๕ ในวันที่เศร้าก็ยังมีเธออยู่เคียงข้าง (๒)
“ไม่ล่ะ ฉันอยากอยู่เงียบๆ” คำตอบทำให้กระจ่าง จึงเลือกจะนั่งเงียบอยู่ข้างเขาแบบนั้นไปจนถึงกองถ่าย
ดวงตากลมแทบไม่เคลื่อนจากเจ้านายตนเอง เธอเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไหม การเลิกกับแฟนแล้วต้องมาทำงาน ไม่มีเวลาให้เสียใจหรือฟูมฟาย แถมซีนวันนี้ยังดราม่าหนักหน่วงอีกต่างหาก
เหมือนทำให้นับอนันต์ย้อนกลับไปเหตุการณ์เมื่อเช้า...
“ฉันต้องการหย่า” ปานชีวาเป็นคนกล่าวกับสามีในนาม ที่เพิ่งกลายเป็นสามีทางพฤตินัยเมื่อคืนเพราะเกิดจากอารมณ์หึงหวงชั่ววูบ
เช้าวันต่อมาหล่อนจึงยื่นคำขาดขอหย่าขาดจากเขา โดยที่ฝ่ายชายกลับเลือกใช้คำพูดเจ็บแสบให้เธอเจ็บ มือหนากระชากแขนเล็กเข้าหาตัวพลางจ้องจนตาแทบถลน
“โกยจากฉันไปได้เยอะแล้วใช่ไหมเลยต้องการหย่า หึ ผู้หญิงอย่างเธอนอกจากเงินก็คงไม่สนอะไรเลยสินะ” คนอยู่นอกฉากถึงกับกอดบทแน่นระหว่างดูเขาแสดง นับอนันต์เล่นได้อินมากจนหล่อนเกลียดไปด้วย
คุณคณินที่ต้องเป็นนักธุรกิจองอาจ เด็ดขาดกับทุกเรื่องแต่ดันมาตกม้าตายเรื่องผู้หญิง เพราะไม่รู้ว่าลึกในใจก็ชอบภรรยากำมะลอเหมือนกัน
“ใช่ อย่าลืมสิว่าที่ฉันแต่งงานกับคุณก็เพราะตำแหน่ง ในเมื่อฉันได้มันมาแล้วเราจะทนอยู่แบบนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ คุณก็ได้หุ้นของบริษัทแล้วไม่ใช่เหรอ ละครของเรามันควรจบลงสักที” หนึ่งวารีเล่นได้กระชากใจจนเธอสงสาร ดวงตาแดงก่ำแต่ปากเชือดเฉือน ไม่ยอมแพ้คนที่ข่มเหงตนเอง
ตอนแรกคิดว่าคนเขียนบทจะตัดฉากนี้ออกเพราะดูจะไม่เข้ากับยุคสมัยเท่าไหร่ ถ้าออนแอร์พระเอกคงโดนด่าไปเป็นสัปดาห์ แต่มันดันผูกกับเส้นเรื่องที่ทำให้คนร้ายเผยตัว จึงไม่อาจตัดออกไปทำได้เพียงลดทอนความรุนแรง
“มันจะจบได้ยังไง เธอเป็นเมียฉันแล้ว ฉันก็ต้องรับ..” ยังพูดไม่ทันจบใบหน้าก็หันไปตามแรงตบ ซึ่งแน่นอนว่าเล่นจริงเจ็บจริง คนทั้งกองถึงกับซู้ดปากเป็นแถบ เจ็บแทนพระเอกหนุ่มที่เจอเจ้าแม่มือตบ
เพี๊ยะ
“มันเกิดขึ้นเพราะนายขืนใจฉันต่างหาก ฟังเอาไว้นะ ฉันไม่ได้เต็มใจและจะไม่มีวันเต็มใจเป็นคนของนาย” เป็นลองเทคที่ยาวนานมาก และนับถือนักแสดงที่จำบทแม่นไม่มีหลุดอารมณ์ บรรยากาศยังกดดันจนเธอไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างกาย
“ขืนใจ..แน่ใจเหรอว่าฉันขืนใจ เป็นเธอที่สมยอมมากกว่า หรือว่าเธอจะเถียงว่ามันไม่เป็นความจริง” ฝ่ายหญิงทำได้เพียงเม้มปากแน่น จ้องหน้าคนที่ตัวเองรักอย่างเอาเรื่อง ทุกอย่างแช่ค้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงของผู้กำกับดังขึ้น
“คัท ดีมาก” นักแสดงนำถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ร่างสูงเดินออกจากฉากแล้วมาเช็คที่จอมอนิเตอร์ ไม่น่าเชื่อว่าซีนอารมณ์เขาจะถ่ายเพียงแค่สามเทคก็ผ่าน
