บทที่ 7 อยู่กับฉันจะไม่มีใครทรยศเธอ
เปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็พบว่าเฟลเวียกำลังนอนเอกเขนกบนเตียงเขาสบายใจเฉิบ ให้ตายสิ ถ้าเขาดุร้ายจริง ยัยนี่ก็คงไม่กล้ามานอนอยู่ตรงนี้หรอก คิระเดินไปนั่งข้างๆร่างเล็กและตบเตียง ยังไงเขาก็จะพยายามไล่เจ้าหล่อนลงไปโดยอาศัยความอดทนอันแรงกล้า
“ลงไปนอนที่พื้น” เขาพูดนิ่งๆ นัยน์ตากลมโตของเฟลเวียกะพริบทีหนึ่งเหมือนไม่เข้าใจ
“ไม่เอา นอนไม่สบาย”
“ลงไปนอนที่พื้น”
“ท่านก็นอนเองสิ”
“ลงไป...”
“นอนด้วยกันไม่ได้เหรอ ดูสิ เตียงออกจะกว้าง...และก็หนาวด้วย” ลงท้ายด้วยหางเสียงอ้อน มือขาวนวลเลื่อนไล้จากผ้าปูที่นอนขึ้นมาลูบมือเขาที่กำลังตบเตียง ลากมายังต้นแขน ไหล่ และแผ่นอก สัญชาตญาณหนุ่มแน่นวัยมัธยมปลายพาให้คิระสะท้านกลืนน้ำลายกับสัมผัส เอาอีกแล้ว เกิดมาเพิ่งเคยพบเจอนางปิศาจจอมยั่วตัวหอม คิระหลับตาพยายามท่องสูตรคณิตศาสตร์ในใจเพื่อข่มแรงเรียกร้องของธรรมชาติ
ถ้าเธอชอบเขา และเขาชอบเธอ มันก็อาจเป็นไปได้... คิระไม่ใช่เสือผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยขนาดเป็นหนุ่มเนิร์ดไก่อ่อนที่ไม่เคยมีแฟน ทว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่เสียท่าให้ปิศาจที่กระตือรือร้นอยากทำลูกกับเขาด้วยเหตุผลพิเรนทร์อย่างเรื่องชาติปางก่อนหรอกนะ
“กว้างอะไรยัยปิศาจ เธอไม่เห็นเรอะว่ามันเป็นเตียงเดี่ยว”
“มันไม่แคบขนาดนั้นสักหน่อย เมื่อคืนยังนอนได้เลย ยกเว้นว่าท่านจะนอนพื้น ไม่แน่ข้าอาจลงไปนอนด้วยก็ได้”
คิระส่งสายตารำคาญสุดจิตทิ่มแทงเด็กสาวที่พยายามงัดลูกอ้อนมาสู้ ก่อนจะคว้าข้อมือบางกระชากขึ้นสูงให้เจ้าหล่อนยกตัวขึ้นมาจากที่นอน ร่างสูงเหวี่ยงเธอโยนโครมไปบนพื้นเป็นการตัดปัญหา ส่วนตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียง
“เจ็บนะ!” เสียงแหลมประท้วงขณะเด้งตัวขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง ถ้าเป็นคนอื่นเธอจะซัดลูกไฟเข้าให้ แต่นี่คือเดเมี่ยน เฟลเวียจึงได้แต่เม้มปากขัดใจ กระโดดขึ้นไปบนเตียงใหม่อย่างไม่ยอมแพ้
“โอ๊ย! ยัยปิศาจ!!” เจ้าหล่อนกระแทกอั้กมาบนตัวคิระเต็มๆ “ลงไปสิเว้ย! ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง"
“ท่านนั่นแหละพูดจาไม่รู้เรื่อง”
“นี่มันเตียงฉัน!”
“นี่ก็ชายาท่านนะ!”
คิระล้มตัวนอนและสะบัดผ้าห่ม กางแขนขาให้มันเต็มพื้นที่เตียงเพื่อกันท่าไม่ให้เจ้าหล่อนหาที่วางตัวเองลงไปได้ เฟลเวียมองร่างสูงที่นอนหลับไม่ใส่ใจด้วยแววตาคุกรุ่น
พรึ่บ!
