๖ ผิดฝาผิดตัว (๒)
วันหยุดทั้งทีชินานางก็เลือกออกมาเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า โดยมีเพื่อนสนิทอย่างสมิดา ณฤดีมาเดินด้วย เข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนได้ของเต็มสองมือ พวกเธอเพิ่งได้เงินเดือนจึงคิดจะมาจับจ่ายเพื่อเพิ่มความสุขให้ตนเอง
“ไม่เอา ชุดนี้มันหวานเกินไปเหมาะกับฉันที่ไหน” มาถึงร้านเสื้อผ้าก็เข้าไปเลือกตามเพื่อน พออีกฝ่ายหยิบเดรสสีชมพูสั้นเพียงเข่าแขนตุ๊กตามาให้ก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เธอเป็นสาวหวาน ฉันต้องบอกกี่รอบว่าเธอแต่งชุดเดรสแบบนี้ขึ้นที่สุดแล้ว ผิวก็ขาว หน้าตาก็จิ้มลิ้ม ใส่แต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์เสียของหมด” บอกกี่รอบก็ไม่เชื่อสักที ยังยึดมั่นในชุดที่ตนชอบอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่งจนจบมหาวิทยาลัย
“ลองดู เผื่อใส่วันไปเดทกับพี่ต่อไง” ชะงักมือเมื่อได้ยินชื่อของรุ่นพี่ที่แอบชอบ เธอไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วเอาชุดมาทาบตัวอีกครั้ง มองดูในกระจกอย่างตัดสินใจ
สมิดาเห็นอย่างนั้นก็แอบยิ้มขำ พอเป็นชื่อของรุ่นพี่คนนี้เพื่อนเธอจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอีกแบบเสมอ ถึงขนาดยอมซื้อเดรสที่นานทีปีหนจะใส่สักครั้งกลับบ้าน
ออกมาจากร้านเสื้อผ้าก็ตรงไปยังชั้นรับประทานอาหาร แต่ระหว่างที่เลือกร้านก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพงพนาเดินออกมาจากร้านอาหารสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แถมยังไม่ได้มาคนเดียวอีกด้วย เขาจับมืออยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่มองเพียงด้านหลังก็รู้ว่าหุ่นดีแค่ไหน
“หมิง นั่นพี่ต่อหรือเปล่า” สะกิดเพื่อนที่ยืนข้างกัน โดยไม่ยอมละสายตาออกจากร่างสูงที่เดินไปไกลแล้ว
“ไหน เธอเห็นอะไรก็เป็นพี่ต่อ..เออ พี่ต่อจริงด้วย” จากตอนแรกที่คิดว่าเพื่อนเพ้อไปเอง แต่พอดูชายหนุ่มที่เหลียวมามองด้านหลังก็พบว่าเป็นพงพนา
แต่ผู้หญิงที่เดินข้างกันเป็นใครนะ มองแค่ข้างหลังยังรู้ว่าสวย ทั้งหุ่นเอยการแต่งกายและทรงผม น่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
“ไป ไปดูไหม” ก้าวเท้าตามลืมเรื่องปากท้อง เธออยากรู้ว่าคนที่เดินกับพงพนาเป็นใคร สมิดาจึงรีบตามชินานางเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กก้าวเท้ายาวกว่าปกติด้วยความร้อนใจ
ไม่แปลกหรอก...เจอคนที่ชอบมากับหญิงอื่นใครบ้างจะอยู่เฉยได้
พวกเธอตามไปจนออกมายังลานจอดรถของห้าง มองซ้ายขวาพลางเขย่งปลายเท้าเพื่อหาร่างสูง แต่กลับไม่พบ มันน่าเจ็บใจที่ขลาดกันซะได้
“อ้าวนาง หมิง มาทำอะไรกันที่นี่” ไม่คิดว่าร่างสูงจะโผล่มาได้ พวกเธอตกใจจนเผลอแสดงสีหน้า ก่อนที่สมิดาจะรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วถามแทนเพื่อน คิดว่าอย่างไรชินานางคงไม่สามารถเรียกสติได้เร็วแน่
“พี่ต่อ พวกเรามาซื้อเสื้อผ้าน่ะค่ะ แล้วพี่ต่อมาทำอะไรคะ มาคนเดียวเหรอ” สอดส่ายสายตาเพื่อหาใครอีกคน เห็นเต็มสองตาว่าเขามากับผู้หญิงแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้อยู่คนเดียว อีกคนหายไปไหนซะแล้วล่ะ หรือแยกกัน..
