๖ ผิดฝาผิดตัว (๑)
๖
ผิดฝาผิดตัว
เมื่อเห็นว่าดึกแล้วนับอนันต์จึงบอกครอบครัวว่าจะกลับคอนโด ชินานางล่ำลากับทุกคนแล้วเดินตามเขาเพื่อไปยังรถตู้ ส่วนคนขับรถก็นั่งประจำตำแหน่งเพื่อรออยู่แล้ว
พอเขาจะขึ้นรถก็ถูกน้องสาวคว้าแขนเอาไว้ ก่อนลากพี่ชายไปหาที่สงบคุยกัน ผู้ช่วยเห็นอย่างนั้นจึงขึ้นไปนั่งรอบนรถ แล้วปล่อยพี่น้องให้คุยกันเอง ไม่รู้ช่อบุษบามีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า
“อะไร ลากพี่มาทำไม” พวกเขามาคุยกันที่สวนข้างบ้าน ปลอดผู้คนและค่อนข้างเป็นส่วนตัว คงไม่มีใครเดินมาฟังหรอก อย่างน้อยคนในครอบครัวก็ให้พื้นที่ส่วนตัวแก่กัน ไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือทำให้ลำบากใจ
น้องสาวตัวดีหรี่ตามองเขาพลางยกยิ้มมุมปาก สังเกตมาเป็นชั่วโมงก็ได้ข้อสรุปในใจของตนเอง เหลือแต่ถามให้รู้เรื่องไปเลย ไม่อยากมานั่งคิดเองเออเอง
“พี่คิดยังไงกับนาง” ถามเข้าประเด็นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มองหน้าพี่ชายเพื่อจับผิด กลัวว่าจะไม่ได้คำตอบที่ตรงกับหัวใจ แต่ที่ผ่านมานับอนันต์ค่อนข้างปากกับใจตรงกัน จึงเชื่อว่าจะได้รับคำตอบที่เป็นความจริง
“หือ หมายความว่าไง” เขาแสร้งเฉไฉ ทำเหมือนไม่เข้าใจคำถาม แต่มีหรือที่นักศึกษาเภสัชจะตามไม่ทัน หล่อนยิ้มในหน้าแล้วพูดถึงสิ่งที่ตนเองเห็น
“ช่อเห็นนะเวลาพี่มองเขาน่ะ สายตามันเปล่งประกายวิบวับเหมือนคนมีความรัก อย่าบอกนะว่าที่เลิกกับพี่เพลินเพราะนอกใจ” ตั้งข้อสันนิษฐานเพราะไม่รู้ความจริงระหว่างความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง คบกันประกาศใหญ่โต แต่พอเลิกทีเก็บเงียบ
ตอนแรกที่รู้ก็สงสารพี่ชาย แต่พอเห็นอาการของนับอนันต์ที่มีต่อผู้ช่วยผู้จัดการก็ต้องคิดใหม่ บางทีหล่อนอาจจะกังวลมากเกินไป
“จะบ้าเหรอ พี่ไม่เคยนอกใจเพลิน” รีบบอกเสียงหลง
เขาไม่ใช่คนที่คิดนอกใจแฟน คบใครก็คบแค่คนเดียว แต่กับเพลินพลินเหมือนมีสัญญาณเตือนถึงการร้างรามาหลายเดือนแล้ว เพิ่งมาพูดให้ชัดเจนก็เมื่อช่วงเช้าที่หล่อนมาหาเขาถึงคอนโดมิเนียม
เพียงเพื่อเอาของต่างๆ มาคืน ทว่าชายหนุ่มไม่รับและจัดการทิ้งถังขยะไปเรียบร้อย ป่านนี้แม่บ้านที่มาทำความสะอาดคงเอาไปทิ้งแล้ว
เหลือก็แต่ของใช้บางส่วนของเธอที่ยังอยู่ห้องเขา ถ้าว่างเมื่อไหร่สงสัยต้องเก็บเอาไปคืน หรือไม่ก็ทิ้งขยะ
“แล้วทำไมถึงเลิกกัน” เพราะอยากรู้อยากเห็นจึงถาม พวกเธออายุไม่ห่างกันมากนักจึงค่อนข้างสนิทมากกว่าพี่ชายคนโตอย่างจ้าวเวหา สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
“เขาบอกเลิก น่าจะหมดรักแล้วมั้ง” ยิ้มขมขื่นเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิด เขาก็คิดเหมือนกันว่าถ้ายื้อต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาซะเปล่า สู้บอกเลิกให้เคลียร์ไปเลยจะได้จบ แล้วเพลินพลินก็เป็นคนตัดสินใจบอก ทำให้ความรักครั้งนี้เขากลายเป็นคนอกหัก
ที่ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกชาๆ เท่านั้นเอง
“อ้อ พี่ก็เลยได้คนดามใจพอดีใช่ไหม” แกล้งเย้าเพื่อสร้างสีสันเมื่อเห็นใบหน้าคมหม่นลง สนิทกันจนรับรู้อารมณ์ที่เปลี่ยนแม้เพียงน้อยนิด
หนุ่มนักแสดงพยายามกลบเกลื่อนอาการเขินด้วยอารมณ์มโห เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงเป็นเช่นนี้ ระยะเวลาไม่กี่วันทำให้หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาจากรักกลับมาชุ่มชื่น
ถ้ามองจากสายตาคนภายนอกเขาก็คงไม่ต่างจากพวกนอกใจ เหมือนพื้นที่ในหัวใจเริ่มมีใครบางคนแทรกซึมเข้ามาโดยที่เจ้าของก็ไม่รู้ตัว
“พูดอะไรก็ไม่รู้ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าแก่แดดให้มันมาก” ทำตาดุใส่ แต่มีหรือที่ช่อบุษบาจะกลัว
“เด็กอะไร ช่อก็อายุเท่านางนะ ถ้าว่าช่อเด็กพี่ก็ห้ามชอบเด็กล่ะ แต่คงไม่ทันแล้วล่ะมั้งมองเขาตาหวานเยิ้มขนาดนั้น” หมดคำจะเถียงกับน้องสาว ชายหนุ่มจึงรีบตัดบทอย่างรวดเร็วด้วยการยกนาฬิกามาดูเวลา
“ดึกแล้วพรุ่งนี้พี่มีถ่ายงานเช้าด้วย ไปล่ะ”
“อะไรอ่ะพี่นับ ตอบไม่ได้ก็หนีเลยเหรอ ไม่ใจนี่หว่า..” ร่างสูงทำเมินเหมือนไม่ได้ยินแล้วขึ้นมาบนรถ ปล่อยน้องสาวล้อเลียนอยู่ข้างหลัง
ร่างบางรีบขยับขาเพื่อให้เขาเข้าไปนั่งประจำที่ส่วนตัวเองก็ปิดประตูเรียบร้อย ไม่รู้สองพี่น้องคุยอะไรกันเห็นยุกยิกอยู่สวนเป็นนานสองนาน
คงไม่ได้นินทาเธอหรอก
แต่ไม่น่าจะใช่ หล่อนยังไม่ทำอะไรให้เป็นที่พูดถึงเลย เผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมหรือเปล่า ชินานางคิดแล้วก็เริ่มไม่ไว้ใจตัวเอง
“มาบ้านฉันเธออึดอัดไหม” ระหว่างทางกลับคอนโดมิเนียมเขาก็หันมาถาม หญิงสาวที่กำลังเหม่อจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เลยค่ะ ครอบครัวคุณนับน่ารักดี” เห็นแล้วก็ทำให้คิดถึงครอบครัวของตัวเองเหมือนกัน แต่ช่วงหลังไม่ค่อยได้สังสรรค์
เหตุผลหลักคือบิดายังไม่หายโกรธที่เธอเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ เหตุผลที่สองคือทุกคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง พี่สาวและพี่ชายก็ยุ่งกับงาน เธอเองก็ไม่ค่อยมีเวลากลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด จะมีเพียงแค่มารดาที่โทรมาถามข่าวคราวสัปดาห์ล่ะครั้งสองครั้ง
“น่าปวดหัวมากกว่าน่ะสิ แม่ฉันค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการหน่อย แต่ก็อยู่ในขอบเขต ถ้าวันนี้ท่านทำอะไรให้เธอไม่สบายใจฉันก็ต้องขอโทษแทนด้วยนะ” คุณชมนาดดูเหมือนเป็นศูนย์กลางของครอบครัว ชอบถามซอกแซกหรือบงการ แต่ความจริงตามใจลูกจะตาย ไม่อย่างนั้นจ้าวเวหาคงไม่เป็นโสดมาจนป่านนี้หรอกถ้ามารดาเอาจริง
“ไม่เลยค่ะ นางเข้าใจแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ต้องขอบคุณคุณนับมากกว่าที่ช่วยนางเอาไว้” ตอนนั้นเธอยังทำหน้าเหรอหราจนเขานึกกลัวว่าแผนจะไม่สำเร็จ ดีที่หญิงสาวไหวพริบดีรีบเล่นบทต่อจากเขา
ทว่าชายหนุ่มก็เริ่มสงสัย...คนที่เธอชอบเป็นใครกัน
“ไปส่งนางก่อนนะครับ น่าจะผ่านห้องเธอก่อนถึงห้องผม” บอกคนขับรถกลัวว่าจะลืม
หญิงสาวจึงทำได้เพียงยิ้มขอบคุณก่อนหันมองทางอื่น ช่วงนี้รู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถมองหน้านับอนันต์ได้นาน หล่อนรู้สึกใจมันเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรื่องจ้องตาไม่ต้องพูดถึงเลย แทบจะมองพื้นเวลาที่คุยกับชายหนุ่มอยู่แล้ว
“เธอไม่ค่อยเล่าเรื่องที่บ้านให้ฉันฟังเลย” เขาแทบไม่รู้เรื่องราวครอบครัวของหล่อน จึงได้โอกาสถามเพื่อสืบข้อมูลเล็กน้อย
“ไม่ค่อยมีอะไรน่าเล่าน่ะค่ะ”
