บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 เพื่อเป็นราชินี จะแต่งงานกับใครก็ได้ใช่ไหม

หลังอาบน้ำเสร็จ คิระก็เดินออกมาช้าๆ ขณะที่เขากำลังติดเข็มกลัดบนปกเสื้อกะกุรัน สายตาก็หันไปเห็นเฟลเวียนั่งห้อยขาอยู่ตรงพื้นไม้ที่ทอดออกไปตรงสนาม โดยมีแมวดำนอนเชื่องอยู่บนตัก คิระรีบร้องห้าม

“อย่าเอามันเข้ามาในห้อง คุณนานาเอะไม่ให้เลี้ยงสัตว์” คิระเดินไปดึงแขนเธอให้ลุก เจ้าแมวดำโดดลงไปบนพื้นเสื่อ ทิ้งกลุ่มควันเทาดำกับขนไว้หย่อมหนึ่งบนชุดสีเหลืองของเธอ

“เอมุนิลไม่ใช่สัตว์สักหน่อย เป็นภูตบริวาร” เฟลเวียพูดเหมือนจะตำหนิ อ้าแขนรับแมวดำขึ้นมากอด คิระงงไปประมาณสองวินาที เอมุนิลคือชื่อแมวใช่ไหมพี่น้อง ทำไมชื่อมันช่างประหลาดไม่เหมือนภาษาคน คิระคิดว่าถ้าไม่เออออกล้อมแกล้มไปด้วยสักหน่อยคงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง

“เออๆ... นั่นแหละ ก็มันอยู่ในร่างแมว”

เฟลเวียเงียบไปครู่หนึ่ง ก้มมองหน้าเจ้าแมว “ใครเหรอนานาเอะ”

“ก็คุณป้าเจ้าของตึกนี้ไง เขาไม่ชอบสัตว์ มันสกปรก ระวังเถอะถ้าเขาโทรเรียกเทศบาลมาจับละก็ เจ้าแมวจรจัดนี่จะถูกเอาไปไว้ใส่กรงไว้ที่เชลเตอร์จังหวัด แล้วถ้าภายในเจ็ดวันไม่มีคนมาขอรับเลี้ยง เขาก็จะฆ่ามัน เพื่อจะได้ไม่เปลืองงบประมาณ รู้ไหม” คิระอธิบาย พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายบ่า “ฉันจะไปโรงเรียนละนะ เดี๋ยวตอนเย็นกลับ เธอน่ะไหนๆก็มาอยู่แล้ว เฝ้าบ้านด้วย ไม่ต้องตามฉันนะ” เฟลเวียเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้า

“ก็ได้... ซาตานคุ้มครอง” เธอบอกพร้อมกับคลี่รอยยิ้มสวย คิระส่ายหัวก่อนจะออกจากห้องไป

พักกลางวัน

คิระหยิบหนังสือ Demon Historia Codex มาเปิดพลิกๆ สิ่งเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือ อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้เขาสามารถขับไล่ปิศาจที่ชื่อเฟลเวีย อาหารที่ซื้อมาเริ่มจะชืดแล้ว แต่วันนี้คิระตั้งใจจะอุทิศเวลาอาหารให้กับการอ่าน

'...บนโลกมนุษย์ ฟากฟ้าครึ่งหนึ่งสว่างไสว และอีกครึ่งหนึ่งมืดสลัว สนธยาขีดเส้นข้ามผืนดินและน้ำ กั้นกลางระหว่างทิวาและราตรี เหนือขึ้นไปคือสรวงสวรรค์ ลึกลงไปคือใต้พิภพที่ถูกเรียกว่าเอเรบอส...'

“คิระ!” เสียงเรียกให้คิระเงยหน้า อาซึสะวางจานข้าวลงฝั่งตรงข้าม ตามด้วยมาริ

“นั่งเลย” คิระพูดไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ก้มหน้ากลับไปเพื่อจะอ่านต่อ มาริก้มมองปก

“โห คิระเอามาอ่านตอนนี้เลยเหรอ” เสียงหวานใสถามยิ้มๆ คิระเงยหน้าสบตาเธอ

“ฉันอยากอ่าน ไม่มีอะไรน่าอ่านไปมากกว่าหนังสือของเธอแล้วล่ะตอนนี้” เขาพูด เลิกคิ้วเมื่อเห็นพวงแก้มใสขึ้นสีเรื่อ “...อะไร”

