใครมาว่าเราไปแต่ตัวไม่ได้เชียวนะเจ้าคะ” หลิวหนิงพูดเป็นจริงเป็นจัง
“มาเจ้าค่ะ ให้บ่าวช่วยปรนนิบัติคุณหนูเข้านอน”
ไป๋หลานเฟยพยักหน้ารับ หลิวหนิงจึงรีบจัดแจงช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผ้าป่านที่สวมใส่สบายยามนอนหลับ
คืนนั้นหลังจากเข้านอนแล้วไป๋หลานเฟยกลับนอนไม่หลับ อีกไม่กี่วันจะถึงวันแต่งงานแล้ว หัวสมองนางคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย และพลันหัวใจก็เต้นรัวแรงขึ้นมายามเมื่อนึกไปถึงการต้องร่วมหอลงโลงกับบุรุษที่นางยังไม่ได้รู้จักดีนัก
จวนของอัครมหาเสนาบดีจะเป็นอย่างไรหนอ แล้วห้องหอของนางเล่า นางเป็นเพียงสาวน้อยไม่ประสีประสา จะหาวิธีทำให้บุรุษพึงใจได้อย่างไร แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ คุณชายเจียหรงเมื่ออยู่บนเตียงจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร เรื่องเหล่านี้ทำให้ไป๋หลานเฟยนึกกังวลขึ้นมา แต่นางก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองมิได้