บทที่ 10 อดีตของสองเรา
สายลมเย็นพัดผ่านผิวน้ำเป็นคลื่นกระทบริมสระ ก่อนจะส่งวงคลื่นกระทบกลับไปเป็นระลอก เสียงใบไม้ไหวกระทบกันเบาๆและทิ้งใบแห้งร่วงหล่นสู่พื้นดิน มือเรียวยื่นออกคว้าใบไม้ที่หมุนอยู่กลางอากาศ นิ้วหมุนมันไปมาเล่นก่อนจะดีดนิ้วให้มันลุกเป็นไฟสีส้ม เอมุนิลเงยหัวขึ้นจากตักหญิงสาว
“ขอโทษนะ ข้าทำให้ตื่นเหรอ” เฟลเวียพูด เกาคางให้สัตว์ภูตของเธอ เอมุนิลครางเสียงต่ำอย่างพอใจ “เจ้านี่นอนได้ทั้งวัน ข้าอยากทำได้เช่นนั้นบ้างจัง วันๆไม่มีอะไรทำนอกจากจัดห้อง คิระไม่มอบอำนาจหน้าที่แก่ข้าเลย”
นัยน์ตาสีนิลแดงทอดมองไปบนผิวน้ำของสระในสวนสาธารณะอย่างเลื่อนลอย ดอกไม้น้ำสีฟ้าอมม่วงชูก้านไหวไปตามลมแม้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงเพราะเป็นพันธุ์ไม้ต่างชาติ ดอกลำโพงทั้งสีเหลือและขาวห้อยลงจากเถาเหมือนกระดิ่งแขวนบนพฤกษาใหญ่ บนโลกมนุษย์นี้มีสิ่งตระการตามากมายจริงๆ งดงามน่าพิศวงกว่าใต้พื้นพิภพที่เต็มไปด้วยประกายแข็งกร้าวของกรวดหินและอัญมณี เฟลเวียขยับเสื้อลำลองที่คิระซื้อให้เล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เธอก็เสกให้มันกลายเป็นชุดบางเบาเปิดหน้าท้องเรียบสีดำที่เธอสวมใส่สบาย ตั้งแต่อยู่กับคิระ เธอชอบอากาศเย็นๆของที่นี่
เฟลเวียคิดว่า ถ้าสวรรค์อยู่สูงจนหนาวเป็นน้ำแข็ง ก็คงดีกว่านรกที่อยู่ต่ำลึกจนร้อนเป็นไฟ มิน่าเล่าใครๆถึงอยากไปสวรรค์ พวกภูตในดินแดนหิมะต่างก็หยิ่งทะนงเหมือนกันว่าบ้านเกิดเหน็บหนาวของพวกตนนั้นดีที่สุด
ภาพหญิงสาวนั่งพิงต้นไม้อยู่ในสายตาของไดสึเกะ เด็กชายรู้ว่าเขาไม่ได้ตาฝาด พี่สาวคนนี้เป็นเหมือนนางไม้ในตำนาน ไม่สิ...เธอเป็นนางฟ้า นางฟ้าที่มีเวทมนตร์เสกไฟให้เต้นระบำสวยยิ่งกว่าพลุในคืนเทศกาล และแต่งตัวเหมือนภาพในนิทานเจ้าหญิงทะเลทราย ไดสึเกะขยับตัว เฟลเวียหันขวับมาก่อนจะคลี่รอยยิ้ม ชุดสีดำบางเบาลายดอกลำโพงขาวกลับเป็นเสื้อไหมพรมกับกางเกงยีนส์ปกติราวกับภาพลวงตา
“เจ้าไม่ไปเล่นกับเพื่อนแล้วเหรอ” เธอถามด้วยน้ำเสียงกลางๆไม่สูงไม่ต่ำ ไดสึเกะเดินเข้าไปหา
“ขี้เกียจ เหนื่อยแล้วฮะ” เด็กชายนั่งลงข้างๆ ลูบหัวเอมุนิลเล่น “พี่ซาขุยะไม่ไปวิ่งเล่นล่ะ”
เฟลเวียหัวเราะเบาๆ “ข้าแก่เกินกว่าจะวิ่งเล่นแล้ว”
“ไม่หรอกฮะ พี่ซาขุยะไม่เห็นมีผมขาวสักเส้น ไม่เหมือนป้านานาเอะ แสดงว่าไม่แก่”