“ป...เปล่าจ้า แต่คิระน่าจะกินข้าวก่อนนะเดี๋ยวเย็นหมด” มาริพูดและก้มหน้าก้มตากินเบนโตะของตัวเอง อาซึสะเคี้ยวข้าวขณะเพ่งมองคิระ

“ไปทำอะไรมาคิระ ตาเป็นแพนด้าเชียว หนักไปหน่อยป้ะ” เธอหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขณะลากเสียงเป็นนัย คิระปิดหนังสือและพูดอย่างหงุดหงิด

“เออ หนัก ก็เมื่อคืนฉันทะเลาะกับ...” เขาสะดุด “กับน้องสาวจนเกือบตีสอง” อาซึสะเลิกคิ้วสูง

“หืม นายมีน้องสาวด้วยเรอะ ฉันไม่เห็นรู้”

“อือ... เพิ่งมาจากบ้านนอก” คิระพูดไปเรื่อย หลบสายตาด้วยการอ่านโปสเตอร์หาเสียงในการเลือกตั้งประธานนักเรียนที่แปะไว้บนเสาโรงอาหาร แต่อาซึสะยังคงถามต่อ

“น้องจะมาเรียนที่นี่เหรอ ชื่ออะไรอะ”

“เปล่า จะรู้ไปทำไม”

“แหม ก็แค่สงสารที่มีพี่อย่างงี้” อาซึสะแลบลิ้นใส่ คิระลงมือทานโดยไม่โต้ตอบ

ถ้าเห็นแล้วจะรู้ว่าเขาน่ะน่าสงสารกว่าเป็นไหนๆ โดนปิศาจโรคจิตบุกเข้าบ้าน แถมตั้งหน้าจะล่วงละเมิดทางเพศเขาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง

“จริงสิ” มาริพูดขึ้น “เดี๋ยวเสาร์นี้ฉันกับอาซึสะจะไปทำโครงงานที่ห้างโอดะคิว คิระอยากจะไปด้วยกันไหม" เธอพูดถึงการบ้านที่ต้องไปสำรวจความเห็นและพฤติกรรมคนในท้องถิ่นเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน

คิระส่ายหน้า “โครงงานฉันเสร็จไปแล้ว รอส่งอย่างเดียว”

“เร็วจังแก สมเป็นท็อปห้อง” อาซึสะชมกึ่งหมั่นไส้ “งั้นมาช่วยฉันกับมาริหน่อยดิ คิระ ที่ห้างมีร้านไอศกรีม 99 รสอยู่ด้วย ไปกินกัน พวกเราเลี้ยงเอง ถือซะว่าตอบแทนที่ช่วยแล้วก็ฉลองวันเกิดให้ เพราะนายไม่ยอมไปคาราโอเกะ ดีปะ"

คิระยิ้ม เปลี่ยนสถานที่บ้างก็คงดี จะได้ไปไกลๆเฟลเวียด้วย เขาคำนวณสะระตะเรียบร้อยก็พยักหน้ารับ มาริยิ้มหวาน ก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้คิระอยากกลับคำทันที

“ชวนน้องสาวคิระมาด้วยก็ดีนะ มากันเยอะๆสนุกดี น้องสาวคิระชื่ออะไรเหรอ”

“อ..เอ่อ...ซาขุยะน่ะ” เขาเอ่ยชื่อตามที่เห็นบนโปสเตอร์กรรมการนักเรียน ไหลไปได้ซะงั้น

“ชื่อน่ารักนี่นา ชวนซาขุยะมาด้วยนะ วันหยุดถ้าถูกพี่ชายทิ้งไว้ที่หอคนเดียวทั้งที่เพิ่งย้ายมาอยู่คงเหงาแย่”

ไม่ดีมั้ง... คิระคิดในใจขณะรีบกินข้าวกลบเกลื่อนจะได้จบบทสนทนา

“ก็ดีนี่”

เสียงตอบรับจากเฟลเวียเมื่อคิระเล่าให้ฟัง ทั้งที่เขาอุตส่าห์พร่ำบอกเจ้าหล่อนแล้วว่าไปทำโครงงาน ไม่สนุกหรอก

“ข้าอยากออกไปข้างนอกเหมือนกัน อยู่แต่ในนี้แล้วไม่มีอะไรทำ ว่าแต่ว่า...ทำไมข้าต้องชื่อซาขุยะ”

คิระนั่งก้มหน้ากินข้าวห่ออย่างไม่อยากจะพูดอะไรต่อแล้ว รู้งี้ไม่บอกซะก็ดี แต่ปากกลับทรยศเล่าอะไรต่อมิอะไรให้เด็กสาวฟัง แปลกดี ทำไมเขาไม่มีอำนาจเหนือเฟลเวียเลยก็ไม่รู้ พอยัยนี่ชวนคุย เขาก็คุยตอบ เธอถามซอกแซกให้เขาเล่าทุกเรื่องเหมือนอยากจะรู้จักเขาให้ดีกว่านี้

เฟลเวียนั่งห้อยขามองพระอาทิตย์ตกลับไปหลังกำแพง แมวดำที่ชื่อเอมุนิลนอนตะแคงหนุนตักเธออย่างแสนสบายขณะที่เธอเสกลูกไฟให้เต้นระบำอยู่บนฝ่ามือ คิระเปิด Demon Historia Codex ไว้ข้างตัว

“นั่นอะไรน่ะ” เฟลเวียถาม มองคิระทานข้าวหน้าหมูทอดคัตสึด้ง ลูกไฟบนมือดับพรึ่บ “ซากศพเหรอ”

เรียกซะน่ารักเชียว คิระคิดในใจขณะปรายตามอง ยังเหลือตั้งครึ่งดันมาพูดให้มองเห็นหมูทอดเป็นศพ “เออ แล้วปกติเธอไม่กินแบบนี้หรือไง”

“ไม่ ข้าชอบเลือด” เฟลเวียตอบ รอยยิ้มสวยเห็นเขี้ยวขาวเล็กๆ “ศพหมูมันอร่อยเหรอ”

คิระใช้ส้อมจิ้มหมูทอดขึ้นมาตรงหน้า เจ้าหล่อนงับอย่างรู้งาน เคี้ยวหงุบหงับๆแล้วก็ยิ้ม

“เป็นไงล่ะ” คิระถาม

“อืม...” เฟลเวียเลียริมฝีปาก “ง่า...วันหลังเอามาให้ข้าด้วยสิ”

“หึ” คิระแอบยิ้มก่อนจะกินต่อ สรุปเขาคงต้องเจียดเงินอันน้อยนิดที่มีเลี้ยงยัยนี่ด้วยสินะ คิดๆแล้วก็ไม่ค่อยต่างกับมีแมวจรจัดอีกตัวหนึ่งมาขออยู่ด้วย

เฟลเวียเปลี่ยนเรื่อง “แล้ววันที่ออกไปพบเพื่อนของท่าน ข้าต้องทำอะไรรึเปล่า”

“ทำแน่ล่ะ” คิระตอบทันทีทั้งที่ยังกินข้าวไม่หยุดมือ เขาชี้ตะเกียบ “อย่างแรก เลิกพูดภาษาโบราณลิเกแบบนี้ซะ แล้วเสื้อผ้าฉันจะไปซื้อมาให้”

เฟลเวียทำหน้างง “เรื่องภาษาข้าพอเข้าใจ เพราะอาจสื่อสารกับเพื่อนของท่านไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของข้ามันไม่ดีตรงไหน”

“มันไม่เหมือนที่ชาวโลกเขาใส่กัน” คิระตอบ “ไม่ต้องเถียง เธอเป็นปิศาจ จะมารู้เรื่องแฟชั่นของมนุษย์ได้ไง เพราะงั้นฉันสั่งอะไรเธอก็ทำ เดี๋ยวฉันจะหาเวลาไปซื้อเสื้อผ้าให้”

เขากะไซส์เธอคร่าวๆด้วยสายตา ตอนนี้เฟลเวียเปลี่ยนชุดมาใส่เสื้อสีดำเปิดไหล่ ปักลายที่ขอบเป็นรูปดอกลำโพงขาวห้อยระย้ารอบตัว ชายด้านล่างสั้นเหนือหน้าท้องเหมือนพวกอาหรับ กางเกงขายาวผ่าตรงเข่าให้เคลื่อนไหวสะดวก เจ้าหล่อนไม่ได้ใส่เครื่องประดับฟู่ฟ่าอย่างเมื่อวานทำให้ดูไม่เกะกะลูกตา เหลือเพียงแหวนวงเดียวที่นิ้วนางซ้ายเท่านั้น

