บทที่ 8 เด็กหนุ่มกับฝุ่นสีขาว
แสงแดดอุ่นของเช้าวันเสาร์ส่องเข้ามาในห้องเช่าให้ความหนาวของยามค่ำคืนค่อยๆจางหาย ก้อนกลมๆใต้ผ้าห่มของคิระขยับเล็กน้อย เอมุนิลค่อยๆมุดหัวออกมา เช้านี้มันออกจะแปลกใจที่คิระไม่ได้ออกจากห้องแต่กลับนั่งอยู่บนเตียง แทนที่จะใส่ชุดนักเรียนกะกุรันสีดำก็กลับเป็นชุดเสื้อไปรเวทธรรมดา ส่วนเฟลเวียหายเข้าไปในห้องน้ำได้สักพัก
คิระเคาะประตู
“ยัยปิศาจ ออกมาได้แล้ว” เขาพูดพร้อมกับมองนาฬิกา วันนี้อาซึสะกับมารินัดไว้ราวสิบโมง กว่าจะบังคับให้เฟลเวียใส่ชุดที่เขาซื้อมาได้ ก็ปาเข้าไปเก้าโมงสิบห้า ข้าวช้งข้าวเช้าไม่ต้องกินมันแล้ว
เด็กหนุ่มมองประตูห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่ตีกันในอก ความจริงเขาจะออกจากบ้านไปเลยคนเดียวก็ได้ แล้วบอกพวกเพื่อนๆซะว่าน้องสาวไม่ไปด้วยแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่อยากทำอย่างนั้น... เฟลเวียมักพูดเป็นเชิงว่าเธอไม่ชอบถูกขัง อยากเห็นโลกภายนอก จนคนที่แต่เดิมพยายามจะให้เธออยู่บ้านอย่างคิระน้ำท่วมปาก แถมไม่รู้เมื่อไรที่เขาเริ่มชินกับการที่มีคนนอนข้างๆ ทั้งสองเลยไม่ได้ตีกันทุกคืนอย่างเคย เฟลเวียก็ว่าง่ายขึ้นพอสมควร และเริ่มรู้ว่าเขาไม่ชอบให้กอดรัด จึงเพียงแต่นอนซุกซบข้างกาย นี่เรียกว่าพัฒนาการของสิ่งชีวิตในระบบนิเวศเดียวกันใช่ไหมนะ
“ทำไมมันมีสองตัวล่ะ” เสียงหญิงสาวตอบกลับมาเสียงก้องๆจากในห้องน้ำ
“ออกมาเถอะน่า เร็ว! เดี๋ยวสาย”
ปึง!
เฟลเวียเปิดประตูเดินออกมา คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันขณะปากบ่น “ชุดอะไรของท่านก็ไม่รู้ ไร้รสนิยมสิ้นดี"
คิระมองดูเธอ ร่างเพรียวขาวหมดจดอยู่ในกางเกงยีนส์สั้นเหนือเข่า เสื้อซึ่งจริงๆมีสองตัวซ้อนกัน เป็นเสื้อกล้ามสีดำลายทางขาวดำตัวหนึ่ง และเสื้อไหมพรมคอกว้างสีชมพูอีกตัวหนึ่ง เจ้าหล่อนก็ใส่แค่ตัวสีชมพูตัวเดียวและถือเสื้อกล้ามออกมาแบบเอ๋อๆ ไม่รู้จะเอาไปใส่ตรงไหน เขาหัวเราะเบาๆ แฟชั่นยุคใหม่มันไม่เหมาะกับเธอจริงๆนั่นแหละ
“ที่นี่สาวๆเขาก็ใส่กันแบบนี้ เสื้อตัวนี้เขาให้ใส่ข้างนอก เธอใส่ตัวนั้นเข้าไปก่อน” คิระชี้ก่อนจะลุกขึ้น “มานี่มา”
เขาจับแขนเฟลเวียยกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อออก เสื้อตัวในของหญิงสาวเป็นสีดำเกาะอกตัวกระจิ๋วหลิว จะว่าเหมือนยกทรงไร้สายก็ไม่เชิงเพราะมันไม่ดันทรงอะไรทั้งนั้น คล้ายผ้าแถบคาดอกเสียมากกว่า ช่วงไหล่มนเรื่อยไปถึงลำคอขาวจัดเหมือนสีน้ำนมเช่นเดียวกับเนินอก คิระหน้าร้อนวูบ รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลบสายตาโดยอัตโนมัติ เขาดึงเสื้อในมือเธอใส่ให้อย่างรวดเร็ว
