บทที่ 9 อยากเขียนคำว่า 'ขอบคุณ'
คิระเริ่มแจกใบสอบถาม เฟลเวียแยกไปแจกใกล้ๆแถวนั้น โครงงานของอาซึสะกับมาริเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนตามที่อาจารย์มอบหมายมา และคิระก็รู้ว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาพวกนี้คงไม่มีความสนใจอะไรพิเศษที่จะบอกว่าพวกเขาใช้สเปรย์ฉีดผมไหม หรือเปิดแอร์สัปดาห์ละกี่วัน ดังนั้นมันจึงไม่ทำให้รู้สึกผิดหวังอะไรมากนักเมื่อคนส่วนมากปฏิเสธที่จะทำแบบสอบถาม
“เหลือเต็มเลย” มาริพูด แก้มเป็นสีเรื่อจากแสงแดดจ้า พวกเขาเอาแบบสอบถามที่ทำแล้วมารวมกัน ของอาซึสะมากที่สุดเนื่องจากเจ้าหล่อนมีลูกตื๊อบวกกับรอยยิ้มแจ่มใส ตามด้วยคัตสึมิที่พวกสาวๆแทบจะเข้ามารุมเขาอยู่แล้ว
“เอางี้ ฉันกับไอ้หล่อจะไปแจกที่เหลือเอง” อาซึสะพูด “พวกเธอสามคนช่วยแยกเพศกับอายุเป็นกองๆเลยก็แล้วกัน”
“อื้ม ได้จ้า” มาริรับคำ นั่งลงตรงม้านั่งที่ไม่โดนแดด “ซาขุยะมาใต้ร่มสิจะได้ไม่ร้อน อ้ะ แยกชายหญิงก่อนนะ”
เฟลเวียนั่งลงข้างๆมาริ เอื้อมมือมาช่วยแม้จะอ่านไม่ออกว่าตรงไหนคือชายหรือหญิง คิระรีบชูกระดาษขึ้นชี้ตรงช่องที่ให้ใส่เครื่องหมาย เฟลเวียจึงพยักหน้า ลงมือแยกคนที่ขีดช่องด้านซ้ายกับขวาออกจากกัน คิระถอนหายใจ ว่างๆเขาต้องสอนภาษาเขียนให้เจ้าหล่อนสักที แต่ก็นะ ขนาดภาษาพูดแบบปัจจุบันยังไม่ค่อยจะกระเตื้องเลยบางที
“เสร็จแล้ว” เฟลเวียส่งสองกองที่แยกแล้วให้มาริ เจ้าหล่อนทำงานรวดเร็วไม่น่าเชื่อ มาริรับไปใส่แฟ้มแยกไว้ นัยน์ตาสีนิลของเฟลเวียพลันแวบไปเห็นตุ๊กตาห้อยโทรศัพท์มือถือที่ห้อยออกมานอกกระโปรงยีนส์ ฝุ่นควันสีดำของคิระลอยมากระทบปลายจมูก “...น่ารักนะ”
“หืม? อ๋อ ที่ห้อยโทรศัพท์เหรอ” มาริยิ้มพร้อมกับดึงโทรศัพท์ออกมาให้เห็นชัดๆ “ซื้อตอนปีใหม่น่ะจ้ะ ซาขุยะชอบแบบนี้เหรอ” มาริถามอย่างอารี เห็นว่าน้องสาวเพื่อนเพิ่งมาจากบ้านนอกคงจะไม่เคยเจอที่ให้ซื้อของกุ๊กกิ๊กมากนัก
คิระเงยหน้า มองเฟลเวียจับตุ๊กตาที่มีฝุ่นควันของเขาติดอยู่เต็มและปล่อย นัยน์ตาสีนิลเลื่อนมาสบกับเขา ไม่รู้ทำไมสายตาร่างบางถึงดูตำหนิและน้อยใจถึงขนาดนั้น เขาเสมองไปทางอื่น
“อืม ข้า...ฉันชอบตัวนี้”
“ในห้างก็มีขาย ตัวใหญ่กว่านี้ก็มีนะ คิระนี่ไม่ซื้อของให้ซาขุยะเลยใช่ไหม เป็นพี่ประสาอะไรเนี่ย ใช้ไม่ได้ๆ”