เอ...จะว่าไปก็คล้ายๆ... คิระพลิกเปิดหนังสือข้างตัวไปที่หน้า 104 ยกภาพเดเมี่ยนกับชายาขึ้นมา เทียบดูกับหญิงสาวที่กำลังมองท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ชายาเดเมี่ยนในภาพมีผ้าคลุมหน้าไว้มองไม่เห็นหน้าตาก็จริง แต่เสื้อผ้าเหมือนของเฟลเวียที่ใส่ตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน

“ปกติแล้ว... เธอใส่ผ้าคลุมหน้าไหม”

คิระไม่ได้ตั้งใจจะถาม แต่ได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป มันกลับฟังเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล และเฟลเวียค่อยๆหันหน้ามา ใบหน้าขาวนวลดูเป็นสีดำครึ่งหนึ่งด้วยเงามืดทาทับ รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากเธอ วินาทีนั้นราวกับมีมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ตรึงให้เขาต้องมองเธออยู่อย่างนั้น

“ทำไม... ท่านอยากให้ข้าใส่เหรอ เดเมี่ยน” เสียงแหลมเล็กที่ไม่หวานเจื้อยแต่ก็ไม่ห้วนกระด้างในแบบฉบับของเฟลเวียย้อนถาม “เมื่อก่อน ท่านบังคับข้าใส่อยู่ตลอดหากไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เพราะไม่ชอบให้ใครเห็นหน้าข้า”

เด็กหนุ่มหลบสายตา “ไม่... ฉันไม่ใช่เดเมี่ยน และหน้ามันก็หน้าเธอ จะปิดจะเปิดก็เรื่องของเธอสิ” เฟลเวียหันกลับไปทางเดิม

“ก็ดี ข้าเองก็เบื่อที่ถูกปฏิบัติด้วยเหมือนเป็นสมบัติที่ต้องรักษาปกปิด ต้องลั่นดาลขังไว้จากโลกภายนอก”

คิระไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ คำพูดของเฟลเวียแม้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่กลับทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาในใจอย่างประหลาด ภาพในหน้า 104 แม้จะดูเป็นคู่รักที่หวานชื่น แต่ชายาของเดเมี่ยนตัวเล็กกว่ามาก ปิดหน้า และไม่มีแม้แต่ชื่อบันทึกไว้ คิระอ่าน Demon Historia Codex มาได้เกือบครึ่งเล่มแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง ทุกคนรู้จักแต่เพียงว่าเป็นชายาเดเมี่ยนเท่านั้น เดเมี่ยนก็พาดแขนโอบชายาของตนราวกับงูรัดเหยื่อ

ร่างสูงเหลือบมองคนข้างตัว หากว่าเฟลเวียเป็นชายาของเดเมี่ยนอะไรนี่จริงๆ ประโยคเมื่อครู่ก็บอกความอึดอัดและขมขื่นได้อย่างเยือกเย็น ไม่มีเค้าลางของความเศร้าหรือโกรธงอนในน้ำเสียงเธอ เหมือนมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมานานมากแล้ว

เฟลเวียขยับตัว “ค่ำแล้ว... ตอนนี้ซาตานคงให้บิดาข้าปล่อยปิศาจออกมาหากิน” คิระอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะลองเลียบเคียงดูว่าไอ้หนังสือนี่มันเชื่อถือได้สักแค่ไหน

“พ่อเธอคือปิศาจรัตติกาลรึเปล่า”

หญิงสาวยิ้ม “ท่านรู้ได้ยังไง”

“ก็...หนังสือบอก” คิระพูด ยกหนังสือให้ดู เฟลเวียพยักหน้า

“ข้าอ่านไม่ออกหรอก...”