“เปล่า พี่มากับเพื่อน อุ๋งอิ๋งน่ะ แต่แฟนเขามารับกลับไปแล้ว” แค่ได้ยินชื่อก็ถอนหายใจโล่งอก อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ที่คณะ หุ่นนางแบบหน้าตาสวยคม และสิ่งสำคัญที่สุดคือมีแฟนแล้ว ทั้งยังมีข่าวว่าจะแต่งงานเร็วๆ นี้ด้วย
ร่างบางจึงโล่งใจจนผ่อนลมหายใจเสียงเบา เม้มปากแน่นไม่ให้เผลอยิ้มยินดีก่อนหันไปมองเพื่อนสนิท
“อ้อ พี่อิ๋งนี่เอง”
“พี่ลืมของไว้ที่ร้านว่าจะไปเอา ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันนะนาง” ร่างสูงโบกมือลาสองสาวแล้วรีบวิ่งเข้าไปข้างใน ปล่อยหล่อนเอาไว้อย่างนั้นก่อนยิ้มขำให้ตนเอง
แค่เห็นว่าชายหนุ่มควงผู้หญิงต้องรีบวิ่งออกมาดู โชคดีเรื่องราวคลี่คลายไม่เป็นอย่างที่นึกกลัว แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่
“ฉันว่าเธอต้องสารภาพรักกับพี่ต่อแล้วล่ะ ก่อนจะมีคนแย่งเขาไป” กลับเข้ามาในห้างอีกครั้งแล้วเลือกร้านอาหารไทย
ชินานางยังคงเหม่อกับเรื่องเมื่อครู่ จะว่าเชื่อก็ได้แต่อีกใจก็กังขาแปลกๆ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ทำไมถึงเห็นพี่อุ๋งอิ๋งกอดแขนพี่ต่อล่ะ ผู้หญิงคนนั้นใช่เพื่อนเขาแน่เหรอ
“ฉัน..” พูดไม่ออกเพราะไม่รู้ควรทำอย่างไร
“วินาทีนี้ไม่ต้องลังเลแล้ว สารภาพรักแล้วมัดเขาไว้ให้แน่นเลย” กำมือแชชูขึ้นเพื่อเป็นการบอกให้เพื่อนสู้ ทว่าคนตัวเล็กยังคงกังวล
กลัวจะได้รับการปฏิเสธน่ะสิ แบบนั้นไม่เสียหน้าแย่เหรอ
“ถ้าเขาไม่รักล่ะ”
“ก็จะได้รู้ดำรู้แดงไปเลยไง เธอก็ไม่ต้องมาคอยแอบรัก มูฟออนไปหาผู้ชายคนใหม่ที่ดีกว่า” คำว่าผู้ชายคนใหม่กลับมีใบหน้าของนับอนันต์ลอยมาจนเธอต้องรีบหลับตาแน่น แล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับอาการร้อนในอก
ไม่จริงหรอก เธอกลายเป็นหญิงสองใจตั้งแต่เมื่อไหร่ คิดแล้วก็ยิ่งสับสนในตัวเอง เชื่อว่าตนไม่มีทางชอบเจ้านายหน้าหล่อเป็นแน่
“โอเค ลองก็ลอง” เก็บไว้มานานก็ถึงเวลาที่ต้องบอกออกไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อยแต่เธอก็จะทำให้เต็มที่ สุดปลายทางจะเป็นอย่างไรก็ไม่หวั่นแล้วตอนนี้
หล่อนวางแผนกับเพื่อนอย่างดิบดี ดูตารางงานที่ว่างปรากฏว่าเป็นสัปดาห์หน้า ค่อยยังชั่วหน่อยมีเวลาให้ทำใจตั้งนาน อย่างน้อยก็สามารถซ้อมบอกรักพงพนาหน้ากระจกได้ทุกวัน เพื่อที่วันจริงจะได้ไม่ตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก
การทำงานในแต่ละวันของนับอนันต์ทำให้พลังของเธอหมดไปด้วย หญิงสาวไม่ได้เตรียมตัวสักอย่าง จนใกล้ถึงวันหยุดจึงรีบไปซื้อของเพื่อมาตกแต่งห้อง ใช้คำพูดไม่ได้ก็ต้องใช้ของที่มีให้เป็นประโยชน์สูงสุด
“พรุ่งนี้เธอว่าง..” ใกล้จะถึงหอพักของหญิงสาว เขาจึงได้ถามเพราะเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด หากชินานางว่างก็อยากชวนไปทำกิจกรรมด้วยกัน
ทว่ายังพูดไม่ทันจบประโยคก็ได้รับคำตอบที่เสียงดังกว่าปกติ
“ไม่ว่างค่ะ!” คนกำลังเหม่อรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว จนเห็นเขาหน้าเสียจึงรู้สึกผิด เธอไม่เคยทำเช่นนี้กับชายหนุ่มเลย ไม่แปลกที่นับอนันต์อาจจะไม่ชิน
“โอเครู้แล้ว”
“เอ่อ ขอโทษที่เสียงดังค่ะ” มองเขาตาปริบกลัวถูกโกรธ ทว่าร่างสูงก็ไม่ได้ถือโทษ
