๕ ในวันที่เศร้าก็ยังมีเธออยู่เคียงข้าง (๑)
๕
ในวันที่เศร้าก็ยังมีเธออยู่เคียงข้าง
อาการของเขาหายเป็นปกติจึงได้ออกจากโรงพยาบาลในเช้าวันถัดมา ชายหนุ่มเลยไม่ต้องเลื่อนงานช่วงบ่าย ทำทุกอย่างเหมือนเดิมและยังลงภาพบอกแฟนคลับว่าตนเองสบายดี หลังมีข่าวออกใหญ่โตเรื่องที่ดาราหนุ่มหล่อป่วยเข้าโรงพยาบาล
“แล้วไม่คิดจะมาดูกันเลยเหรอ เราไม่สบายเธอกลับไม่แม้แต่จะโทรถามสักสาย” ชินานางนั่งตัวลีบอยู่เบาะข้างเจ้านาย หลังทำงานเสร็จต้องไปส่งเขากลับคอนโดมิเนียม
แต่ระหว่างทางก็มีสายเข้าจากแฟนสาวอย่างเพลินพลิน ร่างหนากดรับแล้วพูดคุยครู่หนึ่ง ตอบงึมงำในลำคอจนปลายสายเอ่ยอะไรไม่ทราบเขาถึงอารมณ์ขึ้น เผลอตะคอกเสียงดังทำเอาร่างบางตกใจไปด้วย
‘เราไม่ใช่หมอสักหน่อย ไปหาแล้วจะรักษาได้หรือไง อีกอย่างงานเราก็เยอะไม่มีเวลาหรอก’ แค่ฟังก็ต้องกำมือเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือปลงกับเรื่องนี้
รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเพลินพลินมาสักพักแล้ว นอกจากไม่มาหา ข้อความก็แทบไม่อ่านด้วยซ้ำ หล่อนยังอ้างเรื่องงานทั้งที่ความจริงถ้าจะหาเวลาว่างมันก็สามารถทำได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเอาเวลาเหล่านั้นไปอยู่กับคนอื่น
นับอนันต์ไม่อยากใส่ร้ายหรือคิดมาก เขาไม่ชอบลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคนรัก ถึงจะคบกันแต่ก็ควรมีช่องว่างให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มทำเช่นนั้นมาโดยตลอดคือการเชื่อใจ
ทว่าคราวนี้เริ่มหวั่นใจเสียแล้วว่าการเมินเฉยอาจเป็นภัยมาถึงตัว ความรักที่จืดจางมันเพราะการหมดใจหรือนอกใจกันแน่
“เข้าใจแล้ว แค่นี้แหละ” วางสายแล้วถอนหายใจเสียงดัง ยิ่งทำให้บรรยากาศบนรถกระอักกระอวนมากกว่าเดิมอีก เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าหายใจไม่สะดวกจนต้องหันไปมองอารมณ์คนข้างกายช้าๆ
ใบหน้าที่เคยนิ่งเป็นนิจก็ยิ่งขรึมมากกว่าเดิมจนไม่กล้าชวนสนทนา จึงนั่งเงียบอย่างนั้นจนถึงคอนโดมิเนียมของเขา
ส่งชายหนุ่มเรียบร้อยก็กลับมานั่งบนรถพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่วายถามลุงคนขับรถที่ทำงานกับนับอนันต์มาหลายปีจนเป็นคนคุ้นเคย เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนอีกฝ่ายเริ่มชิน ยามอยู่บนรถถ้าไม่อ่านบทก็นอน
คุณลุงเล่าเรื่องของชายหนุ่มให้เธอฟังระหว่างไปส่งหญิงสาวกลับหอพัก ซึ่งเธอก็ฟังอย่างตั้งใจเหมือนอยากซึมซับเรื่องของเจ้านาย
“คุณนับแกเป็นคนดีนะ ให้ทิปให้ขนมลุงตลอด เผื่อไปถึงครอบครัวของลุงด้วย ตอนนี้ลูกสาวหลานสาวลุงเป็นแฟนคลับแกหมดเลย” ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เห็นวัยรุ่นก็ชอบชายหนุ่มหลายคน ไม่สนใจเรื่องแฟนหรือเอามาใส่ใจ ยังคงซัพพอร์ตนับอนันต์เสมอ
“โชคดีแล้วที่หนูมาทำงานกับคุณนับ ถ้าเป็นคนอื่นนะ..ไม่ไหวหรอก” เธอก็พยักหน้าตาม พลางคิดว่าถ้าครบกำหนดก็คงไม่ทำหน้าที่ผู้จัดการดาราให้ใครอีกแล้วล่ะ