ชินานางคอยเดินตามเขาเพื่ออำนวยความสะดวก โทรศัพท์ของนับอนันต์ก็อยู่กับเธอ พอเห็นชื่อคนโทรมาจึงรีบยื่นให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“แม่คุณนับโทรมาค่ะ” เห็นชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จึงรีบบอกกลัวว่าสายจะถูกตัด
“ครับแม่ ผมอยู่กองถ่ายน่าจะเลิกประมาณหนึ่งทุ่ม เห็นผู้กำกับบอกจะยกฉากตอนกลางคืนไปถ่ายพรุ่งนี้” ตอนรู้ว่าเลิกเร็วเธอเกือบเผลอแสดงอาการดีใจ แต่ต้องเก็บเงียบไว้ทำทีเป็นเสียดาย
วันนี้ได้กลับห้องเร็ว จะได้เก็บกวาดห้องหลังจากผ้าเต็มตะกร้าซะหลายวัน ไม้กวาดก็ไม่ได้จับ ไม้ถูพื้นแทบไม่ชายตาแลเลย นี่แหละเป็นโอกาสอันดีแล้ว
“ครับ ได้สิ หือ ให้ชวนนางไปด้วยเหรอ” พอได้ยินชื่อตนเองก็รีบหันมองเขาทันทีพลางถามเสียงเบาด้วยความสงสัย
“คะ นาง นางเหรอ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวแต่ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร
“เธอตกลงครับ เจอกันครับแม่” ชินานางรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก หล่อนยังไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่อีกฝ่ายดันตอบตกลงไปแล้ว
“ชวนไปไหนคะคุณนับ” รีบถามเมื่อเขาวางสาย
“แม่ฉันซื้ออาหารทะเลจากเพื่อนมาเยอะเลยชวนกลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ ท่านให้ชวนเธอไปด้วยแล้วฉันก็ตอบตกลงเรียบร้อย” แต่เขาไม่ถามความเห็นเธอสักคำ
คิดอยู่ในใจทว่าไม่กล้าพูดออกมา ปล่อยให้ร่างสูงอยู่คนเดียวส่วนตนก็เดินไปคุยกับช่างแต่งหน้า รู้ว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์จะคุยเล่นกับใคร ดูเหมือนเหตุการณ์ช่วงเช้าจะยังคงหลอกหลอนไม่เลิก
เป็นเธอก็คงเจ็บที่โดนแฟนบอกเลิก ถึงจะมีสัญญาณให้เตรียมใจมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่พอเจอกับตัวก็ไปไม่เป็นกันทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกที่เขาจะเจ็บ แถมยังต้องมาทำงานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก
นับถือใจเจ้านายสุดหล่อพอสมควร
เมื่อเลิกกองก็เก็บข้าวของแล้วขึ้นรถตู้เพื่อไปยังบ้านวิเศษกุลชาที่อยู่ชานเมือง คนรถคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะไปส่งนับอนันต์บ่อยครั้ง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงจากสถานที่ถ่ายทำ ผ่านด่านรถติดยาวเหยียดจนมาถึงบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ป้ายด้านหน้าเป็นนามสกุลของดาราหนุ่ม
“คุณยุทธกินข้าวด้วยกันก่อนนะครับ” บอกคนรถซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างดี
ชินานางค่อนข้างประหม่าเพราะมาบ้านเขาเป็นครั้งแรก ถึงจะเคยเจอครอบครัวชายหนุ่มแต่ก็เป็นเพียงครู่เดียว คราวนี้บุกมาถึงบ้านต้องทำตัวอย่างไรล่ะ ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือมาสักชิ้น มันดูน่าเกลียดหรือเปล่านะ