คิระยิ้มให้มาริอย่างไม่เต็มที่นัก แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาเหลือบตามองเฟลเวียก็เห็นว่านางปิศาจดูจะเลิกสนใจที่ห้อยโทรศัพท์แล้ว และกำลังแยกเอกสารต่อ พร้อมกับชวนมาริคุยเรื่องอื่น ไม่นานอาซึสะกับคัตสึมิก็กลับมา
“เรียบร้อย!” อาซึสะประกาศชัยชนะ ก่อนจะมองคัตสึมิ "ดูซิ แค่ฉันกรี๊ดว่า ‘เน็ตไอดอล!’ ให้คนหันมามองไอ้หล่อเท่านั้นแหละ พวกผู้หญิงทั้งหลายกรูเข้ามายังกับแร้งลง วันหลังนายต้องเป็นเน็ตไอดอลจริงๆซะแล้วล่ะ" คัตสึมิเกาท้ายทอย
"ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย..."
มาริรวบรวมเอกสารใส่แฟ้มเรียบร้อยก็ชวนกันไปทานอาหารกลางวัน พวกเขาแจกเอกสารกันมาจนเกือบเที่ยง อาซึสะซึ่งชำนาญเรื่องกินเที่ยวที่สุดพาเข้าร้านราเม็งขึ้นชื่อ ซึ่งคนแน่นจนพวกเขาต้องนั่งรอคิวอยู่หน้าร้าน มาริคุยกับคิระเรื่องหนังสืออย่างออกรส เฟลเวียยืนสูดกลิ่นอาหารต่างๆอย่างสนใจ ซากศพพอนำมาปรุงแล้วก็ส่งกลิ่นได้หลากหลายจริงๆ
คัตสึมิยืนมองหญิงสาว หัวใจเขาเต้นในจังหวะแปลกประหลาด เหมือนกึ่งตื่นตัวกึ่งระแวง แยกไม่ออกว่าเป็นอาการชอบหรือกลัว แต่ร่างเพรียวบางที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆในชุดชมพูตรงหน้าก็แสนน่ารักน่ามอง จนหาสาเหตุไม่ได้ว่าเขาจะต้องกลัวอะไร ผิวสีขาวราวกับน้ำนมขับนัยน์ตาสีนิลให้โดดเด่นขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่สวยที่สุดในตัวเธอ
เฟลเวียรู้สึกตัวว่าถูกมอง เธอหันมาและขยับรอยยิ้ม คัตสึมิยิ้มตอบ “ซาขุยะเลือกอยู่เหรอว่าจะทานอะไร”
“เอ่อ...” หญิงสาวหันไปมองเมนูก่อนจะหันกลับมา เรือนผมยาวสยายพลิ้วไหวตามจังหวะที่เธอขยับ "ฉันเลือกไม่ถูก ไม่เคยกินแบบนี้"
“งั้นเหรอ ร้านนี้ดังมากนะ สั่งอะไรก็อร่อย” คัตสึมิฉีกยิ้มราวกับเป็นพรีเซนเตอร์ร้าน เฟลเวียสังเกตเขาอย่างละเอียดลออ เธอรู้สึกตื่นตัวเมื่ออยู่กับเขา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีคุกคาม ไอควันสีนวลลอยอยู่รอบตัวเขา เมื่อแข็งใจไม่ถอยหนี ไม่ไม่ปรากฏว่าควันเหล่านี้เหม็นหรือทำให้อึดอัดแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคล้ายปุยสายไหมนุ่มนวลระรื่น ความรู้สึกที่ขัดแย้งนี้ทำให้เธอสับสน
“ซาขุยะ” คิระเรียก ตบเก้าอี้ข้างตัว “นับหน่อยว่าแต่ละแฟ้มมีกี่แผ่น”
เฟลเวียเดินไปรับแฟ้มมานั่งนับให้อย่างเชื่อฟัง คัตสึมิมองตาม สายตาไปประสานกับคิระ เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นลงมากั้นกลางระหว่างทั้งสอง คัตสึมิยิ้ม รอยยิ้มเป็นมิตรปานเทพบุตรของเขามักจะได้รอยยิ้มตอบกลับมาเสมอ แต่ไม่ใช่คราวนี้ นัยน์ตาเรียวของคิระหรี่ลง แวบหนึ่งมันสีอ่อนลงแทบจะเป็นสีเทาก่อนจะหันกลับไปทางมาริ
“คิระ? ฟังที่ฉันพูดรึเปล่าเนี่ย” มาริถามอย่างออกจะงอนๆ คิระยิ้มแห้งๆ
“โทษที เธอว่าไงนะ”
“ฉันถามว่า เดี๋ยวไปทานไอศกรีมกันแล้วไปดูหนังเรื่องอะไรดี”
เธอชี้บอร์ดที่มีรอบหนังวิ่งอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่ทั้งสองจะพูดชื่อเรื่องออกมาพร้อมกันราวกับนัดไว้ คิระมองมาริ เด็กสาวหัวเราะ
“ดีจัง! ใจตรงกันเลย ซาขุยะไปดูด้วยกันนะ”
“เอ๋...” เฟลเวียเงยหน้างงๆ เพราะไม่รู้อยู่แล้วว่าหนังคืออะไร คัตสึมิพูดขัดขึ้น
“อ้าว ฉันได้ยินอาซึสะว่าซาขุยะจะซื้อเสื้อ ไม่ใช่เหรอ” เขาได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆ คิระก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เพิ่งคุยเรื่องร้านเสื้อผ้ากับอาซึสะเองนี่นา
“เออจริง... งั้นไว้วันหลังนะมาริ ซาขุยะยังไม่มีเสื้อผ้าเท่าไหร่เลยตั้งแต่มาอยู่” และต้องเลือกนานแน่ด้วยความเรื่องมาก คิระคิดต่อในใจ
“อ่อ...เหรอ ก็ได้จ้า” มาริพูดอย่างผิดหวังนิดๆ คิระจึงเสนอว่า
“พรุ่งนี้ฉันว่าง มาดูไหมล่ะ”
มาริหน้าขึ้นสีเรื่อเมื่อได้ยินคำถามที่คล้ายจะขอนัด คิระเลิกคิ้วรอคำตอบ เด็กสาวยิ้มหวาน “เอาสิ”
ทั้งสองนั่งคุยกันต่อ คัตสึมินั่งลงข้างๆเฟลเวีย เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเขาช่วยนับเอกสารอีกแฟ้มและเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณ คัตสึมิ”
“ไม่เป็นไรหรอก จดจำนวนไว้รึยัง”
“ยังเลย” เฟลเวียส่ายหน้า เธอจะจดได้ยังไงในเมื่อไม่รู้จักอักษรหรือเลขสักตัว คัตสึมิดึงปากกาออกมาถามจำนวนและจดให้อย่างเรียบร้อย
“ทุกคน!” อาซึสะโผล่หน้าออกมาจากร้าน หลังจากคุยกับลุงเจ้าของร้านอยู่นานสองนาน “โต๊ะว่างแล้ว มาเถอะ”
