คู่หมั้นปีศาจ

117.0K · จบแล้ว
Helegriel ณ ชะอำ
48
บท
4.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คิระมองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่เด็ก อุตส่าห์ทำเฉยๆเพราะอยากมีชีวิตธรรมดา แต่วันหนึ่งกลับมีนางปีศาจมาขอเข้าบ้าน...จากนั้นปีนขึ้นเตียง!

นิยายรักโรแมนติกนิยายแฟนตาซีรักหวานๆจอมมารข้ามมิติเกิดใหม่รักวัยรุ่นโรงแรม/มหาลัยพระเอกเก่ง

บทที่ 1 นางปิศาจบนต้นไม้

ฝุ่นสีดำฟุ้งกระจายอยู่บนต้นไม้ใหญ่หน้าโรงเรียน บรรยากาศเร่งรีบของวันจันทร์เช่นนี้กึกก้องด้วยเสียงฝีเท้านับสิบๆของบรรดาเด็กหนุ่มในเครื่องแบบกะกุรัน และเหล่าเด็กสาวในชุดกะลาสีเรือสีดำปกขาว ที่กำลังพากันวิ่งเข้าประตูโรงเรียนให้ทันก่อนเวลาแปดโมงเช้า

เฟลเวียนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ที่กิ่งก้านโยกไหวตามลมอ่อนๆ ก้มลงมองดูมนุษย์ที่แข่งกันวิ่งหน้าตั้งอยู่ข้างล่างอย่างสนใจ

ผ้าคลุมหน้าบางเบากับชุดเปิดหน้าท้องสีเหลืองสดของเธอดูโดดเด่นและผิดที่ผิดทาง ไม่นับรวมสร้อยและเครื่องประดับมือแขนหลายชิ้นของเธอซึ่งส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง อีกทั้งม่านตาสีดำวาวมีแสงสีแดงก่ำเข้มฉายอยู่ภายใน เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นแถวนี้อย่างแน่นอน

กิ่งไม้ที่เธอนั่งยังมีฝุ่นสีดำสนิทเหมือนละอองขี้เถ้าฟุ้งกระจายออกมาตามแรงลม อีกทั้งบนตักยังมีแมวดำขนเป็นมันขลับนอนหาวหวอดอยู่ กระนั้นกลับไม่มีใครสังเกตเห็น นักเรียนทุกคนพากันกระหืดกระหอบผ่านต้นไม้ที่เธอนั่งอยู่ไป เฟลเวียลูบขนของเจ้าแมวดำบนตักเล่น

“เดเมี่ยนคงมาสายแน่ๆแล้วสิ” เสียงแหลมพึมพำ เธอเพิ่งขึ้นมาโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกในรอบสิบเจ็ดปี ทุกคนแจ้งมาว่าเธอจะสามารถพบกับ ‘เขา’ ตรงนี้ ตอนก่อนแปดโมง แต่นี่ใกล้จะแปดโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แวว “เฮ้อ... ก็ไม่แปลก ตอนงานแต่งงานของเรา เขาก็สายเหมือนกันนี่นะ”

คนรอจนเหงือกแห้งทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้ลงมาที่พื้นฟุตปาทอย่างนุ่มนวลพร้อมกับกอดแมวดำไว้กับอก เสียงกริ่งเตือนครั้งแรกดังลั่นขึ้น เป็นสัญญาณเร่งให้เด็กนักเรียนมัธยมที่ยังอยู่นอกรั้วโรงเรียนรีบวิ่งกันขาขวิดผ่านเฟลเวียที่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ เป็นจุดสีเหลืองกลางทะเลเครื่องแบบสีดำ

“โอ๊ะ!”

เด็กหนุ่มร่างสูงถูกกลุ่มรุ่นพี่เบียดมาชนไหล่เล็กของเฟลเวียโดยบังเอิญ เขาเบิกตากว้าง สายตาของทั้งสองสบประสานกันขณะที่ฝุ่นควันสีเทาดำจากเขาและเธอลอยตลบเมื่อสัมผัสกัน ปลิวผสมกันกลายเป็นความมืดเหมือนเมฆฝนก้อนน้อย เหมือนหยดหมึกเวลากระจายลงในสระน้ำ

สีดำอันงามลึกล้ำและสงบเย็นดั่งราตรี

คิระแทบคะมำไปข้างหน้าเมื่อถูกเพื่อนจากข้างหลังวิ่งมาชนซ้ำดังอั้ก จนกระเป๋าเป้ร่วงลงไปที่พื้น เขาก้มลงเก็บและเงยหน้าหันไปมองด้านหลัง แต่กลับไม่มีร่างแบบบางในชุดสีเหลืองสดอยู่ตรงนั้นแล้ว มีเพียงไอควันที่ค่อยๆสลายไปเมื่อลมพัดผ่าน

กึง!!