“คุณนับคะ นางไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากแม่คุณเลย” คว้าแขนเขาไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินเข้าบ้าน ใบหน้าติดกังวลนั่งเครียดมาตลอดเส้นทาง
“ซื้อมาทำไมล่ะ มากินข้าวไม่ได้มาฝากตัวสักหน่อย เข้าไปเถอะฉันหิวแล้ว” หญิงสาวยอมปล่อยเขาแล้วค่อยเดินตาม เจอกันที่โรงพยาบาลเห็นว่าครอบครัวนับอนันต์ค่อนข้างเป็นมิตร ติดก็ตรงที่คุณแม่ชอบขายลูกชายคนโตเสียเหลือเกิน
ไม่รู้วันนี้จะโดนตะล่อมอีกหรือเปล่า กว่าวันนั้นท่านจะปล่อยเธอได้ก็หลายนาที คอยพูดเรื่องของพี่ชายนับอนันต์ให้ฟังจนเกือบจำได้ขึ้นใจ
“หนูนางมาแล้วเหรอ มาๆ นั่งตรงนี้เลยจ้ะ” มองผ่านลูกชายคนกลางแล้วเข้ามาจับมือร่างบางไปนั่งยังที่ว่างข้างผู้ชายตัวสูงใหญ่ ซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัววิเศษกุลชา
นับอนันต์ที่เดินตามก็ทำได้เพียงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ ยอมในความอยากขายลูกคนโตอย่างเจ้าเวหา วิเศษกุลชาที่ตอนนี้อายุ 31 ปีแต่ก็ยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนสักที เอาแต่ทำงานจนแม่ที่อยากอุ้มหลานต้องหาผู้หญิงมาให้เลือก
ซึ่งส่วนใหญ่ก็โดนปฏิเสธ ทว่าไม่มีทีท่าว่าคุณชมนาด วิเศษกุลชาจะยอมแพ้ ยังคงอยากได้สะใภ้ใหญ่ของบ้าน และเหมือนชินานางจะถูกตาต้องใจท่าน ถึงขนาดชวนมารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน
“แม่เอาอีกแล้วเหรอ” เลี่ยงมานั่งข้างน้องสาวของตน แล้วกระซิบถามเสียงเบา
“อือ ไปตลาดตอนเช้าซื้ออาหารทะเลเยอะแยะ แต่หาข้ออ้างบอกพี่ว่าซื้อมาจากเพื่อน เพื่อนที่ไหนล่ะแม่ค้าในตลาดนั่นแหละ พี่ก็ทำเป็นไม่รู้แล้วกันนะ” น้องสาวตัวแสบบอกหน้าตาย เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเออออไปตามน้ำ
บ้านหลังใหญ่ที่ดูอบอุ่นทำให้หญิงสาวเผลอมอง หล่อนชอบบ้านสไตล์โมเดิร์นสีขาวดูเรียบหรู ยังไม่ได้เข้าไปชมข้างในก็ได้มานั่งที่สวนข้างบ้าน เพราะอาหารเย็นถูกจัดขึ้นที่นี่พร้อมเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ โดยมีคุณพ่อทำหน้าที่ย่างกุ้งแล้วนำมาเสิร์ฟ
“เยอะแล้วนะแม่ เดี๋ยวกินไม่ทัน” ประมุขของบ้านอย่างคุณนิรุธ วิเศษกุลชาต้องเอ่ยปาก มีอย่างที่ไหนให้ท่านย่างกุ้ง ปลาหมึก บาร์บีคิวคนเดียวเป็นชั่วโมง พอลูกชายจะมาช่วยก็โดนสายตาดุจึงต้องล่าถอยกลับมานั่งที่เดิม
แขกหน้าใหม่มองสวนที่ร่มรื่น เหมือนว่าจุดนี้จะทำเพื่อให้เป็นลานพักผ่อนของครอบครัว ทั้งทำอาหาร เล่นกีฬาหรือมาอ่านหนังสือก็ได้ ต้นไม้ก็ไม่ได้ดูเยอะจนรกตา เพราะถูกตัดแต่งจนสวยงาม
