บทที่ 2 ดวงตาที่เห็นวิญญาณ
พักกลางวัน
"เฮ้ย! คิระ จองโต๊ะด้วย"
เสียงสั่งเพื่อนเสร็จกลุ่มพวกผู้ชายก็เฮเข้าไปซื้ออาหารแก่งแย่งกับเด็ก(รุ่นน้อง) สตรี(ร่วมชั้น) และคนชรา(รุ่นพี่) คิระหาโต๊ะใหญ่ที่ว่างที่สุดในโรงอาหารได้ก็นั่งลง วางแก้วน้ำต่างๆที่เพื่อนๆฝากซื้อเต็มสองมือไปวางบนโต๊ะ แล้วจึงเปิดขวดน้ำเย็นเจี๊ยบของตัวเองมากระดกดับกระหาย หลังจากต้องทำสวนไปคาบหนึ่ง แล้วค่อยลากสังขารขึ้นไปเรียนในห้องที่ไม่มีแอร์
“มาแล้วๆ” ไม่นานทั้งกลุ่มก็กลับมาถึง คิระมองอาหารที่เพื่อนซื้อมาให้แล้วแอบถอนใจ
ปิศาจหน้าตาเหมือนหนูจิงโจ้นอนอยู่กลางจานแบบนี้ มันจะอร่อยไหมเนี่ย
เขาโบกมือซ้ายที่สวมแหวนไล่เหมือนปัดแมลงวัน แต่กระนั้นฝุ่นควันดำของปิศาจตัวจ้อยก็ยังลอยวนอยู่ สำหรับคิระ ฝุ่นควันเหล่านี้แม้จะดูดำๆคล้ายๆกัน แต่แท้จริงไม่เหมือนกันเลยในปิศาจแต่ละตน เหมือนเป็นร่องรอยของอาชญากรให้นักสืบตามจับได้ไม่ผิดตัวอย่างไงอย่างงั้น
ปิศาจมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะในเงามืด ต้นไม้ร่มครึ้ม หรือคนสิ้นหวัง ท้อแท้ อ่อนแอเกินกว่าจะยึดร่างกายของตัวเองไว้ไม่ให้มีปิศาจมาเกาะกุม คนจำนวนมากมีปิศาจเดินตามไปทุกที่เหมือนเงา บางคนมีปิศาจที่คอยดูแลเป็นเกราะคุ้มกัน ส่วนบางคนก็โดนปิศาจร้ายเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความแค้น โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ที่พิเศษก็คือ คิระเองก็มีฝุ่นควันสีดำเหมือนกับพวกมัน ทั้งที่คนรอบตัวไม่เห็นมีใครมีควันแบบนี้.. หรือใครที่เห็นภาพพวกนี้เหมือนกับเขา
ยกเว้นก็แต่เมื่อเช้า... คิระมุ่นคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงชุดสีเหลืองสดเปิดหน้าท้องคนนั้น เธอดูไม่เหมือนภูตผีปิศาจที่เขาเห็นทั่วไป จะว่าดูเหมือนคนปกติเลยก็ใช่ แต่กลับมีฝุ่นสีดำฟุ้งที่คล้ายจะปรารถนาหลอมรวมกับฝุ่นจากตัวเขา และเหมือนจะไม่มีใครตรงนั้นมองเห็นเธอ
“เอ่อ ขอโทษนะ ที่ตรงนี้ว่างรึเปล่า”
เสียงใสๆเรียกคนทั้งกลุ่มไปมอง มาริถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ชี้ตรงปลายเก้าอี้ยาวที่ว่างพอให้คนนั่งได้อีกสักสามคน อาซึสะเดินตามมาก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่ามาริเลือกโต๊ะไหน
“นั่งด้วยๆ เถิบไปดิ๊” อาซึสะพูดก่อนจะวางจานลงนั่งทันที กลุ่มเพื่อนผู้ชายกระเถิบให้แบบโดนมัดมือชก “ซื้อมาจากร้านไหน น่ากินอะ! เฮ้ กระเถิบไปอีกหน่อยสิ จะให้มาริยืนรึไงไอ้พวกคุณสุภาพบุรุษ”
“กินที่แล้วๆ” พวกผู้ชายพูดขณะโดนอาซึสะดันให้เบียดต่อๆกันไปเป็นโดมิโน “เฮ้ยๆ เดี๋ยวยามาโตะมันตกเก้าอี้!”