ทุกคนเข้าไปในร้านและเริ่มสั่ง คิระสั่งของเขาและเฟลเวียเหมือนกัน ก่อนจะเห็นว่าเจ้าหล่อนหยิบตะเกียบขึ้นมาแบบไม่แน่ใจนัก เธอเคยเห็นคิระใช้ตะเกียบกินมื้อเย็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ราเม็งถูกยกมาเสิร์ฟหน้าทุกคน อาซึสะจับตะเกียบลงมือก่อนเป็นแรก เฟลเวียจ้องมองนิ่งก่อนจะค่อยๆหยิบตะเกียบขึ้นมา
ไอควันดำล้อมรอบมือเธอราวกับกำลังชักใยเชิดด้วยมนตราบางอย่างขณะทาน ท่าทางจับตะเกียบชำนิชำนาญไม่ต่างจากคนญี่ปุ่นแท้ๆ คิระเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มน้อยๆ ร้ายนักนะยัยปิศาจ ทำอะไรเนียนไปหมดเลย
“เป็นไง อร่อยไหม” คัตสึมิถามยิ้มๆ คนเพิ่งเคยกินราเม็งครั้งแรกในชีวิตพยักหน้ายิ้มตอบ
“อร่อย แต่เยอะไปหน่อย” เธอพูด มองคิระ เขาเข้าใจทันทีและขยับชามมาใกล้ คีบเอาเส้นส่วนหนึ่งมาไว้ในชามตัวเอง ก่อนจะคีบเนื้อของเขาใส่ชามเจ้าหล่อนและตักน้ำซุปเลือดแบ่งให้เกือบครึ่ง เพราะรู้ว่าเธอชอบเลือด คัตสึมิมองอย่างออกจะตกใจ เฟลเวียยิ้มโชว์เขี้ยว คิระชักจะหมั่นไส้นิดๆ นี่เขาต้องมานั่งกินแต่แป้งกับผักเพราะอะไรเนี่ย
หลังทานราเม็งเรียบร้อยพวกเขาก็ไปต่อที่ร้านไอศกรีม 99 รส เฟลเวียไม่มีปัญหาเพียงแต่เธอไม่ชอบรสหวานขนาดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับอาซึสะและมาริที่ชอบไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ ก่อนที่ทุกคนจะบอกลากันแยกย้ายกลับบ้าน
“เจอกันพรุ่งนี้นะคิระ” มาริยิ้ม อาซึสะและคัตสึมิโบกมือให้คิระกับเฟลเวีย คิระโบกมือตอบ
เมื่อทุกคนหายไปหมดแล้ว คิระจึงหันมาหาเฟลเวีย เจ้าหล่อนถอนหายใจเฮือก "ดีจริง ข้ากระดากปากมาตั้งนาน ภาษาสมัยใหม่ไม่รื่นหูเสียเลย" คิระหัวเราะเบาๆ
“เธอทำได้ดีมาก เอาไปสิบคะแนน” เขาชมอย่างจริงใจ เฟลเวียสะบัดผมมองอย่างขุ่นๆ
“ดีอะไรล่ะ ข้าต้องเสกเวทตลอดเลย ออกมาเหมือนรึเปล่าก็ไม่รู้”
“เหมือนเป๊ะๆ” คิระยืนยัน หัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ “ป้ะ... ซื้อเสื้อผ้ากัน”
กว่าที่ทั้งสองจะกลับถึงห้องเช่าก็ตกเย็น เอมุนิลลืมตาหลังหลับมาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ม่านตาสีอำพันขยายกว้างขึ้นเมื่อได้กลิ่นอายของเฟลเวีย
ประตูห้องเช่าเปิดออกและคิระเดินเข้ามา วางถุงเสื้อผ้าไว้ที่ปลายเตียงและเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เอมุนิลเดินลงจากเตียง โดดขึ้นให้เฟลเวียอุ้มเกาคางอย่างคุ้นเคย เธอเดินไปเลื่อนเปิดประตูอีกบานเพื่อรับลม ก่อนจะนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อย เธอไม่เคยเดินมากขนาดนี้มาก่อน ปกติจะไปไหนแค่หายตัวไปเป็นควันก็ไปถึง