“พ่อนั่งลงสิ กินกันเลยนะลูกๆ หนูนางกินเยอะๆ นะ ตาจ้าวแกะกุ้งให้น้องหน่อยสิ อุ้ยแม่ยังไม่ได้แนะนำน้องให้ลูกรู้จักเลย” กลายเป็นคุณแม่ที่พูดเองเออเองคนเดียว
“นี่หนูนางผู้จัดการของน้องชายลูก หนูนางจ๊ะ นี่พี่จ้าวลูกชายคนโตของแม่ที่พูดให้หนูฟังวันนั้นไง รู้จักกันไว้นะจ๊ะ” แนะนำเสร็จสรรพไม่ถึงหนึ่งนาที ชินานางจึงหันมาค้อมศีรษะให้คนข้างกาย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเพราะเหมือนเธอถูกจัดแจงทุกอย่าง
หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกจึงหันไปมองเจ้านายที่นั่งเยื้องกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่งสายตาขอให้เขาช่วยเหลือหน่อยเพราะรับมือกับคุณชมนาดไม่ได้
และเหมือนว่านับอนันต์จะรับรู้ถึงสารนั้น เขาจึงหยิบกุ้งมากินอย่างเอร็ดอร่อย จนร่างบางเผลอทำปากยื่นแสดงกิริยาเหมือนกำลังงอน เล่นเอาดาราหนุ่มหลุดยิ้ม
ซึ่งทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของครอบครัววิเศษกุลชาแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคน
“แม่ครับ นางมีแฟนแล้ว” ทุกคนตกใจหันมามองคนพูดเป็นตาเดียว ไม่เว้นกระทั่งชินานางเองก็ตาม หล่อนเบิกตากว้างไม่รู้ว่าตนไปมีแฟนตอนไหน
“คะ” เผลอส่งเสียงสงสัยจนคุณแม่หันมามอง
“จริงเหรอลูก” คุณชมนาดไม่อยากเชื่อ จึงต้องถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ เล่นเอาเธอคิดหนักเพราะไม่อยากโกหก จึงตัดสินใจจะบอกเรื่องจริงแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่เขาเป็นคนเริ่ม
“อ้อ ค่ะ มีคนที่ชอบแล้ว” หล่อนไม่ได้โกหกสักหน่อย เพราะตนมีคนที่ชอบจริงๆ
น้องสาวคนเดียวของบ้านแอบอมยิ้ม เธอเหล่มองพี่ชายคนกลางที่นั่งข้างช่อบุษบา วิเศษกุลชา นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ห้ารับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
“พี่นับไม่ชวนพี่เพลินมาด้วยล่ะ” ไม่เห็นพี่ชายคุยเรื่องแฟนให้ฟังนานแล้ว เธอจึงถามกลางวงเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน สงสารชินานางที่โดนมารดาพยายามใช้ลูกล่อลูกชนจับมาเป็นสะใภ้ และอีกอย่างพี่ชายคนโตก็ไม่เต็มใจด้วย มองหน้าก็รู้ว่ากระอักกระอวนมากแค่ไหน
“เลิกกันแล้ว” ประโยคนั้นทำให้ทุกคนในที่นี่เงียบ ชินานางทำได้เพียงหยิบกุ้งมากินไม่เอ่ยอะไรเพราะเธออยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่อยากพูดมาก
“หือ เลิกกันแล้วเหรอ” ช่อบุษบาแทบไม่เชื่อหู เหมือนพี่ชายของตนจะรักแฟนมากถึงขนาดประกาศให้ทุกคนทราบ สูญเสียแฟนคลับไปส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้ แต่มาวันนี้ดันเลิกกันซะอย่างนั้น
คุณชมนาดทำหน้าสลดแต่ก็พยายามเรียกความสดใสกลับมา รีบยื่นกุ้งแล้วก็หาอาหารที่วางเต็มโต๊ะเพื่อยื่นไปตรงหน้าบุตรคนกลาง