“ไม่เป็นไร” บรรยากาศระหว่างพวกเขาจึงเงียบสนิท ส่งหล่อนลงหน้าหอพักค่อยไปส่งเจ้านายที่คอนโดมิเนียม ระหว่างทางพระเอกหน้าหล่อก็คิดมาตลอดว่าผู้ช่วยสาวมีอะไรในใจหรือเปล่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย
ถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบ จึงทำเพียงถอนหายใจแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน พรุ่งนี้คงต้องอยู่ห้องคนเดียวสินะ
วันที่รอคอยมาถึง ชินานางสวมชุดเดรสสีหวานที่ไปซื้อกับเพื่อน แต่งแต้มใบหน้าตามที่ช่างแต่งหน้าของกองละครแนะนำ ดัดผมที่เคยตรงให้เป็นลอนสวยงาม มองตัวเองในกระจกก็พยักหน้าพึงพอใจ ไม่เคยแต่งตัวแบบนี้แต่พอได้ลองก็เริ่มชอบ
หันมามองโซนนั่งเล่นที่ติดตัวอักษรไว้ I LOVE YOU ทั้งยังมีลูกโป่งขนาดใหญ่ตั้งไว้ข้างโซฟาอีกต่างหาก ทุกอย่างลงตัวไปหมดเหลือเพียงทักหาพงพนา
หยิบโทรศัพท์มาแล้วทักชายหนุ่มไป ‘พี่ต่อคะ วันนี้ว่างหรือเปล่า’ กดส่งเรียบร้อยก็อมยิ้ม เรียกกำลังใจให้ตนเอง แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
ทว่ายังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความต่อมา ก็มีอีกข้อความเด้งมาซะก่อน ‘เย็นนี้ไปรับชุดสูทให้ด้วยนะ’ เป็นนับอนันต์ที่ส่งมานั่นเอง
‘ได้ค่ะ’ เธอตอบกลับแล้วเผลอมองไปยังสิ่งของบางอย่างที่อยู่บนโต๊ะทำงาน กำลังจะชวนเขามาห้องจึงต้องเตรียมพร้อมทุกอย่าง
แม้กระทั่งของใช้สำหรับผู้ชายอย่าง...ถุงยางอนามัย
เธอไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เตรียมไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เผื่ออารมณ์พาไปยังจุดที่คาดไม่ถึง หล่อนจะได้มั่นใจในความปลอดภัย
คิดคนเดียวแล้วก็อมยิ้ม ‘ถ้าวันนี้ว่างแวะมาห้องนางหน่อยนะคะ ชั้นสามห้องสามศูนย์สี่’ พิมพ์ข้อความเสร็จก็กดส่ง ก่อนจะรีบโยนโทรศัพท์ไปไว้โซฟา ส่วนตัวเองก็มานอนดิ้นด้วยความเขินอยู่ที่เตียง
มันเป็นการเชิญชวนเกินงามหรือเปล่า..ไม่สนแล้ว
เมื่อตัดสินใจจะพุ่งชนก็ต้องเอาให้สุด หล่อนลุกนั่งแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด ไปส่องกระจกแล้วคิดว่าต้องเติมแป้งอีกครั้ง ลิปสีสดเกินไปลบให้ดูอ่อนกว่านี้หน่อย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงเพิ่มความหอมของห้องด้วยการเปิดเครื่องพ่นไอน้ำอโรม่า
สูดกลิ่นหอมอย่างสดชื่น เช็ดถูพื้นอีกรอบระหว่างรอ เมื่อทุกอย่างผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเธอก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ จะดูว่าเขาออกมาหรือยังเพราะไม่ได้ยินเสียงตอบกลับข้อความเลยหลังจากกดส่ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงประตูดังขัดซะก่อน หล่อนตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ กำมือแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าปอด อุตส่าห์ทำใจไว้ตั้งนานแต่พอถึงสถานการณ์จริงหล่อนก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
ไม่กล้าจะเดินไปเปิดประตูด้วยซ้ำ จนเรียกขวัญกำลังใจให้กับตนเองแล้วเดินดุ่มไปเปิดประตูโดยไม่ยอมมองหน้าคนมาใหม่ ทำเพียงมองที่พื้นแล้วเห็นรองเท้าผ้าใบคู่เก่งที่คุ้นเคย
“นางชอบพี่..” ตัดสินใจบอกชอบเดี๋ยวนั้นก่อนจะเงยหน้า เพื่อพบว่าคนที่มาห้องเธอไม่ใช่คนที่ตนต้องการพบ
ทำไมนับอนันต์ถึงมาอยู่ที่นี่!