เด็กชายถือวิสาสะนอนหนุนตักเธอ เฟลเวียขยับให้อย่างเต็มใจ เธอลงมนตร์กับไดสึเกะไว้แล้วในวันเดียวกับที่ไปเจอคุณนานาเอะ มือเรียวลูบเส้นผมของเด็กชายเบาๆ เอมุนิลเงยหัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะต่อว่าที่มันโดนกินที่เสียอย่างนั้น
“ซาขุยะเป็นเจ้าหญิง” ไดสึเกะพูดช้าๆ มองใบหน้าที่ก้มลงมองเขา “เหมือนเจ้าหญิงโอโตะ”
เฟลเวียเลิกคิ้วน้อยๆและยิ้ม “คือใคร ข้าไม่รู้จัก”
“เป็นเจ้าหญิงแห่งท้องทะเล อยู่ในนิทาน” ไดสึเกะบอก “เจ้าหญิงอยู่ในวังใต้ทะเล มีเต่ายักษ์เป็นเพื่อน เหมือนพี่ซาขุยะที่มีเอมุนิลเป็นเพื่อนไงฮะ”
“อย่างนั้นรึ... แล้วมีเจ้าชายไหม”
“มีสิฮะ เจ้าชายชื่อโฮริ เขาเจอเจ้าหญิงโอโตะตอนลงไปหาตะขอใต้ทะเล” ปิศาจสาวขมวดคิ้ว
“ทำไมต้องหาตะขอ”
“มันเป็นตะขอวิเศษ ใครๆก็อยากได้” ไดสึเกะเล่าอย่างจริงจัง แม้จะเป็นการย่อเรื่องแบบที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผลนักสำหรับผู้ใหญ่ “เจ้าชายโฮริมีพี่ชายสองคนชื่อโฮเดมิกับโฮเดริ ตะขอวิเศษนั่นน่ะเจ้าชายโฮเดริให้เจ้าชายโฮริยืม มันเคลื่อนไหวได้เอง แต่ว่าเจ้าชายโฮริทำหายไป เจ้าชายโฮเดริโกรธมาก เจ้าชายโฮเดมิก็เลยบอกให้เจ้าชายโฮริไปหามาคืน”
เฟลเวียพยักหน้าเออออแม้จะรู้สึกว่าชื่อตัวละครช่างคล้ายกันจนน่าสับสน เจ้าหนูนี่เล่นคำอยู่หรืออย่างไร
“เอ่อ... ไปหาใต้ทะเลแล้วก็เจอเจ้าหญิงโอโตะอะไรนั่นใช่ไหม”
“ใช่ฮะ ทั้งสองตกหลุมรักกันและก็แต่งงานกัน เจ้าหญิงโอโตะสวยมากๆ” ไดสึเกะยิ้มและหลับตาลง ราวกับว่าเขาเคยไปเห็นเจ้าหญิงโอโตะมาแล้วจริงๆ เฟลเวียยิ้มบางอย่างเอ็นดู แต่ยังไม่วายสงสัย
“แล้วตะขอล่ะ”
“เทพริวจิน พ่อของเจ้าหญิงโอโตะหาเจอแล้วก็เอามาให้เจ้าชายโฮริ”
“งั้นเหรอ" หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ในนิทาน...เจ้าหญิงกับเจ้าชายตกหลุมรักกันง่ายดายเหลือเกิน อุปสรรคใดๆก็คลี่คลายในที่สุด “อืม ข้าชอบนะ นิทานที่จบอย่างมีความสุข ที่ที่ข้าจากมาไม่มีนิทานแบบนั้น”
ไดสึเกะลืมตา “ไม่หรอกฮะ เรื่องนี้ไม่ได้จบอย่างมีความสุข” เฟลเวียเลิกคิ้ว “หลังจากเจ้าชายกับเจ้าหญิงแต่งงานกันอยู่ที่วังใต้ทะเลหลายปี เจ้าชายโฮริก็คิดถึงบ้าน ทั้งสองคนก็เลยออกจากวังไปด้วยกัน เจ้าชายโฮริเอาตะขอไปคืนให้เจ้าชายโฮเดริแล้วคืนดีกัน ต่อมาเจ้าหญิงโอโตะก็คลอดลูกชาย”
“แล้วตรงไหนกันที่เจ้าว่าไม่มีความสุข” เฟลเวียสงสัย
“ก็ตอนเจ้าหญิงโอโตะจะคลอด เธอบอกให้เจ้าชายโฮริสัญญาว่าจะไม่มองร่างจริงของเธอ แต่เจ้าชายผิดสัญญา” ไดสึเกะอธิบาย “ร่างจริงๆของเจ้าหญิงโอโตะเป็นปลาฉลามน่ะฮะ พอเจ้าชายโฮริเห็นก็กลัวและหนีไป เจ้าหญิงโอโตะละอายใจเกินกว่าจะตามหาเจ้าชาย เพราะคิดว่าเขาคงทำใจรักปลาฉลามไม่ได้ เธอเลยฝากลูกไว้กับน้องสาวคือเจ้าหญิงทามาโยริแล้วก็กลับไปอยู่ที่วังใต้ท้องทะเลกับเทพริวจินเหมือนเดิม ไม่ได้พบกับเจ้าชายโฮริอีกเลย”
คนที่นั่งฟังไม่รู้จะพูดอย่างไรกับตอนจบเช่นนั้น สายลมแรงพัดให้ใบไม้ร่วงกราวลงมา ไดสึเกะหลับตาปี๋ขณะที่ใบไม้ตกลงมาบนหน้า เฟลเวียหยิบมันออกไปและสางผมตัวเองที่มีใบไม้เข้าไปติดอยู่เหมือนกัน พลันก็ได้กลิ่นอายของใครคนหนึ่งจากด้านหลัง มือใหญ่ปัดใบไม้ออกจากผมของเธอออกอย่างแผ่วเบา
“เคห์ซาน”
เฟลเวียเอ่ยนามด้วยเสียงราบเรียบราวกับผืนน้ำในสระ รอยยิ้มบางเบาประดับบนดวงหน้า ไดสึเกะขยับตัว ผู้ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเฟลเวีย ร่างสูงกำยำผิวขาวจัดแทบจะซีดเหมือนกับเธอ และนัยน์ตาสีนิลก็มีประกายสีแดงลึกๆเหมือนกันไม่มีผิด ใบหน้าคมยิ้มและนั่งลงข้างๆ เรือนผมสีดำยาวถึงกลางหลังปลิวพันกับผมของเฟลเวีย
“สอนเด็กมนุษย์นี่ให้เข่นฆ่าพี่น้องตัวเองหรือยังไง” เสียงต่ำลึกเอ่ยในภาษาที่ไดสึเกะไม่เข้าใจ เฟลเวียมองเขาอย่างตำหนิก่อนจะยิ้มให้เด็กชาย
“อย่าสนใจเลย ไดสึเกะ” หญิงสาวบอกเมื่อเห็นว่าไดสึเกะดูกลัวๆ “ก็แค่คนแก่ที่อยากฟังนิทาน” ชายหนุ่มนามเคห์ซานยิ้มโชว์เขี้ยวก่อนจะพูดในภาษาญี่ปุ่นเจือสำเนียงประหลาด
“ไม่ต้องตกใจไปหรอก เด็กน้อย... มาใกล้ๆสิ เจ้าจะเห็นว่าข้าไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใดเลย”
เขาเลื่อนมือไปแตะแถวหน้าผากของไดสึเกะและลูบเบาๆ ไอควันดำกระจายฟุ้งออกมาจากฝ่ามือขณะที่เด็กชายหลับตาราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน เมื่อลืมตาอีกครั้ง ดวงตาเล็กๆคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววไว้วางใจและเทิดทูนไม่ต่างจากที่มองเฟลเวีย
“...นี่คือเจ้าชายเหรอ” ไดสึเกะพูดเคลิ้มๆ เคห์ซานหัวเราะ
“ไม่ใช่หรอกน่า” เคห์ซานว่า ใบหน้าคมคายขาวจัดหันไปหาเฟลเวีย รวบผมของเธอมาสางและค่อยๆถักมันให้เป็นเปีย “จริงไหม น้องสาวที่รัก... เล่าเรื่องเจ้าชายของเจ้าสิ”
“เอ๋ ใครคือเจ้าชายของพี่ซาขุยะฮะ” ไดสึเกะถาม เฟลเวียถอนหายใจบางเบา