คิระลืมตาขึ้นเบิกกว้างเมื่อหญิงสาวสะบัดผ้าห่มขึ้นก่อนจะนอนลงมาหนุนแขนเขาที่กางออก เธอพลิกผ้าห่มมาห่มตัวเองเข้าไปด้วยหน้าตาเฉย แถมยังกอดกระหวัดเขาไว้อย่างกับเป็นหมอนข้าง พอเขายกมือขึ้นจะจับเจ้าหล่อนออกก็เลยเหมือนกลายเป็นว่าจะโอบกอด ฝุ่นสีดำของทั้งสองล่องลอยอบอวลเป็นความมืดที่ชวนผ่อนคลายและปล่อยใจไปตามปรารถนา คิระตัวแข็ง ย...ยัยนี่มัน...
“อืม...” เสียงครางเบาๆราวกับว่าหลับสนิทไปแล้ว หรือถึงไม่หลับเจ้าหล่อนก็ไม่ลุก คิระพยายามผลักเด็กสาวเต็มที่ แต่แล้วก็หน้าแดงก่ำเมื่อพบว่าตัวเธอนุ่มนิ่มไปหมด เส้นผมหอมหวานยาวสยายเคลียแก้มเขาและเอวบางที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดก็ช่าง... โอ๊ยพระเจ้า! จะให้เขาผลักตรงไหนของเจ้าหล่อนถึงจะสมควรด้วยประการทั้งปวง แล้วเฟลเวียมาเอาขาพันกับเขาไว้แบบนี้จะเตะให้ตกเตียงก็ทำไม่ได้
“ยัยปิศาจ ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับ” คิระขู่เสียงเข้ม แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ไอ้ครั้นเขาจะดิ้นก็กลัวจะเสียดสีเนื้อนวลที่แนบชิดกันยิ่งไปกว่าเดิม “อย่ามาแกล้งเงียบใส่ฉันนะ ที่ของเธออยู่บนพื้นนู่น... เฮ้ย ฮัลโหลๆ ได้ยินไหม ยัยปิศาจจจ”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่เขาเรียกตลอดคืนนอกจากเสียงหายใจฟี้ๆ
เย็นวันศุกร์
คิระหิ้วถุงใส่เสื้อผ้ากลับมาที่ห้องเช่า เขามีงบไม่เท่าไร เลยลากอาซึสะไปช่วยเลือกซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงลดราคาให้เฟลเวียหลังเลิกเรียนกันจากตลาดนัด เพราะเด็กหนุ่มไม่สันทัดในการคุ้ยกระบะสินค้าแฟชั่นเท่าเพื่อนสาว
วันนี้ที่หอไม่มีเสียงทำอาหารดังช้งเช้งอย่างเคย เขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็เดินไปไขประตูห้องตัวเอง สงสัยคุณนานาเอะคงรดน้ำต้นไม้อยู่ละมั้ง เดี๋ยวเขาค่อยไปหา
“กลับมาแล้ว…” คิระพูดก่อนจะหยุดเมื่อไม่เห็นมีใครอยู่ในห้อง เขาวางถุงเสื้อผ้าที่ปลายเตียง “ยัยปิศาจ?”