รั้วเหล็กของประตูโรงเรียนถูกภารโรงลากปิดกระแทกกันดังลั่น เสียงนักเรียนที่วิ่งไม่ทันพากันร้องโอดครวญและเขย่าลูกกรงขอความเมตตา ประสานกับเสียงกริ่งเข้าเรียนเวลาแปดนาฬิกาตรง คิระหันกลับมา เห็นใบหน้าถมึงทึงของอาจารย์ฝ่ายปกครองแวบหนึ่งก่อนแกจะยกแฟ้มเอกสารขึ้นมาพร้อมปากกา

“ไอ้พวกมาสายทั้งหลาย เข้าแถวมาให้จดชื่อเดี๋ยวนี้! มาเรียนแต่เช้าแค่นี้ไม่ได้ คาบแรกก็ไม่ต้องเรียนมันเลย ไปทำสวนกันซะให้เข็ด!”

กล้าไม้เล็กถูกวางลงในหลุมเบาๆ กลบทับด้วยดินร่วนชุ่มชื้นจากถุงกระสอบ มือเล็กที่บัดนี้เปื้อนละอองดินและสนิมจากด้ามจอบกดรอบโคนต้นไม้ที่เธอปลูก แสงแดดจัดจ้าของหน้าร้อนช่างแรงเสียจนมาริรู้ตัวว่าผิวขาวใสของตัวเองคงเกรียมไปหมดแล้วแน่ๆ

จะไปโทษใครล่ะในเมื่อเธอตั้งนาฬิกาปลุกผิดเอง ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาสาย ใครจะคิดว่าพอเธอมาสายแค่ครั้งเดียว อาจารย์ฝ่ายปกครองจะเกิดนึกอยากลงโทษโดยให้คนมาสายไปช่วยลงต้นไม้ใหม่ในสวนหย่อมหน้าโรงอาหาร

“มาแล้ว!”

เสียงนั้นมาพร้อมกับเงาทางข้างหลังของมาริ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ถือกระบวยรดน้ำต้นไม้ไว้ในมือ แน่ล่ะ เพื่อนแท้ย่อมมาสายเหมือนกันเพื่อเป็นมิตรในยามยาก “นานจังอาซึสะ”

“แหม ก็ต้องต่อแถวตั้งนานนี่นา มารินั่งรอก็ว่านานสิ” อาซึสะเบะปากน้อยๆก่อนจะถลกแขนเสื้อยกกระบวยขึ้น “หลบหน่อยๆ”

มาริมองเพื่อนจอมห้าวของเธอเทน้ำและพรวนดินอย่างทะมัดทะแมงด้วยความชื่นชมปนขำ อาซึสะนับวันไม่รู้จะแมนไปไหน ทั้งคู่นิสัยตรงข้ามกันแต่เป็นเพื่อนกันได้ลงตัวราวกับหยินหยาง อาซึสะเป็นเด็กกิจกรรมขาลุย ส่วนมาริเป็นเด็กเรียนเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้

อีกอย่างคือมาริสุขภาพไม่ค่อยจะดี เช่นตอนนี้ที่ตากแดดนานๆก็เริ่มวิงเวียน...

อาซึสะจ้องหน้าเพื่อนแล้วขมวดคิ้ว ฉุดไปนั่งที่ม้าหินในสวนหย่อม “แกดูซีดๆอะ ไหวไหมเนี่ย”

“ไหวแหละ แต่...ขอพักแป๊บหนึ่ง” มาริตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่อยากจะป้อแป้เป็นภาระชาวบ้านวันยังค่ำ

"อือๆ เดี๋ยวฉันไปขอยาดมจากอาจารย์มาให้ดีกว่า นั่งรอก่อนนะ" อาซึสะแตะหน้าผากมาริก่อนจะรีบวิ่งไปหาอาจารย์

มารินั่งรอ พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ มันรู้สึกติดขัดไปหมด เธอเป็นแบบนี้ตลอด เดี๋ยวก็เหนื่อยเดี๋ยวก็คลื่นไส้ จนบางครั้งก็กลัวว่าเพื่อนๆจะรำคาญ เพราะแม้แต่เธอยังรำคาญตัวเอง ไปหาหมอกี่ที่ก็ไม่เห็นเจอความผิดปกติอะไร เด็กสาวนั่งหอบน้อยๆขณะก้มตัวไปด้านหน้า โอย รู้สึกหายใจไม่ออก

“เธอ”

เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ มาริเงยหน้าขึ้น เด็กหนุ่มที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามายืนค้ำอยู่ตรงหน้า ดูแล้วน่าจะอยู่ชั้นเดียวกัน และมาสายเหมือนกัน เขาก้มหน้าลงมองเธออย่างพินิจพิจารณา