เธอหรี่ตาเล็กน้อยขณะมองหนังสือปกแข็ง หากเข้าใจไม่ผิด เธอรู้จักกิตติศัพท์ของหนังสือเล่มนี้ มันบอกเล่าทุกเรื่องราวของปิศาจที่เกี่ยวพันกับโลกมนุษย์และสวรรค์ ตัวอักษรบนหน้ากระดาษถูกลงมนตราให้เคลื่อนไหวได้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ตีพิมพ์ มันปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปตามแต่ยุคสมัยที่เปิดออก

“แต่ถูกแล้วล่ะ บิดาข้าคือปิศาจรัตติกาล เป็นรองแต่บิดาท่านคือซาตานและเหล่าเทวทูตตกสวรรค์”

“ซาตาน” คิระถอนหายใจ จนบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าเฟลเวียอาจจะเป็นพวกบ้าลัทธิซาตานฝังหัวฝังจิตฝังใจ ไม่ก็เป็นแฟนหนังสือเล่มนี้ เพราะเขาไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าตัวเองเป็นลูกของจ้าวนรกอย่างที่เธอว่า หรือว่ามีชายา... แต่จะว่าไป เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่าปิศาจที่มองเห็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดมีที่มาจากไหน ถ้าพวกมันมาจากนรกที่ปกครองโดยซาตานจริงตามเนื้อหาในหนังสือซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เฟลเวียพูด ก็แปลว่าเธออาจพูดจริงทั้งหมดก็ได้ “เขาเป็นคนยังไงเหรอ ดุไหม” เขาลองถามเล่นๆ เฟลเวียเลื่อนสายตามาสบ

“ไม่หรอก” เธอส่ายหน้าไหวๆ “ซาตานน่ะ พระทัยดีที่สุดที่ข้ารู้จัก ในเอเรบอสนั้น ผู้ที่ถูกเรียกว่าดุร้ายคือท่านต่างหาก เดเมี่ยน”

เฮ้อ วกกลับมาที่เดเมี่ยนอีกแล้ว “จะบอกว่าฉันเป็นยังไงอีกล่ะ”

“ท่านประหัตประหารปิศาจไปมากมาย ใครขัดใจไม่ได้” เฟลเวียขยับยิ้มสวย ก่อนที่ยิ้มนั้นจะเลือนไปเล็กน้อย “จำได้ไหม ตอนที่ข้าขัดคำสั่งท่าน แอบออกจากตำหนักไปกับปิศาจตนหนึ่ง... ท่านฆ่าเขาอย่างทารุณ”

ร่างสูงส่ายหน้าไม่เชื่อ “นั่นไม่เห็นตรงกับนิสัยฉัน เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้มาหาผิดคน แหวนฉันอาจเป็นของปลอม ไม่ก็สินค้าสำหรับแฟนหนังสือ” เขาพูดตามที่มาริเคยเดา เฟลเวียทำหน้าเหนื่อยใจเหมือนว่าเขาช่างโง่เสียเต็มประดา

“ข้ารู้ว่าข้ากำลังอยู่กับใคร เดเมี่ยน ท่านเกิดตายหลายชาติ นิสัยก็ย่อมเปลี่ยนแปลง”

“แล้วเธอโอเคที่จะมาขอ...ทำลูกกับคนที่จำเธอไม่ได้และนิสัยไม่เหมือนสามีเธอเนี่ยนะ” พูดไปคิระก็นึกกระดาก

“ฮะๆ ถามได้น่าสนใจนี่ ที่จริงตอนเราแต่งงานกัน ข้าก็ไม่ได้รู้จักท่านมาก่อนอยู่แล้ว” เฟลเวียโบกมือ “วางใจเถอะ ไม่ว่าท่านนิสัยเป็นเช่นไรก็ไม่ใช่ปัญหา ข้าแต่งงานกับท่านอยู่ดี... ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อเป็นราชินี”

คำประกาศนั้นบาดลึกในอกคนฟังอย่างประหลาด เด็กสาวต้องการครองตำแหน่งราชินีนรกอย่างยิ่งยวดจริงๆ ไม่ว่าต้องแต่งงานกับใคร กับคนแบบไหนก็ได้ทั้งสิ้น คิระหงุดหงิดใจจนไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหล่อน

“ฉันไม่ใช่เขา และก็จะไม่แต่งงานกับเธอแค่เพราะนิยายที่เธอแต่งมา... อย่าเรียกฉันว่าเดเมี่ยนอีกเลย” เขาลุกขึ้นโยนห่อข้าวใส่ถังขยะก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel