๔ ผลัดกันดูแลซึ่งกันและกัน (๒)
“ค่ะ สนุกมากเลย” ฉีกยิ้มกว้างระหว่างที่พักกอง ยื่นเสื้อผ้าให้เขาไปเปลี่ยนเพื่อจะได้รับประทานอาหารเที่ยง
นับอนันต์ไม่ตอบอะไรทำเพียงหัวเราะในลำคอ เอ็นดูคนตัวเล็กที่กลายเป็นคนสดใสเพราะบรรยากาศกองพาไป แปลกที่เธออยู่คณะนิเทศศาสตร์แต่กลับทำตัวแตกต่าง ปกติเขานึกว่าคนคณะนี้เข้ากับผู้อื่นง่ายเสียอีก
แต่ชินานางต้องใช้เวลาสักพักในการทำความรู้จัก ถึงจะพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างสนิทใจ
“คุณนับเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” พอเขาเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็ออกมาข้างนอก หล่อนเห็นท่าทางเขาไม่ค่อยดีจึงรุดเข้าไปถาม
“เปล่า หิวข้าวน่ะ” ถึงจะรู้สึกไม่สบายท้องแต่ไม่อยากให้หญิงสาวตื่นตระหนกจนคนอื่นสังเกตได้ จึงสร้างคำโกหกขึ้นมา และดูเหมือนร่างบางจะเชื่ออย่างนั้นซะด้วย
“อ้อ ถ้าไม่สบายตรงไหนบอกนางได้เลยนะคะ”
“อือ” เขาพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งรับประทานอาหารกับกลุ่มนักแสดง ถึงไม่ค่อยพูดแต่เขาก็สามารถฟังคนอื่นคุยได้ พยายามไม่ทำตัวให้แปลกแยกในกองเพื่องานจะได้ราบรื่น
เขาไม่อยากให้มีข่าวว่าตนเองเป็นนักแสดงเรื่องมาก หรือเป็นบุคคลหยิ่งแห่งปีเหมือนที่เคยได้ฉายาตอนเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ
กว่าจะถ่ายทำเสร็จเขาอดทนอดกลั้นทำให้งานผ่านไปโดยเร็ว ชายหนุ่มปวดท้องจนยืนแทบไม่ไหว เข้าห้องน้ำหลายรอบจนน่าเป็นห่วง
“เลิกกองก่อนไหม นายดูท่าจะไม่ไหวแล้วนะ” ผู้กำกับเองยังเป็นห่วง แต่พระเอกหน้าหล่อก็รีบส่ายหน้า เขาอยากถ่ายให้เสร็จตามที่วางแผนไว้ ถ้าเลื่อนกองก็กระทบไปหมดทุกอย่าง อาจต้องถ่ายซ่อมแล้วเช่าสถานที่ต่อ เสียเงินและเสียเวลา
ไม่อยากเป็นตัวถ่วงใคร
“ถ่ายต่อครับ ผมไหว” ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแต่ใจเกินร้อย
เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของคนในวงการบันเทิงที่ต้องรับผิดชอบต่องานตรงหน้า ถึงจะได้บทละครตัวนำไปจนถึงตัวประกอบแต่ทุกคนก็ทำสุดกำลัง
บางคนเสียสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต ต้องเข้าพบจิตแพทย์ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว การเอาตัวเองไปสวมบทบาทเป็นคนอื่น จนบางทีก็ดึงคาแรคเตอร์ไม่ออก ต้องนั่งปรับอารมณ์หลายนาทีหรือเป็นชั่วโมงถ้าอินมาก
“คัท โอเคแล้วเลิกกองเลย” สิ้นเสียงคัทเหมือนวิญญาณของร่างหนาถูกกระชากออกจากกายหยาบ เขาแทบทรุดลงกับพื้นแต่ก็กัดฟันเดินมาหาชินานางที่ยืนรอด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้นางเอาเสื้อผ้ามาคืนนะคะ” บอกพี่สไตลิสประจำกองละคร ตอนนี้เขายืนจะไม่ไหวอยู่แล้วจนหญิงสาวต้องประคองไปขึ้นรถ
ใบหน้าคมมีเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม เขากำมือแน่นแล้วขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน ปวดท้องมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามนึกว่าตนไปกินอะไรผิดสำแดงจึงมีอาการปวดเหมือนจะตายให้ได้
“ปวดท้องมากเลยเหรอคะ” มือหนากุมไว้ที่หน้าท้องตลอดเวลา
“อือ” มันปวดจนพูดไม่ออก หล่อนจึงให้กำลังใจแล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาซับเหงื่อให้เขา แววตากลมมองร่างสูงอย่างเป็นกังวล
“ทนหน่อยนะคะ นางบอกให้ออกมาก่อนก็ไม่เชื่อ คุณไม่น่าฝืนตัวเองขนาดนั้นเลย” เป็นครั้งแรกที่กล้าบ่นเขาต่อหน้า เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มตอบโต้ไม่ได้ แค่ลืมตายังลำบากเลยเวลานี้
รถจอดหน้าโรงพยาบาลเอกชน พวกเขาตัดสินใจขึ้นฉุกเฉินไม่นานนักแสดงหนุ่มก็นอนบนเปลและถูกเข็นเข้าไปตรวจอาการเบื้องต้น
โชคดีที่คนไม่ค่อยเยอะ มีผู้ป่วยและบาดเจ็บแค่สี่ถึงห้าราย ญาติที่มาเฝ้าก็หกเจ็ดคนเท่านั้น ชายหนุ่มจึงไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไหร่
“หมอคะ เขาเป็นยังไงบ้างคะ” นั่งรอข้างนอกใจจดจ่อ เธออยากรู้อาการเขาจะแย่ว่าชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง ดีที่พรุ่งนี้ไม่มีงานจึงพอเบาใจได้บ้าง ถ้าต้องถ่ายละครคิดว่านับอนันต์อาจถอดน้ำเกลือแล้วไปกองถ่ายก็ได้
ยิ่งเป็นคนขยันมากกว่าคนทั่วไปด้วย
“ตรวจอาการเบื้องต้นคิดว่าน่าจะอาหารเป็นพิษ คงต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้งครับ รบกวนญาติไปกรอกประวัติของคนป่วยกับคุณพยาบาลด้วยนะครับ” ค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณแล้วเดินไปกรอกประวัติ
โชคดีที่โทรไปถามพี่มณจึงได้ข้อมูลของชายหนุ่มมากรอกเอกสารจนครบถ้วน เธอรบกวนคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกได้ห้าวันต้องขอโทษขอโพยยกใหญ่ แต่ภิรมณกลับบอกว่าอยากมาเยี่ยมชายหนุ่ม เสียดายไม่มีคนดูแลลูกน้อย จึงไม่อาจมาได้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็กลับมานั่งรอที่เดิม เวลาผ่านไปพักใหญ่ คุณหมอจึงเดินออกมาเพื่อแจ้งอาการของดาราดังให้ทราบ
เป็นอย่างที่คิดคืออาหารเป็นพิษ เขาต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการและให้น้ำเกลือ คนป่วยถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินไปที่ห้องผู้ป่วย VIP ซึ่งอยู่อีกอาคาร
หล่อนบอกคนรถให้กลับก่อนถ้าชายหนุ่มได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่จะโทรเรียก รีบเดินตามบุรุษพยาบาลเพื่อไปยังห้องพักของเขา
“สวัสดีค่ะ” ระหว่างทางก็มีเบอร์แปลกโทรมา หล่อนจึงรีบรับสาย
‘ฮัลโหลช่อนะคะเป็นน้องของพี่นับ ตอนนี้ช่อกำลังจะไปที่โรงพยาบาล พี่นับรักษาตัวอยู่ห้องไหนคะ’ สงสัยภิรมณเป็นคนโทรบอกครอบครัวของชายหนุ่ม
เธอจึงรีบบอกหมายเลขห้องเพราะมาถึงพอดี พร้อมอธิบายทางเข้าอย่างละเอียดค่อยวางสาย ชินานางเข้าไปข้างในพร้อมกล่าวขอบคุณบุรุษพยาบาล
“ช่วยเข็นสาย น้ำเกลือหน่อย” เสียงเข้มขาดห้วง แทบจะไม่มีแรงลุกแต่ต้องเปลี่ยนชุดเป็นของโรงพยาบาล เพื่อให้เธอนำชุดที่เขาสวมไปส่งซักเพื่อคืนทางกองถ่ายละคร ถ้าเสื้อผ้าไม่ครบมีหวังได้จ่ายเงินบานแน่
“ค่ะ” ค่อยประคองเขาลุกนั่งแล้วพาชายหนุ่มไปห้องน้ำ
“เอาเสื้อผ้า ที่วางอยู่หัวเตียง” อ่อนแรงจนต้องนั่งลงบนโถส้วม อยู่กองละครก็ถ่ายบ่อยแล้ว มาโรงพยาบาลก็ต้องถ่ายเพื่อเอาอุจจาระให้คุณหมอตรวจดูสาเหตุว่าเขาเป็นอะไร จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง
พอเข้ามาในห้องน้ำเธอก็ต้องช่วยเขาถอดเสื้อเพราะแขนติดสายน้ำเกลือ หากให้ทำคนเดียวคงไม่รอด
ชินานางพยายามข่มใจเอาไว้สุดขีดไม่ให้เผลอตื่นเต้น ทว่าหัวใจก็ไม่ทำตามคำสั่ง มันเต้นดังจนหล่อนกลัวว่าเขาจะได้ยิน เสื้อเชิ้ตและเสื้อกล้ามถูกถอดออก ทำให้เห็นแผงอกหนาและหน้าท้องลอนที่เจ้าของร่างช่างปั้นแต่งออกมาอย่างสวยงาม
แทบหยุดหายใจยามเผลอมอง ผิวของนับอนันต์เรียบเนียนอย่างคนดูแลตนเองดี ก่อนเธอจะรีบสวมเสื้อของโรงพยาบาลให้เขาด้วยเวลาอันรวดเร็ว
“เดี๋ยวนางรอข้างนอกนะคะ” พยักหน้าเข้าใจ เวลานี้เขาเหนื่อยจนอยากล้มตัวลงนอนจะแย่อยู่แล้ว
พอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็เปิดประตู หญิงสาวได้ยินก็รีบเข้าไปช่วยเข็นเสาน้ำเกลือ พาร่างสูงไปที่เตียงแล้วช่วยจับคนอ่อนแรง ประคองนั่งบนเตียงอย่างระมัดระวัง
“ฉันไม่ได้ท้อง ไม่ต้องเบามือก็ได้” หลุดหัวเราะกับท่าทีของหล่อน
ทำราวกับเขาเป็นคนอ่อนแอนักหนา ต้องคอยประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน จนชายหนุ่มนอนลงบนเตียงของโรงพยาบาล
“ดีขึ้นหรือยังคะ” ใบหน้าคมเริ่มมีสีเลือด ต่างจากตอนอยู่กองถ่ายที่ซีดจนเหมือนคนจะเป็นลมตลอดเวลา หล่อนลุ้นเหลือเกินว่าเขาจะล้มเมื่อไหร่แต่ชายหนุ่มก็สปิริทดีมากถ่ายจนจบแล้วค่อยมาโรงพยาบาล
ถ้าเป็นเธอคงยกเลิกการถ่ายทำแล้วเข้าสถานพยาบาลทันที
“อือ ดีกว่าอยู่กองถ่าย หมอฉีดยาให้แล้ว” รู้สึกดีขึ้นมาก ยาได้ผลรวดเร็วจนเขาทึ่ง
“คราวหน้านางจะระวังเรื่องอาหารค่ะ” รู้สึกผิดกับเขาที่เป็นสาเหตุให้ชายหนุ่มต้องมานอนอยู่ที่นี่ หล่อนไม่ได้ตรวจตราเรื่องอาหารให้ดี ตอนเช้ายังไม่เป็นอะไรแต่พอตกเย็นกลับไม่สบายเสียอย่างนั้น
ใบหน้าหวานเศร้าลงจนคนป่วยถอนหายใจ เขาไม่อยากให้เธอโทษตัวเองเพราะหญิงสาวไม่ใช่คนผิดสักนิด
เป็นเขามากกว่าที่กินตามใจปาก
“ไม่ต้องหรอก มันเป็นคราวซวยของฉันมากกว่า นึกดูก็ยังไม่รู้เลยว่ากินอะไรผิดถึงท้องเสีย” ไม่ทันได้ตอบกลับประตูห้องก็ถูกเปิดเสียก่อน พอเขาเหลือบมองก็เห็นน้องสาวที่ปล่อยโฮมาแต่ไกลแล้วเกาะขอบเตียงพี่ชาย
“พี่นับ ช่อขอโทษที่เคยเกเรกับพี่ ช่อขอโทษที่เคยขโมยเงินในกระปุกออมสินของพี่ พี่อย่าเป็นอะไรเลยนะ ต่อจากนี้ช่อจะกรวด.. โอ๊ย เจ็บนะพี่นับ เขกหัวน้องสาวแบบนี้ได้ไง” เธอแสร้งร้องไห้แล้วจับมือพี่ชายเอาไว้
ร่ายยาวจนคนฟังหมั่นไส้เลยเขกศีรษะไปทีหนึ่งแต่ไม่แรงมากนัก คนน้องทำหน้าบึ้งแล้วรีบลุกพลางจับหัวตัวเอง ดวงตากล่าวโทษคนป่วยไปเรียบร้อยแล้ว
“เรานี่นะ พี่เขาไม่สบายยังไปกวนอีก น่าตีจริงเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่บิดาก็เดินมาคล้องคอลูกสาวเพียงคนเดียว เป็นดวงใจของคนทั้งบ้าน
ชินานางเห็นอย่างนั้นก็ปลีกตัวออกห่างเพื่อให้ครอบครัวได้พูดคุยกัน เธอบอกอาการของเขาคร่าวๆ แล้วว่าไม่น่าเป็นห่วงมากทุกคนถึงได้เบาใจ เหลือบไปเห็นกระเป๋าที่คุณพ่อถือมาด้วยคาดว่าคงคิดจะมานอนเฝ้าลูกชาย
“เป็นยังไงบ้างนับ ดีขึ้นหรือยัง” คุณแม่ถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้ากังวลเข้าไปลูบหัวลูกชายคนรอง
“ดีแล้วครับแม่ แต่ก็ยังเพลียๆ” มองหน้ามารดาแล้วบอกเพื่อให้ท่านคลายกังวล เขาเองก็ไม่คิดว่าตนจะเป็นหนักขั้นนี้ ไม่ได้ท้องเสียบ่อย ล่าสุดก็เมื่อสี่ห้าปีที่แล้วจำได้ว่าทรมานไม่ต่างกัน หลังจากนั้นเขาจึงเลือกกินเป็นพิเศษ
แต่ครั้งนี้สงสัยเหมือนกันว่าอาหารอะไรทำให้ท้องเสีย
“นอนพักนะ เดี๋ยวคืนนี้แม่ให้พ่อนอนเฝ้าเราเอง” เหลือบสายตาไปมองพ่อที่ยืนข้างลูกสาวคนโปรด ท่านถือกระเป๋าเอาไว้จนเขาหลุดยิ้ม เหมือนคนโดนไล่ออกจากบ้านเลย นอนแค่คืนเดียวกระเป๋าจะใหญ่อะไรเบอร์นั้น
“แม่ไม่นอนด้วยเหรอครับ”
“ไม่เอาหรอก แม่เบื่อขี้หน้าพ่อแกนี่ก็ว่าจะไล่ให้ไปนอนข้างนอกพอดี” ได้ทีก็เอาใหญ่ กอดอกพลางฟ้องลูกชายจนคนเป็นสามีต้องขัด
“โธ่แม่”
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอครับ” เป็นเรื่องปกติของครอบครัวที่เห็นสามีภรรยาทะเลาะกัน แต่ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย พ่อเกรงใจแม่จะตายท่านก็ทำได้แค่บ่น
“พ่อแกนั่นแหละเป็นคนผิด” หันมามองสามีตาขวาง เล่นเอาคนโดนกล่าวหาต้องขอแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน
“พ่อจะผิดได้ยังไง ก็แม่ออกแบบอาคารทรงกลมมาไม่รู้เหรอว่ามันทำยาก พวกสถาปนิกชอบคิดนอกกรอบไม่ดูเลยว่าการทำโครงสร้างมันยากแค่ไหน งบก็มีจำกัดแถมยังต้องเร่งอีก..” ท้ายประโยคกล่าวเสียงอ่อย
พ่อของเขาทำงานเป็นวิศวกร ส่วนแม่เป็นสถาปนิก สองอาชีพที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันทำงานแต่ก็ปะทะฝีปากด้วยความต่างของสายอาชีพ ฝั่งหนึ่งฟุ้งเฟ้อด้วยจินตนาการ อีกฝั่งก็เต็มไปด้วยทฤษฎี พวกเขาจึงเหมือนไม้เบื่อไม้เมา
แต่ก็แปลกที่รักกันมาได้หลายสิบปีจนมีลูกสามคนเป็นพยานรัก และไม่มีทีท่าว่าจะเลิก คงได้อยู่ทะเลาะกันไปอีกหลายสิบปี
“ยังไม่หยุดใช่ไหม..”
“พ่อครับแม่ครับ” รีบห้ามเมื่อเห็นชินานางทำหน้าเหลอหลา ทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังหญิงสาวเพิ่งคิดออกว่าลืมผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ของนับอนันต์
“หนูนางผู้ช่วยคนใหม่ของนับใช่ไหมจ๊ะ” เพิ่งเห็นหน้าตาเป็นครั้งแรก จัดว่าน่ารักน่าชังเลยล่ะ คุณแม่จึงเดินเข้าไปจับมือและทักทายอย่างคนกันเอง
“ค่ะ” ตอบรับพลางยิ้มให้ท่าน
รู้แล้วว่านับอนันต์หล่อได้ใคร แม่ก็หน้าตาสะสวย พ่อยังหล่อเหลาถึงจะอายุมากแล้ว มองน้องสาวก็สวยหวาน หน้าตาดีกันทั้งบ้านจริงๆ
“หน้าตาน่ารักเชียว เป็นลูกเต้าเหล่าใครจ๊ะ อายุเท่าไหร่มีแฟนหรือยัง สนใจลูกชายคนโตของแม่ไหม” ร่ายยาวจนหล่อนตั้งตัวไม่ทัน
แถมด้วยการจะแนะนำลูกชายคนโตให้รู้จักอีก หญิงสาวไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงเหลือบมองเจ้านายเพื่อขอความช่วยเหลือ
“แม่ครับ” เขาต้องขัดท่าน ไม่ว่าเจอใครก็จะแนะนำพี่ชายท่าเดียว
สงสัยคงอยากได้หลานคนแรกแล้ว แต่ทั้งครอบครัวไม่มีใครจะทำให้แม่สมหวังได้สักที...