เพราะในสายตาของเขา ตรงที่นั้นไม่ได้มีเพียงเด็กสาว

หมอกควันสีเทาดำคล้ายควันบุหรี่ฟุ้งอยู่ทั่วบริเวณม้าหิน มาริยกมือขึ้นกุมอยู่แถวอก ราวกับจะดึงเอาแขนที่รัดเธอออก ปิศาจในเสื้อคลุมเทามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาสีแดงฉาน มันกอดรัดมาริเหมือนจะเอาเสื้อคลุมห่อหุ้มเธอเป็นดักแด้ ใบหน้าที่เป็นโครงกระดูกเสี้ยมแหลมถอยห่างจากมาริเล็กน้อย แขนผอมๆที่โอบรัดคอและปิดจมูกปากของเธอปล่อยออกไปวางบนบ่าเธอแทนเหมือนหยั่งท่าทีของเด็กหนุ่ม มาริพลันรู้สึกว่าหายใจสะดวกขึ้นกว่าเดิม

“น...นายเป็นใคร มีอะไรเหรอ”

เด็กหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นโบกเหนือศีรษะมาริ แหวนสีเงินบนนิ้วดูเป็นสีดำด้วยหมอกควันเช่นเดียวกับมือของเขาที่ราวกับเป็นแหล่งผงหมึกเวลาละลายน้ำเป็นสาย ปิศาจเสื้อคลุมเทาหลบวูบอย่างเกรงกลัว ก่อนจะถอยไปหลบหลังต้นไม้ในสวน

“ฝุ่นเยอะนะ” เด็กหนุ่มพูด มองหน้าเธอ “เธอไปทำอะไรไม่ดีไว้รึเปล่า”

“อะไรนะ” มาริงง ไม่ทันจะพูดอะไรมากกว่านั้น เขาก็ก้มลงถือวิสาสะจับตุ๊กตาที่ห้อยโทรศัพท์มือถือของเธอที่ห้อยโผล่ออกมานอกกระโปรงนักเรียนหน้าตาเฉย “นายจะทำอะไร!” เขาไม่ได้ดึงมันออกมาแล้ววิ่งหนีไปหรือแกล้งอย่างที่มาริคิด นัยน์ตาสีดำคมมองตุ๊กตาของเธอขณะหมุนไปมา

ในสายตาเขา ทุกแห่งที่ถูกเขาสัมผัสเกิดเป็นรอยสีดำจางเหมือนมีฝุ่นควันของเขาไปติดอยู่บริเวณนั้น มาริพยายามดึงกลับแต่เด็กหนุ่มจับไว้แน่น... ของที่เขาสัมผัสแล้ว ปิศาจหน้าไหนก็ไม่เข้าใกล้

“คิระ! ทำอะไรน่ะ!” อาซึสะตะโกนอย่างไม่พอใจ วิ่งเข้ามาหามาริพร้อมกับยาดม เด็กหนุ่มปล่อยมือ “มาริป่วยอยู่นะ ไม่ต้องมาแกล้ง!”

เด็กหนุ่มนามคิระมองอาซึสะ หันไปมองปิศาจที่ยังคงสังเกตการณ์อยู่หลังต้นไม้ “ป่วย?” เขาทวนและยักไหล่ “ถ้าให้เดา เพื่อนเธอคงป่วยแบบนี้บ่อยๆสินะ.. จริงไหม?” เขาหันมาถามมาริ มือกระตุกโบว์ผูกผมเธอไปกำไว้ในมืออย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงโวยของอาซึสะ ก่อนจะปล่อยคืนบนตักมาริ “โบว์ใช้ทุกวัน เก็บดีๆล่ะ”

“ไอ้คิระ!” อาซึสะโวยไล่หลัง แต่คิระเดินจากไปแล้วอย่างไม่ใส่ใจ มาริมองตามเขาก่อนจะมองโบว์บนตัก

“เขาชื่อคิระเหรอ”

“อือ มันเป็นเพื่อนร่วมห้องฉันปีที่แล้วน่ะ หมอนี่แปลกๆแบบนี้แหละ ชอบแกล้งหยิบของคนอื่นไปดูๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสร็จแล้วก็คืนแบบเนี้ย แต่แกไม่สบายยังจะแกล้งอีก อย่าไปสนใจเลยนะ" อาซึสะบอกพร้อมหยิบโบว์กลับมาผูกให้ มาริสูดยาดมโดยไม่ได้พูดอะไร

แปลกจัง... ไม่รู้สึกอึดอัดเลย หายเร็วกว่าทุกทีตั้งเยอะ