แค่นับอนันต์คนเดียวชีวิตของหล่อนก็รวนไปหมด นอนไม่เป็นเวลาเหมือนจะเสียสุขภาพด้วย ยิ่งนับถือคนที่ทำงานวงการบันเทิงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมาได้นาน เสียสุขภาพไปเท่าไหร่เพื่อแลกกับเงิน ไม่รู้ว่าจะคุ้มเหนื่อยหรือเปล่า
ลงจากรถก็เข้าห้องพัก อยากเอนกายลงเบาะนุ่มจะแย่อยู่แล้ว พอไปกองละครเห็นคนอื่นทำงานก็อยากเขียนบท ทั้งที่ได้ทำงานตามความฝันแต่ก็ต้องหยุดชะงักกลางคันเพื่อมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว หวังใช้โอกาสนี้เข้าใกล้พงพนามากกว่าเดิม
แต่ลืมคิดไปว่าเขาเองก็มีหน้าที่ประจำ และแทบไม่ได้มาหานับอนันต์เลยสักครั้ง ทำงานมาสองสัปดาห์หล่อนเจอหน้ารุ่นพี่แค่ครั้งเดียว
“เฮ้อ คิดผิดจริงๆ เลย” ถอนหายใจพลางนั่งลงบนโซฟาเมื่อเข้ามาในห้อง หล่อนเหม่อมองโทรทัศน์ที่เป็นหน้าจอสีดำ
แล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงโทรศัพท์ปลุกจากภวังค์ รีบควานหาอยู่ในกระเป๋าสะพายจนเจอแล้วกดรับรวดเร็วเพราะปลายสายคือคนที่ตนคิดถึง
“สวัสดีค่ะพี่ต่อ” ไม่รู้ว่าแค่คุยโทรศัพท์เธอจะตื่นเต้นจนต้องเอาผมทัดหู ยืดกายนั่งตัวตรงทำไม เขาไม่ได้อยู่ตรงหน้าสักหน่อย
‘นางว่างไหม สะดวกคุยหรือเปล่า’
“สะดวกค่ะ! เอ่อ สะดวกค่ะพี่ต่อ นางไม่มีอะไรทำพอดี” เผลอเสียงดังจนต้องลดระดับเสียงลงให้เป็นปกติ กลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเธอดีใจมากแค่ไหน ยิ้มแก้มปริรีบเปิดโอกาสให้เขา มาถึงขั้นนี้แล้วพงพนาจะต้องชวนไปไหนแน่เลย
‘นางยังมีไฟล์วิชาการเขียนเชิงวารสารไหม’
คำถามนั้น..หล่อนไม่คาดคิดมาก่อนเลยจึงตอบแบบมึนงง
“มีค่ะ”
‘ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากนางส่งไฟล์ให้เปิ้ลได้หรือเปล่า น้องรหัสนางน่ะเขาทักมาขอแต่พี่ไม่มีไฟล์ ยังไงรบกวนด้วยนะ’ ชินานางอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะตอบรับเสียงแผ่วไร้ซึ่งความตื่นเต้นแล้วค่อยวางสายเพราะพงพนามีธุระต้องไปทำ
ดวงตากลมเหม่อลอยหนักกว่าเดิมอีก บางครั้งก็แอบคิดว่าหรือเธอมีค่าแค่ตอนเขาต้องการอะไรบางอย่าง
พี่ต่อเห็นเธอเป็นของตายเหรอ...
“บ้าน่ายัยนาง คิดมากไปได้” ส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองแล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเข้านอน พรุ่งนี้ต้องรีบไปทำงานแต่เช้าเพราะนับอนันต์มีถ่ายฉากแรก กว่าจะจบก็คงเข้าวันใหม่พอดี
ชีวิตวนลูปอยู่แบบนี้ไม่ได้ไปไหน หล่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าอยากกลับไปเขียนบทงานที่รักแล้ว ยังคงถามไถ่พี่ที่ทำงานว่าเขียนไปถึงไหน ถ้ามีเรื่องหน้าตนจะขอกลับเข้ามาร่วมทำงานด้วยได้ไหม ซึ่งทุกคนก็พร้อมต้อนรับ
เธอจึงได้แต่หวังให้ชีวิตการเป็นผู้จัดการของดาราหนุ่มหมดลงสักที ทว่าอีกใจหนึ่งก็รู้สึกหวิวเพียงแค่จินตนาการจะไม่ได้ดูแลชายหนุ่ม เหมือนมันเป็นความเคยชินไปแล้ว
ถ้าต้องจบงานจริงๆ เธอจะยังติดต่อกับเขาได้หรือเปล่านะ หรือนับอนันต์จะเห็นหล่อนเป็นเพียงแค่คนที่เข้ามาช่วงเวลาหนึ่ง...
และสามารถลืมได้อย่างง่ายดาย
วันต่อมาหญิงสาวต้องไปรับชุดสูทสำหรับใส่ออกงานประกาศรางวัลที่ร้านตัดสูทของคุณผู้ชาย ร้านค่อนข้างเก่าแก่และชายหนุ่มถือเป็นลูกค้าประจำ อุดหนุนตั้งแต่รุ่นพ่อส่งต่อมาถึงรุ่นลูก เธอเข้าไปในร้านก็แจ้งตามที่เจ้านายบอก
ไม่นานก็รับชุดกลับไปให้เขาที่คอนโดมิเนียม หญิงสาวขึ้นไปชั้นบนได้เป็นปกติเพราะชายหนุ่มแจ้งทางนิติและให้คีย์การ์ดไว้แล้ว เธอจึงฮัมเพลงมีความสุขไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างแต่อย่างใด กระทั่งมาถึงหน้าห้องของนับอนันต์
ยังไม่ทันเคาะประตูห้องก็สะดุ้งด้วยความตกใจเพราะประตูมันเปิดออกมาเอง หล่อนเห็นเพลินพลินที่ทำหน้าบึ้ง และนับอนันต์ตามมาจับแขนหล่อนเอาไว้ ยื้อยุดกันอยู่สักพัก
“จะเลิกจริงเหรอ” ประโยคนั้นทำให้มวลรอบกายถูกกดต่ำจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ชินานางก่นด่าตนเองในใจว่าทำไมไม่ขึ้นมาให้ช้ากว่านี้หน่อย การเป็นบุคคลที่สามในสถานการณ์คู่รักบอกเลิกมันไม่ดีเลย
“ใช่ เราเลิกกันเถอะ” ร่างบางไม่รู้จะหลบตรงไหนได้บ้าง ในเมื่อเธอยืนเป็นผู้สังเกตการณ์ระหว่างคู่รักอยู่ตรงทางเดิน หญิงสาวมองซ้ายมองขวากลัวจะมีคนผ่านมาเห็น แต่โชคดีที่ทุกอย่างยังเงียบกริบ และไม่มีแม้แต่ดวงตาสักคู่โผล่มา
นับอนันต์มองคนรักนิ่งเหมือนอยากวัดใจ รู้ว่าสักวันมันก็ต้องมาถึงเพราะความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ มาสักพักแล้ว
ไม่ใช่สิ...พักใหญ่เลยล่ะ
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ วันแรกที่เจอกับคนปัจจุบันเหมือนคนละคนกันด้วยซ้ำ ร่างสูงค่อยปล่อยแขนเธอแล้วจ้องเพลินพลินนิ่ง ทุกอย่างมันกดดันจนชินานางเองยังรู้สึกอึดอัด เธอทำตัวไม่ถูกทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับสองคนนี้เลย เป็นเพียงผู้เห็นเหตุการณ์
“ได้ เราเคารพการตัดสินใจของเธอ” นั่นคือการยอมรับความจริง ว่าต่อจากนี้พวกเขาเป็นเพียงแค่คนรู้จัก
นางแบบหน้าสวยนิ่งไปสักพัก แล้วค่อยหมุนกายเดินออกจากหน้าห้องพักของอดีตคนรัก ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่เพราะเธอมีสิ่งต้องทำอีกเยอะแยะ
“วันนี้ฉันมีงานหรือเปล่า” หันมามองผู้ช่วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาหล่อนปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทันแต่ต้องรีบบอกงานลิ้นแทบพันกัน
“มีถ่ายละครตอนสิบโมงค่ะ” ชายหนุ่มนิ่งคิดไปสักพัก
“อือ” ตอบสั้นๆ ค่อยเข้ามาในห้องโดยมีชินานางตามไม่ห่าง เธอนำชุดไปแขวนไว้ในห้องแต่งตัวแล้วรีบออกมานั่งรออยู่โซฟาที่ประจำของตนเอง
ไม่รู้ว่าควรเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ไหม แต่ดูท่าเขาจะไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่เธอจึงต้องเงียบเสียงเอาไว้ หญิงสาวนั่งรออยู่อย่างนั้นให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเพื่อจะได้ไปยังกองถ่ายละคร
เรื่องอื่นหล่อนไม่ทราบว่าเป็นแบบนี้ไหม แต่กองละครปานชีวาโลเคชั่นส่วนมากจะอยู่ในตัวเมือง ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง และอีกไม่นานก็น่าจะถ่ายทำจบแล้ว คาดว่าคงไม่เกินสองเดือน หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จะพักจากงานละครเพื่อมุ่งสู่การเป็นนักแสดงบนจอเงิน
“คุณนับให้นางช่วยต่อบทไหมคะ” ระหว่างไปกองถ่ายเธอก็อาสาทำหน้าที่เหมือนทุกวัน ทว่าคราวนี้ร่างสูงเอาแต่เหม่อมองข้างนอก ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น