คิระเดินออกมาเช็ดหน้า นั่งลงที่โต๊ะและหยิบการบ้านที่ดองไว้ออกมาดู เขามองนาฬิกา “แค่ช้อปปิ้งทำไมมันเสียเวลานานนะ”
“เพราะท่านพาข้าหลงละมั้ง” เฟลเวียพูดขึ้น คิระหันมอง คล้ายจะเถียงว่าใครที่เรื่องมากจนเสียเวลา แต่ความจริงเจ้าหล่อนก็ไม่ได้เรื่องมากเท่าที่เขาคาดไว้ ปากที่กำลังจะว่าเลยพลิกเป็นถอนหายใจ
“ฉันผิดอีกสิเนี่ย”
“อืม สำนึกตัวก็ดีแล้ว” เจ้าหล่อนหลับตาพูด “นี่ เดเมี่ยน”
“บอกว่าให้เรียกคิระไง ยัยปิศาจขี้ลืม” คิระเอ่ยแก้
“คิระ” หญิงสาวลืมตา “ท่านจับกำไลของข้าได้ไหม กลิ่นอายของท่านจะได้ติดอยู่”
เจ้าหล่อนยกมือขึ้นให้เห็นกำไลเงินสองสามวง คิระไพล่นึกไปถึงพวงกุญแจของมาริ แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นจึงปฏิเสธ “ไม่ล่ะ จับทำไม อย่างเธอปิศาจเข้าใกล้ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
เฟลเวียเงียบไป แล้วก็ยันตัวขึ้นมา “ในเมื่อข้าขอเรื่องนี้แล้วท่านไม่ให้ ฉะนั้นข้าจะขอเรื่องอื่น”
“ว่ามา”
“เวลาท่านไปโรงเรียน ข้าออกไปเที่ยวนอกบ้านได้ไหม”
“หืม อยากไปไหนเหรอ” คิระพูดเสียงอ่อนลง รู้ดีว่าประสบการณ์เที่ยวเมืองวันนี้แม้จะดูเป็นหนึ่งวันหยุดธรรมดาๆของเด็กมัธยม แต่คงแปลกประหลาดและน่าตื่นเต้นสำหรับเฟลเวียมาก คนไม่ชอบถูกขังแบบเธอคงอยากเปิดหูเปิดตามากกว่านี้อีก
“สวนสาธารณะ” เด็กสาวตอบง่ายๆ ห่างจากตึกนี้ไปไม่เท่าไรมีสวนสาธารณะซึ่งจะมีเด็กๆไปเล่นอยู่เสมอ “เด็กมนุษย์ที่อยู่ในร้านทำกับข้าวชั้นล่างบอกข้าว่า ที่นั่นร่มรื่นและมีพืชพรรณสวยงาม”
“เด็กมนุษย์? ไดสึเกะ หลานคุณนานาเอะน่ะเหรอ” คิระเอียงคอ เฟลเวียผงกหัว “อืม... ก็ได้ ฉันให้เธอไป แต่อย่าไปทำมิดีมิร้ายอะไรคนอื่นเขาล่ะ” เด็กหนุ่มคล้ายจะหลงลืมไปแล้วว่าตัวเองพยายามจะไล่ปิศาจสาวไปจากเคหสถาน ตอนนี้กลับมาไหลตามน้ำกับหญิงสาวที่ต้องขออนุญาตเขาก่อนจะไปไหนมาไหน