อาซึสะและพวกผู้ชายยังคงแกล้งดันกันไปดันกันมา มารินั่งลงข้างเพื่อนสาวขณะยิ้มๆให้บรรดาเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักชื่อสักคน เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะนัก ต่างกับอาซึสะที่เดินไปไหนก็มีคนทักแทบทุกก้าว ในโต๊ะนี้คนที่เธอรู้ชื่อก็มีแต่อาซึสะกับ...คิระที่นั่งกินอย่างไม่สนใจใครฝั่งตรงข้าม
“เอ่อ.. นายชื่อคิระใช่ไหม” มาริเริ่มชวนคุย ขณะเปิดกล่องข้าวเบนโตะที่เธอทำเตรียมมาจากบ้าน ผู้ชายคนอื่นคุยเล่นกับอาซึสะเฮฮาเสียงดัง คิระเงยหน้า เลิกคิ้วน้อยๆเหมือนไม่คิดว่าเธอจะพูดกับเขา แต่ก็พยักหน้า “นายชอบเดเมี่ยนเหรอ”
คิระกะพริบตา “มันคืออะไร”
“อ้าว...” มาริร้องเบาๆ ก่อนจะยิ้ม “เป็นชื่อลูกชายซาตานในเรื่อง Demon Historia Codex น่ะ ฉันนึกว่านายชอบ เห็นใส่แหวนหน้าตาเหมือนภาพในหนังสือ น่าจะเป็นสินค้าลิมิเต็ดสำหรับแฟนๆเรื่องนี้” คิระมองแหวนตัวเอง
“เหรอ ไม่รู้สิ ฉันมีแหวนนี้อยู่ตั้งแต่เด็กๆ จำไม่ได้ว่าใครให้ สวมๆไปมันก็ติดนิ้ว” เขาพูด นั่นเป็นความจริงแต่ก็ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือเขาสวมไว้เพราะเวลาสวมแหวน มือซ้ายของเขาจะปล่อยฝุ่นควันดำออกมาหนาแน่นเป็นพิเศษ ช่วยไล่พวกปิศาจให้เพื่อนๆได้ชะงัดนัก “หนังสือน่าสนใจนี่ ว่างๆฉันจะไปหาอ่าน... ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ”
“มาริ”
“อืม ขอบใจนะมาริ”
“ไม่เป็นไรหรอก นายชอบอ่านหนังสือรึเปล่าล่ะ ฉันมีเยอะนะ ให้ยืมได้หมด”
“ปกติฉันอ่านแต่พวกนิยายสืบสวน”
“จริงดิ” มาริทำหน้ายู่ “ฉันไม่ชอบเลย น่ากลัวจะตาย อ่านแล้วหลอนๆยังไงไม่รู้ ยิ่งอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนนะ อึ๋ย นอนไม่หลับเลย” คิระหัวเราะ
“ให้ฉันเดา ผู้หญิงอย่างเธอชอบอ่านนิยายรักชัวร์”
"ใช่! สนุกมากๆ ฉันตามซื้อทุกเล่ม" มาริพูดยิ้มๆ ราวกับความสุขทั้งหมดของเธอก็คือหนังสือโรแมนติกที่ทำให้โลกเป็นสีชมพู “เวลาไปร้านหนังสือฉันกว้านซะแทบหมดตัวเลย”
“เมื่อก่อนตอนอยู่ใต้ฉันก็ซื้อทีเยอะๆ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้แล้ว หอที่นี่แคบเป็นบ้า ไม่มีที่เก็บอะไรเลย” เขาแอบบ่นอย่างออกจะเสียดาย
มาริเอียงคอ เช่าหออยู่เล็กๆแสดงว่าบ้านเกิดที่ภาคใต้คงไกลจากโรงเรียนมากถึงมาอยู่คนเดียว แต่คิระกลับดูหน้าตาไม่เหมือนคนต่างจังหวัด ดีไม่ดี ความคมเข้มของคิ้วและตาคู่นี้ บวกกับออร่าลึกลับแปลกๆ จะให้ความรู้สึกที่ไม่คล้ายคนญี่ปุ่น แต่จะว่าเป็นคนประเทศอะไร มาริก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน...
คิระลุกขึ้นตามเมื่อพวกกลุ่มผู้ชายลุกจะไปเก็บจาน “ไปล่ะ”
เขาก้าวรั้งท้ายกลุ่ม มาริอ้าปากคล้ายจะพูดแล้วก็เงียบ แต่แล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้น
“คิระ!”
ร่างสูงหันกลับมาและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ขอบใจนะเมื่อเช้าที่ฉันไม่สบายน่ะ คือ...มันเป็นเพราะนายใช่ไหม ฉันรู้สึกดีขึ้นก่อนจะได้ยาดมซะอีก ไม่รู้ว่านายทำได้ไง แต่ก็ขอบใจนะ” มาริพูดซ้ำและส่งยิ้มน่ารัก
คิระมองเธอ จะให้เล่าว่าเขามองเห็นปิศาจก็ใช่ที่ ตั้งแต่เด็กๆ เวลาเขาเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก็ถูกมองเป็นคนบ้าทุกครั้งไป แต่มาริดูซาบซึ้งใจจริงๆ เขาจึงไม่ปฏิเสธว่าเธอคิดไปเอง ได้แต่พูดเบาๆว่า
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”