“นับลูก กินเยอะๆ นะ เดี๋ยวแม่แกะกุ้งให้ พ่อก็เอาบาร์บีคิวให้ลูกหน่อยสิ กินอยู่นั้นแหละอ้วนลงพุงหมดแล้ว” กลายเป็นคุณนิรุธโดนภรรยาดุซะอย่างนั้น ท่านมองคนรักตาปริบไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นสนามอารมณ์ไปเสียได้
“อ้าวแม่ พ่อก็หิวเหมือนกันนะ” ว่าเสียงเง้างอน คนที่เหลือก็แอบอมยิ้มเอ็นดู ถึงจะทะเลาะกันบ่อยแต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ใหญ่โตถึงขั้นต้องเลิกรา อีกอย่างบิดาก็เป็นฝ่ายยอมตลอด
“แบ่งลูก เร็ว” ส่งสายตาดุจนต้องยอมทำตาม หยิบบาร์บีคิวให้ลูกชายจานใหญ่
“อ่ะๆ ตานับ กินเยอะๆ กินแทนพ่อด้วยล่ะ” นับอนันต์หลุดเสียงหัวเราะ แล้วหยิบมากินอย่างเอร็ดอร่อยทำตามที่พ่อบอก
ชินานางมองครอบครัววิเศษกุลชาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป เธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ทุกคนมีให้แก่กัน ถึงคุณชมนาดจะชอบดุสามีแต่ก็เป็นห่วง ปากไม่อยากให้กินเยอะทว่าแกะกุ้งให้คุณนิรุธไม่หยุด วางจนพูนจานแล้ว
“อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่ไปทำให้พิเศษเลย” เชฟดังการันตีด้วยแชมป์จากรายการทำอาหารรีบเอ่ย เขาเป็นห่วงน้องชายเมื่อรู้ว่าอกหัก แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ แค่อยู่บนโต๊ะก็ไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า
หลังจากนั้นทุกคนก็พยายามสร้างบรรยากาศให้ดี ชวนคุยเรื่องอื่นที่สร้างสรรค์ คุณชมนาดลืมนึกไปเสียสนิทว่าอยากได้ลูกสะใภ้ เพราะท่านถือคติไม่บังคับใจใคร แต่ถ้ามีโอกาสก็ต้องขอสักหน่อยเถอะ
“แสดงว่าเราก็อายุเท่ากันน่ะสิ” รับประทานอาหารเสร็จ สองสาวก็ช่วยกันเก็บจานทั้งที่มีแม่บ้านคอยบริการ ทว่าอยากช่วยแบ่งเบาภาระเพราะของก็ไม่ได้น้อยเลย
“น่าจะใช่นะ” บอกพ.ศ.เกิดก็คิดว่าน่าจะอายุไล่เลี่ยกัน
“ถ้างั้นเราขอเบอร์นางหน่อยนะ เผื่อจะได้ติดต่อกัน” ช่อบุษบามองตาปริบพลางฉีกยิ้มกว้าง เธอเข้ากับคนอื่นได้ง่ายตามนิสัย และค่อนข้างเป็นมิตร คุยด้วยไม่กี่ครั้งก็สนิทใจแล้ว
“อือ” แลกเบอร์โทรศัพท์เรียบร้อยก่อนจะไปนั่งที่ห้องเล่นเกมของครอบครัว ซึ่งมีทั้งเกมตู้ เกมกดและเกมเต้นที่เชื่อมกับโทรทัศน์ ทุกคนไปรวมตัวเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะเคล้าคลอจนนับอนันต์ลืมความโศกเศร้า
ชินานางเห็นเช่นนั้นก็พอเบาใจได้บ้าง เธอมองเขาอยู่พักใหญ่เหมือนจะละสายตาไม่ได้ ยามยิ้มชายหนุ่มมีเสน่ห์มาก คล้ายมีแสงส่องประกายออกจากร่าง
หรือเธอตาฝาดไป...
ช่อบุษบาเฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากที่ไม่มั่นใจก็เริ่มมั่นใจเสียแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงแอบยิ้มลำพัง รอให้ทุกอย่างมันชัดเจนดีกว่า
ไม่แน่เธออาจจะได้พี่สะใภ้คนใหม่เร็วๆ นี้ก็เป็นได้