“ใครใช้ให้เธอใส่ชั้นในเกาะอก” เขาถาม กับยกทรงเขาไม่เคยเขินเพราะเห็นว่ามันก็เหมือนชุดว่ายน้ำบิกินี่ แต่ไอ้ผ้าพันๆคาดหมิ่นเหม่ชนิดที่ว่ากระตุกทีเดียวก็หลุดนี่มันวาบหวามใจชาย เฟลเวียทำหน้าแปลกๆ
“ข้าก็ใส่แบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว จะให้ไม่ใส่อะไรเลยหรือไง” หญิงสาวสวมเสื้ออีกชั้นหนึ่งทับเข้าไป ขณะที่คิระครุ่นคิดว่าจะต้องหาเวลาไปซื้อยกทรงให้เจ้าหล่อนดีหรือไม่ เฟลเวียมองสำรวจตัวเอง “ใส่แบบนี้ ท่อนบนข้าต้องร้อนตาย ส่วนท่อนล่างก็แข็งตายแน่เลย” ก็ถูกอย่างเธอว่า ใครเป็นคนต้นคิดเทรนด์ขาสั้นกุดกับเสื้อแขนยาวคงจะเมาๆพอสมควรว่าตกลงจะแต่งตัวฤดูไหนแน่
“ไม่ตายทั้งบนทั้งล่าง ฉันการันตี เขาใส่กันทั้งบ้านทั้งเมือง ให้อกกับท้องอุ่นๆก็ดีแล้วเธอจะได้ไม่เป็นหวัด ขาน่ะไกลปอด ช่างมันเถอะ” คิระบอก ความจริงเมื่อคืนเฟลเวียนอนข้างๆ เขายังรู้สึกเลยว่าเธอหนาว เสื้อผ้าที่เธอใส่ปกติเนื้อผ้าบางเบาเกินกว่าจะใช้ในญี่ปุ่น จนเด็กหนุ่มกังวลและแอบทบผ้าห่มซ้อนสองชั้นห่มไหล่ให้เธอยามหลับ “ไหนๆวันนี้ก็ไปห้าง เดี๋ยวฉันซื้อเสื้อผ้ามาให้เพิ่ม”
“แบบนี้อีกเหรอ ข้าไม่เอานะ ไม่เห็นสวยเลยสักนิดเดียว”
“เรื่องมาก ไม่เอาก็แก้ผ้าไปเลย” คิระตัดบทเพียงแค่นั้นและปิดไฟ เขาเปิดประตูให้เฟลเวียออกไป
หญิงสาวหันกลับมาหาเอมุนิลที่ยังนอนขดอยู่บนเตียงแต่ยกหัวขึ้นจ้องมองเธอ “เฝ้าบ้านนะเอมุนิล”
ห้างโอดะคิว
มาริมองนาฬิกาข้อมือและแอบถอนหายใจ นัดไว้สิบโมงแต่ยังไม่เห็นใครมาเลยสักคน เธอหยิบเอกสารใบสำรวจความคิดเห็นออกมาจากแฟ้มใสและเริ่มต้นนับเพื่อฆ่าเวลา ห้างเพิ่งเปิดไม่เท่าไร ร้านรวงบางส่วนยังมีพนักงานเช็ดกระจกอยู่และบางร้านไฟก็ยังไม่เปิด แต่มาริชอบมากกว่าเวลาคนเยอะๆ มันจอแจสับสนวุ่นวายไปหมด บางครั้งเธอก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นโรคเมาคนรึเปล่า เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นภาระให้คนอื่นจริงๆ
คิระเดินจูงเฟลเวียไว้ข้างตัวตั้งแต่ขึ้นรถใต้ดินจนกระทั่งมาถึงห้าง เพราะเสียวๆว่าเจ้าหล่อนจะเกิดบ้าไปทำอะไรคนอื่นเข้า เขามองหามาริกับอาซึสะ “ช่วยฉันหามาริหน่อย”
“สังคมมนุษย์ดูน่าสนุกจริงเชียว” เฟลเวียพูด นัยน์ตาสีนิลมองรอบตัว เธอไม่ได้มาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์บ่อยนัก เนื่องจากไม่ได้มีพลังมหาศาลและก็ไม่มีธุระหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์สักเท่าไร ได้แต่ฟังปิศาจที่ผ่านเข้าออกประตูนรกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง ในย่านช้อปปิ้งทุกอย่างวุ่นวายและสีสันจัดจ้านต่างไปจากที่เธอคาดคิดไว้ ภาพทุกอย่างเคลื่อนผ่านดวงตาสีดำประกายแดงไปอย่างรวดเร็วเกินจะประมวลได้ทัน สัตว์ปิศาจเล็กๆตัวหนึ่งซึ่งเกาะบนกระจกหน้าห้างผงกหัวให้เธอ เฟลเวียยิ้มตอบ