“ข้าไม่มีเจ้าชายหรอกตอนนี้ ข้าเพียงแค่เคยมี...ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ”
หญิงสาวมองสบตากับตัวเองบนผิวน้ำ น้ำค่อยๆนิ่งเมื่อสายลมสงบลง ราบเรียบสะท้อนภาพชัดเจนราวกับกระจก นัยน์ตาสีนิลพร่ามัว เพ่งดูให้ลึกก็เห็นว่า เงาของเธอในน้ำขยับยิ้ม และเงาเคห์ซานที่นั่งเคียงข้างจางหายไป ฉากหลังที่เป็นสวนสาธารณะก็เปลี่ยนเป็นอุทยานหน้าตำหนักอันวิจิตรงดงาม
เคห์ซานหัวเราะแผ่ว “อดีตของปิศาจเป็นของแปลก มันฉายซ้ำดำเนินไปในกระจกและเงาสะท้อนทุกหนแห่งร่ำไป แม้ความจริงจะจบลงไปนานแล้วในเส้นกาลเวลา” เขายื่นมือจับตัวไดสึเกะให้ลุกหันไปมองในผิวน้ำ ก่อนจะยกมือแตะริมฝีปากให้เงียบ “ชู่ว... ดูให้ดี เด็กน้อย ความทรงจำของปิศาจอยู่ในภาพสะท้อนเหล่านี้ ถ้าเจ้าอยากรู้ เจ้าก็จะเห็น...ทั้งเรื่องราวของเจ้าชาย เจ้าหญิง และฆาตกร”
1,030 ปีก่อน
ของเหลวใสถูกเทลงในจอกสองจอกอย่างช้าๆ ไม่มีหยดใดเลยที่กระเด็นออกมา ฝุ่นควันดำฟุ้งตลบหนาแน่นไปทั่วบริเวณบ่งบอกถึงปิศาจจำนวนมากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเล กริชเล่มงามประดับอัญมณีวาววับเป็นประกายวางบนผ้าแพร มันสะท้อนเงาของนัยน์ตาสองคู่ที่กำลังจ้องมอง
เดเมี่ยนเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาก่อน นัยน์ตาสีดำคมมองหญิงสาวข้างตัวเล็กน้อย ผ้าคลุมหน้าทำให้มองไม่เห็นว่านางกำลังทำสีหน้าอย่างไร เมื่อกี้เขามาสาย แต่นางก็ไม่บ่น อาจไม่กล้าบ่น หรือไม่ใส่ใจจะบ่น
เพราะอย่างไร มันก็ต้องเกิดขึ้นในวันนี้ การแต่งงานระหว่างนางกับเขา ผู้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลย
นัยน์ตาคู่สวยเหนือผ้าคลุมนิ่งสนิท เงียบงัน ไม่แสดงอาการว่าอยากจะเป็นคนลงมือก่อนหรือว่าอยากได้สัญญารักอะไร ดังนั้นเดเมี่ยนจึงจรดปลายแหลมของใบกริชลงที่นิ้วนางซ้ายของตัวเอง แหวนที่สวมอยู่เปล่งประกายสีแดงวาบขึ้นมาเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาหยดเลือดลงในจอกตรงหน้าหญิงสาวขณะที่ส่งกริชให้นาง นางกรีดเลือดที่นิ้วนางซ้ายเช่นเดียวกันและหยดมันลงในจอกตรงหน้าเขา ภูตบริวารเข้ามารับกริชและสมานแผลของทั้งสอง เดเมี่ยนยกจอกขึ้นเขย่าเบาๆ
“แด่เอเรบอสและราชินีในอนาคตของข้า” เขาเอ่ยก่อนยกขึ้นดื่ม นัยน์ตาสีแดงคู่สวยที่โผล่พ้นผ้าคลุมเลื่อนมาสบ มือเล็กสั่นน้อยๆขณะยกจอกขึ้นมาตรงหน้า ดื่มให้โลหิตให้ในกายพวกเขากลายเป็นโลหิตเดียวกัน ร่วมชีวิตเป็นหนึ่ง
“แด่เดเมี่ยน”