ไม่มีเสียงตอบ คิระเข้าไปดูในห้องน้ำ มันว่างเปล่าเช่นเดียวกัน ไอควันของเฟลเวียทิ้งรอยอยู่รอบห้องโดยเฉพาะบนเตียง แต่ไม่มีแม้เงาของเจ้าตัว คิระขมวดคิ้ว ทุกเย็น ตั้งแต่เฟลเวียมาอยู่ด้วยเมื่อต้นสัปดาห์ เจ้าหล่อนจะนั่งรอบนเตียงไม่งั้นก็เล่นอยู่กับเอมุนิลทุกครั้งและหันมายิ้มให้เขาเวลาเปิดประตูเข้ามา หวังว่าคงไม่ไปทำอะไรแผลงๆหรอกนะ มีปิศาจอยู่ในบ้านไว้ใจได้ที่ไหน เขาเดินออกไปที่สนามหญ้า เจ้าเอมุนิลก็หายไปเหมือนกัน คิระเกาหัวก่อนจะถอนหายใจ
“เออ... ไปซะได้ก็ดี” เขาพูดกับตัวเองดังๆ
คิระปัดเรื่องเฟลเวียออกไปจากความคิด ถอดเข็มกลัดนักเรียนและปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออกเพื่อล้างหน้า เขาเดินออกจากห้องไปที่หน้าตึกเพื่อซื้อข้าวเย็น
“คุณนานาเอะครับ”
คิระเรียก ชะโงกหน้าไปดูในครัว ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นภาพข้างในชัดๆ คุณนานาเอะกำลังนั่งอยู่กับเฟลเวีย...โดยมีเอมุนิลนั่งอยู่บนตัก! ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปทันที
“คิระ กลับมาแล้วเหรอ”
เฟลเวียที่ใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ของคิระทักขึ้นเป็นคนแรกพร้อมกับรอยยิ้มสวย แต่คิระไม่เล่นด้วยเพราะรู้ว่ามีเรื่องต้องอธิบายกันยาวแน่ คุณนานาเอะอุ้มเอมุนิลขึ้นมาและยิ้มใจดีให้คิระ “หนูซาขุยะมาหาแน่ะจ้ะ ตกใจล่ะสิ”
“ครับ” คิระพูด ตกใจแน่ล่ะ แต่เพราะเห็นคุณนานาเอะอุ้มแมวมากกว่า “ขอโทษนะครับที่ซาขุยะมารบกวน”
“โอ๊ยไม่เลย! รบกงรบกวนอะไรกัน หนูซาขุยะน่ารักจะตายไป มีแมวน้อยเป็นเพื่อนซะด้วย ดูสิ” ไม่พูดเปล่าอุ้มเอมุนิลขึ้นมาเหมือนเป็นตุ๊กตา เจ้าแมวให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการอยู่เฉยๆหดกรงเล็บเข้าไปในอุ้งเท้าอย่างไร้พิษสง ทว่าดวงตาสีอำพันจ้องมองคิระแบบออกจะเซ็งเล็กๆ “ไม่เห็นเคยบอกป้าเลยนะว่าคิระมีน้องสาวด้วย นี่... ซาขุยะ พรุ่งนี้มาคุยกับป้าอีกนะ ป้าจะทำขนมให้ทาน” คุณนานาเอะหันไปบอกเฟลเวีย
“ได้เลย” เฟลเวียตอบยิ้มๆ คิระเดินไปมาดึงให้เธอลุกและโค้งให้คุณนานาเอะ ก่อนจะลากปิศาจสาวออกมาอย่างไว เอมุนิลวิ่งตามมา คิระรีบเข้าห้องแล้วปิดประตู
“เธอทำอะไรคุณนานาเอะมิทราบ” เขาถามเสียงเข้ม เฟลเวียเลิกคิ้ว ยักไหล่ เด็กหนุ่มโมโหท่าทางนั้นจนดันเธอไปติดผนัง กำข้อมือเล็กไว้ “ไม่ต้องมาไขสือ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้นกับคุณนานาเอะ”
“ข้าทำอะไรผิดเล่า! ปล่อย!” หญิงสาวบิดข้อมือจะให้หลุดแต่คิระจับไว้แน่น
เอมุนิลร้องเสียงต่ำในคอ กระโจนมาขวางกลางระหว่างทั้งสอง ขนตั้งชันขู่ฟ่อใส่คิระ เขาปล่อยมือเพราะไม่อยากมีรอยข่วนประทับบนแขน เฟลเวียหันหนีและทำตัวลีบชิดผนัง คิระมองเธออย่างไม่พอใจ “ทำไมเธอนิสัยแบบนี้ เที่ยวลงมนตร์สาปชาวบ้านเขาตามใจชอบรึไง!”