เผยอปากค้างขณะมองเขา ลำตัวแข็งทื่อแทบจะกลายเป็นหินอยู่แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมันนอกเหนือความตั้งใจไปไกลมาก คนที่ต้องการบอกชอบคือพงพนาและมั่นใจว่าส่งข้อความให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
เหตุใดเขาต้องมาหาเธอแล้วพบในสภาพนี้ด้วย สาวผู้ช่วยนิ่งค้างนานจนร่างสูงต้องเข้ามาข้างในแล้วปิดประตูเสียงเบา กลัวว่าจะมีคนผ่านมาเห็นเสียก่อน
เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมต่างจากแขกคนสำคัญที่กำลังสำรวจรอบห้อง ค่อนข้างชอบในการตกแต่งที่แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างดี ห้องไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่หญิงสาวทำให้มันดูโล่งสบายตา
ทว่าสิ่งที่เรียกสายตาเขาได้มากที่สุดน่าจะเป็นคำบอกรักที่อยู่บนผนัง รอยยิ้มแต้มมุมปากหยักไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึง ตอนได้รับข้อความจากหล่อนค่อนข้างตื่นเต้นมากพอสมควร ยิ่งได้ยินคำว่าชอบจากปากชินานาง
เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยจริงๆ
“คุณนับมาได้ยังไงคะ” ตื่นจากภวังค์แล้วหันมาถามเสียงเบา เธออายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ยิ่งยามเขาหันมามองด้วยแววตาเปล่งประกายทำเอาต้องรีบหลบสายตา
“เธอเป็นคนส่งข้อความนัดฉันมาไม่ใช่เหรอ” เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเขาพูดเช่นนั้น รีบเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดเข้าไปดูข้อความ
ถึงกับต้องก่นด่าตัวเองที่ไม่ดูให้ดีว่าส่งข้อความไปหาใคร คนที่เธอกดส่งคือนับอนันต์ไม่ใช่พงพนา!
อยากร้องไห้ในความสะเพร่าของตนเอง คิดจินตนาการจนไม่ดูให้ถี่ถ้วน แถมยังเปิดประตูพร้อมบอกชอบเขาอีกต่างหาก หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดเป็นจริงเป็นจังหรอกนะ
“คือนางส่งผิดน่ะค่ะ” บอกเสียงแผ่วพลางก้มหน้าต่ำ
“เหรอ แล้วความจริงจะส่งให้ใครล่ะ” ร่างหนาก้าวเข้ามายืนตรงหน้า พลางก้มลงเพื่อให้ใบหน้าเท่ากัน พลางถามเสียงอ่อนโยนจนเธอใจสั่น
หล่อนก้าวถอยเพื่อไม่ให้อยู่ใกล้เขามากกว่านี้ เม้มปากแน่นไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ไม่กล้าบอกว่าชอบพงพนา เธอไม่อยากให้คนนอกรู้เพราะตนยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากปากของอีกฝ่ายว่าคิดเช่นไร
หากให้เป็นแค่พี่น้องเรื่องนี้จะได้เงียบ รู้กันเพียงสองคน
แต่ถ้าเป็นมากกว่านั้นค่อยป่าวประกาศก็ไม่สาย...
“มะ ไม่มีค่ะ” ปฏิเสธเสียงสั่น
“เลิกปากแข็งได้แล้ว” ไม่พูดเปล่าเขายังยกมือมาวางไว้บนศีรษะมน ใบหน้าคมยิ้มออกมาจนเธอเผลอมองอย่างหลงใหล
มือเล็กกำเข้าหากันแน่นขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าจะสามารถรักใครได้ในเวลาอันรวดเร็ว
มันใช่รักแน่เหรอ หรือเป็นเพียงความหลงใหลในหน้าตาชั่วคราวเท่านั้น ขนาดหัวใจของตนยังตอบไม่ได้เลย แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่รู้สึกกับนับอนันต์มันคือความรักจริงๆ
“เรื่องที่เธอชอบฉัน ฉันเข้าใจนะ แต่ของบนโต๊ะ..ฉันใช้ไม่หมดหรอก” มองไปยังโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น เธอรีบก้าวเท้าเข้าไปหยิบของเหล่านั้นแล้วยัดลงลิ้นชักทันทีไม่ให้ชายหนุ่มได้เห็นอีก
แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อนับอนันต์เห็นหมดว่าเธอซื้อถุงยางอนามัยมาไว้สามกล่อง หมดกันภาพลักษณ์ที่สร้างเอาไว้
แล้วเขาจะมองเธอเป็นคนยังไงล่ะเนี่ย!