“มองหามาริหน่อยยัยปิศาจ” คิระพูดซ้ำ เฟลเวียเลิกคิ้ว
“ข้าจะไปรู้จักหน้าค่าตานางมนุษย์มาริได้ยังไง”
คิระหันมาจ้องหน้า “พูดภาษาปกติซิ อย่างที่ฉันสอนก่อนนอนเมื่อคืนน่ะ”
“แต่ว่าตอนนี้...” เฟลเวียอ้าปากก่อนจะเงียบเมื่อเห็นสายตาคิระ ตะกุกตะกักออกมาว่า “ฉ...ฉันไม่รู้จักมารินี่นา”
“เออ ค่อยใช้ได้หน่อย”
ร่างสูงยิ้มออกและลูบหัวเธออย่างกับกำลังชมสัตว์เลี้ยงแสนรู้อย่างไงอย่างงั้น ฝุ่นควันของเขาไปติดอยู่เต็มหัวหญิงสาวและยิ่งกระจายฝุ่นของเธอเองออกไปในอากาศรอบๆ สัตว์ปิศาจบนกระจกห้างเผ่นแผล็วไปทันทีเมื่อสัมผัสถึงฝุ่นควันของคิระ เฟลเวียขมวดคิ้วน้อยๆอย่างตำหนิ
“ท่าน...นายไม่น่าทำอย่างนี้เลย” เธอว่า คิระทำหน้าไม่เข้าใจ
“อะไร”
“กลิ่นอายของนายทำให้ปิศาจตกใจ” หญิงสาวอธิบาย “มันไม่กล้ากับสายเลือดของซาตาน”
“อ้อ...” คิระพยักหน้ารับรู้ นี่คือสาเหตุที่ปิศาจทุกตนไม่เข้าใกล้สิ่งที่มีฝุ่นของเขาติดอยู่ใช่ไหม เขาคิดก่อนจะนึกขึ้นได้ “เดี๋ยว ฉันไม่ใช่ลูกซาตานไง บอกกี่ทีถึงจะเข้าใจ... ไม่ต้องเถียงแล้ว ขี้เกียจทะเลาะ” ข้างท้ายดักคอก่อนเฟลเวียจะทันอ้าปาก เจ้าหล่อนแยกเขี้ยวงุด
“คิระ! ทางนี้จ้า”
มาริร้องเรียก เธอเดินมาหาคิระพร้อมกับส่งยิ้ม คิระทักทาย
“โทษทีนะมาสาย”
“ไม่เป็นไรหรอก อาซึสะสิยังไม่มาเลย” มาริว่า ยิ้มหวานเมื่อเห็นเฟลเวียอยู่ข้างหลังคิระ “ว้าว! นี่ซาขุยะน้องสาวคิระใช่ไหม น่ารักจัง”
คำพูดเธอฟังจริงใจเสียจนคิระปั้นสีหน้าไม่ถูก เฟลเวียมองมาริหัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว ตอบกลับเสียงค่อยอย่างระมัดระวังว่า “ใช่ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ภาพที่เห็นต่างจากที่มาริคาดเล็กน้อย ร่างเพรียวบางของน้องสาวคิระสูงกว่าเธอเสียอีก สูงเกือบเท่าปลายหูบนของคิระ หน้าตาไม่ได้มีเค้าของเขาสักนิด รอยยิ้มสวยเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆน่ารัก แต่มาริกลับสะดุ้งเมื่อสบตากัน แวบหนึ่งดูเหมือนตาของซาขุยะเป็นสีแดงก่ำวาววับ แต่พอกะพริบตาทีเดียว ก็กลับเห็นเป็นสีดำนิลที่มีประกายน้ำตาลแดงแบบเปลือกเกาลัดเท่านั้น คงจะเป็นเพราะแสงแดดละมั้ง มาริยิ้มตอบ
“ซาขุยะใช่ไหมจ๊ะ ฉันมารินะ” เธอแนะนำตัว “เห็นคิระบอกว่าซาขุยะเพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองเหรอ”
“ถูกแล้ว” เฟลเวียตอบ “แล้วจ...มาริล่ะ” เธอกลับคำได้ทัน คิระมองทั้งสองก่อนจะชวนมาริคุยเพื่อไม่ให้เฟลเวียต้องพูดโต้ตอบกับเธอมากนัก
“เอ๊ะ! นั่นอาซึสะใช่ไหม” มาริถามคั่นกลางบทสนทนา โบกมือให้ใครบางคนข้างหลังคิระและยิ้มหวาน “ใช่จริงๆแหละ มากับใครก็ไม่รู้ อาซึสะ!”