“พ่อแม่เธอทำงานอะไรเหรอ ปล่อยลูกสาวมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวไม่กลัวว่าเธอจะเสียคนเหรอ ที่นี่ยิ่งมีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะด้วย” ยังคงตื้อเพื่อให้คนตัวเล็กเล่าเรื่องของหล่อนให้ฟังบ้าง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สนใจชีวิตของชินานาง และมีความสุขยามได้เห็นปากจิ้มลิ้มเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“พ่อนาง...รับราชการตำแหน่งทั่วๆ ไปค่ะ ส่วนแม่ก็..ทำธุรกิจเล็กๆ” ตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่กล้าพูดเต็มเสียง แล้วรีบตัดไปเรื่องอื่นแทนการบอกอาชีพของพ่อแม่
เธอไม่อยากบอกใครว่าตนเองเป็นลูกสาวของผู้ว่าราชการจังหวัด แถมมารดายังเป็นเจ้าของโรงแรมห้าดาว มีสาขาหลายแห่งทั่วภาคเหนือ เรียกได้ว่าเป็นลูกคุณหนูก็ผิดไม่นัก
หลายครั้งที่บอกพื้นเพครอบครัวมักได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง หล่อนจะกลายเป็นเจ้าหญิงในหมู่เพื่อน จนมาเรียนที่เมืองหลวงถึงได้โกหกเกี่ยวกับฐานะทางบ้าน อยากใช้ชีวิตปกติดูบ้างโดยไม่ต้องมีตำแหน่งพ่อ หรือฐานะทางบ้านแม่มาเป็นตัวหนุน
“ที่จริงพ่อก็ไม่อยากให้นางมาเรียนที่นี่หรอกค่ะ แต่นางดื้อจะมาเองตอนนี้ก็เลยถูกตัดหางปล่อยวัด ฮ่าๆ” หัวเราะกับเรื่องเศร้าเพราะไม่คิดว่าบิดาจะตัดขาดจริง ห้าปีที่ไม่ติดต่อลูกสาวมาเลยสักครั้ง ช่วงแรกเธอก็คิดมากจนอยากกลับไปขอโทษท่าน
แต่พอคิดถึงความฝันของตนก็กัดฟันอยู่เมืองหลวงต่อไป โดยทำงานพิเศษบ้างเพื่อหาเงินเรียน แต่ดีที่มารดายังส่งเงินมาให้เป็นปกติ จึงไม่ต้องทำงานและเลือกอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ประหยัดเงินไปได้พอสมควร
“ไม่ได้กลับบ้านเลยเหรอ”
“ตั้งแต่เรียนจบก็ยังไม่ได้กลับเลยค่ะ แต่คิดว่าถ้าว่างๆ ก็จะกลับบ้าน อาจกลับช่วงเลิกเป็นผู้จัดการให้คุณนับ” อยากกลับไปเคลียร์กับบิดาให้รู้เรื่อง ป่านนี้ท่านคงหายโกรธเธอแล้วล่ะ หรือไม่อย่างนั้นคงต้องใช้ลูกอ้อนซะหน่อย
นับอนันต์ไม่ได้ถามอะไรอีก เขาทำเพียงจ้องหน้าคนที่ตกอยู่ในภวังค์เพราะคิดถึงครอบครัว ดูภายนอกเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป เป็นคนที่ไม่ได้โดดเด่นจนเห็นแล้วสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรก ทว่ากลับดูอ่อนละมุนน่าทะนุถนอม เป็นคนที่หน้าตาออกไปทางสายหวานมากกว่า
ต่างจากคนที่เขาเคยชอบอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่รู้เหตุใดหล่อนถึงดึงดูดจนไม่สามารถละสายตาไปไหนได้ ไม่น่าเชื่อว่านับอนันต์สามารถนั่งมองหล่อนมาตลอดทางจนถึงหน้าหอพักของฝ่ายหญิง
“ถึงหอนางแล้ว ขอบคุณมากนะคะคุณนับ” ค้อมศีรษะพลางกล่าวขอบคุณ กระชับกระเป๋าสะพายแล้วลงจากรถ เธอเองก็ต้องการพักผ่อนหลังทำงานหนักมาทั้งวัน อีกอย่างกินไปเยอะหนังตาก็เริ่มหนักจนจะปิดอยู่รอมร่อ
“กลับเลยไหมครับ” คุณยุทธหันมาถามเพราะเห็นเจ้านายมองตามหลังร่างบางไม่วางตา
“ครับ” ดาราหนุ่มหันหน้าตรงแล้วก้มมองโทรศัพท์ของตนเอง เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเปิดค้างรูปที่ถ่ายพร้อมครอบครัวตนเอง โดยมีหล่อนยืนอยู่ข้างกันได้อย่างไร
มุมปากยกยิ้มก่อนจะรีบปิดโทรศัพท์ ความรู้สึกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งที่เพิ่งเลิกกับแฟนเก่าเมื่อเช้าหรือเปล่า เขาควรเศร้าโศกเสียใจมากกว่านี้สิ ทำไมถึงนั่งมองรูปผู้หญิงอีกคนแล้วหัวใจเต้นแรงได้ล่ะ
ไม่ถูก...แบบนี้มันไม่ถูกต้อง