“หึ รู้แล้ว ตราบใดที่ท่านและซาตานไม่สั่ง ข้าจะไม่ทำอะไรใครทั้งสิ้น” หญิงสาวรับคำ คิระหันกลับมายังการบ้าน นัยน์ตาเหลือบไปเห็นกองสมุดที่เขาวางรกๆไว้บนโต๊ะ เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้มันตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบและโต๊ะก็ดูสะอาดเรียบร้อยทั้งที่ยังไม่ถึงวันอาทิตย์ที่เขามักจะทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ นิตยสารเก่าๆสองสามฉบับที่คิระลืมไปแล้วว่ามีอยู่วางอยู่บนพื้น เฟลเวียหยิบมันขึ้นมาพลิกๆ
“เธอเอามาจากส่วนไหนของห้องฉันน่ะ”
เฟลเวียปรายตามอง “นี่ท่านไม่เคยจัดห้องตัวเองเลยเหรอ”
“เออ... ฉันมันไม่มีระเบียบ” คิระยอมรับแต่โดยดี หญิงสาวพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆก่อนจะหยุดและหมุนมันเข้ามาใกล้ๆ
“นี่อะไรน่ะ” เสียงถามเหมือนเจออะไรที่พิลึกพิสดารอย่างยิ่ง คิระขมวดคิ้วก่อนจะนั่งลงข้างเตียงใกล้ๆนิตยสาร เขาหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นสิ่งที่เจ้าหล่อนชี้
“เขาเรียกกิโมโน เป็นชุดของผู้หญิง ชุดประจำชาติญี่ปุ่นเชียวนะ” เขาพูด เฟลเวียทำท่าคล้ายจะอุทานอะไรสักอย่างแต่ก็หุบปาก เธอไม่เข้าใจว่าผู้หญิงจะเอาตัวเข้าไปอยู่ในชุดที่ดูยุ่งยากอย่างนั้นได้อย่างไร
“ไม่ใส่ลำบากแย่?”
“อ้าว.. เอ้อ ชุดอะไรมันจะใส่ง่ายน้อยชิ้นแบบชุดของเธอล่ะ” คิระว่า สงสัยถ้าเขาให้เจ้าหล่อนดูกิโมโนของพวกเจ้าหญิงโบราณที่มีสิบสองชั้น สีหน้าคงตลกกว่านี้สามเท่าแน่ๆ “จริงสิ นี่ไงคำว่าสวัสดี”
“ไหน.. เนี่ยเหรอ” เฟลเวียเลื่อนตัวลงมานั่งบนพื้นด้วยจะได้ถนัดๆ คิระชี้ตรงคำทักทายของผู้เขียนคอลัมน์ เขาหาดินสอใกล้มือมาวงเฉพาะคำว่าสวัสดีให้เห็น “ทำไมมันดู...ยาก”
“ฮ่าๆ ไม่หรอก นี่ไง” คิระเขียนให้ดูตรงที่ว่างๆ แต่ก็พบว่าเป็นกระดาษมันๆเขียนยาก เขาลุกขึ้นไปหยิบสมุดฉีกบนโต๊ะมาใช้แทน “สวัสดีตอนเช้า”
“แล้วตอนอื่นล่ะ” หญิงสาวเอียงคอถาม คิระจิ้มหน้าผากเธอ
“ลองเขียนตอนเช้าอย่างเดียวให้มันได้ก่อนเถอะยัยปิศาจ”
เฟลเวียเม้มปากอย่างตั้งใจขณะเขียนตาม แต่มือก็เกร็งจนเส้นออกมาหงิกงอเหมือนวาดไส้เดือน คิระหัวเราะร่วน นานพอดูกว่าเด็กสาวจะเริ่มจับทางได้ว่าต้องวาดเส้นแบบไหน พอเขียนได้ถูกต้องก็ปรบมือ คิระในฐานะครูก็ขอไฮไฟต์ด้วยความภูมิใจ
“คิระ แล้วคำว่าขอบคุณล่ะ”
“อะไรนะ” คิระที่กำลังชื่นชมตัวอักษรแบบเด็กอนุบาลวางกระดาษ ลูกศิษย์หมาดๆของเขาคลี่ยิ้ม
“ท่านอุตส่าห์พาข้าไปเที่ยวเล่น เจอมนุษย์ เจออาหาร เจอเรื่องใหม่ๆมากมาย... ข้าอยากเขียนคำว่าขอบคุณ”