คิระหันหลังไป อาซึสะกำลังเดินมากับใครคนหนึ่ง คิระนึกได้ในทันทีเมื่อเห็นไอควันสีนวลราวกับเส้นใยจาง บางอย่างในตัวเขาเดือดขึ้นมา พลันก็รู้สึกว่ามือของเฟลเวียมาแตะที่แขน
ผู้ชายคนนั้นที่สนามฟุตบอล...
“หวัดดีทุกคน! ขอโทษทีนะมาสาย นี่! ฉันเจอเพื่อนอยากมาช่วยทำโครงงานแหละ” อาซึสะพูดเป็นชุดอย่างร่าเริง ร่างสูงโปร่งยิ้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกับอาซึสะ ใบหน้าหล่อเหลาผิวแทนจากแดดแบบนักกีฬายิ้มอบอุ่น ดวงตาโค้งขึ้นดูอารมณ์ดีอยู่เสมอ “ไอ้หล่อ นี่มาริ คิระ และ...ซาขุยะ?” คิระกับเฟลเวียพยักหน้า “ทุกคน นี่ไอ้หล่อ คัตสึมิ จากห้องคิง เขียนรายงานเก่ง ทำพรีเซนต์ก็เทพ สกิลพิเศษคือหน้าตาดี ชวนสาวๆมาตอบแบบสอบถามได้ มีคุณประโยชน์รอบด้าน!” คนถูกโฆษณาปล่อยหัวเราะ
“ยินดีที่ได้รู้จัก มาริ คิระ ซาขุยะ ฝากตัวด้วยนะ” คัตสึมิพูดขณะมองพวกเขาแต่ละคน นัยน์ตารีหยุดลงที่เฟลเวีย คิระก้าวเข้ามาบัง เขารู้สึกไม่ดีกับคัตสึมิอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สังเกตสายตาของคิระ
“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาช่วยทำโครงงาน ใจดีจัง” มาริว่า คัตสึมิยิ้ม เด็กหนุ่มดูจะยิ้มน้อยๆอยู่ตลอด
“ไม่เป็นหรอก ฉันว่างพอดีน่ะ อยากทานไอศกรีมด้วย” เขาตอบ ผงกหัวให้คิระ “เริ่มกันเลยไหม”
มาริแบ่งใบสอบถามความเห็นให้พวกเขาแต่ละคนเอาไปแจกคนที่เดินผ่านไปมา เฟลเวียเดินตามคิระ เขาหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม หญิงสาวสีหน้าไม่ดีนัก นัยน์ตาสีนิลฉายแววประหลาด “ข้าไม่ค่อยชอบคัตสึมิผู้นั้นเลย”
“ทำไม” คิระถามแม้จะรู้สึกใกล้เคียงกัน ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่ชอบตัวคัตสึมิ ต้องบอกว่าไม่ชอบเปลวควันสีขาวที่ปล่อยออกมาจากตัวคัตสึมิจะถูกกว่า ร่างสูงเงยหน้ามองว่าคนถูกนินทาไม่อยู่ในระยะที่จะได้ยิน
“อันตราย” น้ำคำสั้นแต่ชัดเจนในตัวเอง เป็นความรู้สึกตื่นตัวและไม่วางใจทันทีที่เห็น เปรียบได้กับเวลาคนเราเจองูหรือฉลาม “ข้าไม่รู้ว่าฝุ่นสีขาวแปลกประหลาดของเขาคืออะไร ข้าไม่เคยเห็นแบบนี้ มันดูไม่มีพิษภัยแต่กลับทำให้ข้าหวาดระแวงจับจิต” คิระเห็นด้วย แต่ก็ข่มความรู้สึกลงไปและขยี้ผมเฟลเวีย
“เอาเถอะ ไม่น่าจะมีอะไร ท่าทางเขาคงไม่เข้ามาบีบคอพวกเราหรอกน่า"