“ข้าต้องการให้นางรักและเอ็นดูข้ากับเอมุนิลเท่านั้น มันผิดกระไรนักหนา”
“คุณนานาเอะเป็นคนไม่ชอบสัตว์”
“เอมุนิลไม่ใช่สัตว์”
คิระไม่อยากจะเถียงต่อแล้ว ในหนังสือ Demon Historia Codex ที่เขาเพิ่งอ่านมาระบุว่า ปิศาจสามารถสาปคนอื่นให้มาเป็นทาส หรือให้หลงรักภักดีกับตนได้ และดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ปิศาจทำกันเป็นเรื่องปกติสามัญ เขาถอนใจ ไม่ใช่ว่าคุณนานาเอะรักแมวมันจะชั่วร้ายอะไร แต่เขาไม่พอใจที่เฟลเวียไปสาปคนอื่นมากกว่า ตามความคิดคิระ คนเรามีสิทธิจะตัดสินใจเลือก มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่ถูกคนอื่นบังคับ
“ยัยปิศาจ...” คิระพยายามอธิบาย “เธอสาปคนอื่นให้มารักเธอ หรือเอมุนิล มันก็ไม่มีใครที่จะรักพวกเธอจริงๆหรอก เข้าใจไหม แบบนั้นมันจะเรียกว่ารักได้ยังไง”
“แล้วจะให้ทำฉันใดกัน” หญิงสาวถามกลับ “พระเป็นเจ้าไม่ได้ประทานความรู้สึกรักให้กับปิศาจตั้งแต่แรก เพราะพวกเราขายจิตวิญญาณให้แก่ซาตาน ดังนั้นความรักจึงเกิดขึ้นเองได้ยาก... การสาปผู้อื่นก็ทำให้พวกเขามีความรู้สึกหลง ซึ่งใกล้เคียงกับความรักมากที่สุด มิเช่นนั้น พวกเราก็ต้องเป็นศัตรูกับหลายสิ่งในโลก และแทบไม่รู้จักมิตรภาพ”
คิระมองเธอ แวบหนึ่งเขารู้สึกว่านัยน์ตาสีดำของหญิงสาวช่างว่างเปล่า ประกายสีแดงภายในลึกๆของปิศาจเคลือบย้อมดวงตาเป็นความกระหายที่จะฆ่า อยากจะมีชัยเหนือสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างและนำโลหิตมาสัมผัสที่ริมฝีปาก แต่มันก็ว่างเปล่าเหลือเกิน ไร้ประกายของความรู้สึกนึกคิดของจิตใจ จนคิระรู้สึกประหลาดเมื่อจ้องมอง เหมือนยืนบนยอดเขาสูงที่หนาวจับใจ มีเพียงกลิ่นอายของความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในสายเลือด ถึงจะดูรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวน่ารัก แต่ยังไงเฟลเวียก็ถูกขับดันด้วยธรรมชาติแบบนี้
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจรึเปล่า แต่คนไม่เหมือนกับเธอ การบังคับให้คนอื่นรู้สึกรักหรือไม่รักเธอน่ะ มันเท่ากับไม่เคารพการตัดสินใจที่แท้จริงของเขา” คิระลดมือลงจากที่เท้ากับกำแพง “เธอจะปล้นการตัดสินใจนี้ไปไม่ได้... ถ้าเธอสาปใครอีก ฉันสาบานได้เลยว่าชาตินี้เธอจะไม่ได้รู้จักความรัก" เขาแอบแช่งส่งท้าย เฟลเวียเลิกคิ้วแต่ก็ยอม
“ก็ได้ ต่อไปข้าจะไม่ทำ” เธอรับคำ ก่อนจะเสริม “แต่ถ้ามนุษย์หรือปิศาจหน้าไหนทรยศข้า ท่านต้องรับผิดชอบนะ” คิระพยักหน้าส่งๆ
“เออ อยู่กับฉันไม่มีใครทรยศเธอหรอก นอกจากเจ้าเอมุนิลจะเกิดบ้าคลั่งชั่วขณะเท่านั้นแหละ”
เฟลเวียยิ้มน้อยๆขณะที่คิระเริ่มรื้อการบ้านออกมานั่งทำที่โต๊ะ เธอนั่งขัดสมาธิบนเตียงและเอมุนิลก็เดินนวยนาดมาถูไถเธอให้อุ่นๆ ไม่บอกเดเมี่ยนดีกว่า...ว่าจริงๆเอมุนิลก็โดนเธอสาปเหมือนกัน