บทย่อ
ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอะไร ทำให้ 'ชินานาง' กลับมาพบพ่อของลูกอีกครั้ง 'นับอนันต์' ก็อึ้งเช่นเดียวกันไม่คิดว่าจะพบหล่อนที่นี่ โดยมีข้อข้องใจอยากถามใถ่ให้กระจ่าง "เด็กที่เรียกเธอว่าหม่าม้า เป็นลูกของฉันหรือเปล่า"
บทนำ
บทนำ
กลิ่นดอกแก้วลอยตามลมมายังศาลาหลังบ้านที่ใช้เป็นจุดพักผ่อนสำหรับคนในครอบครัว หรือบางคราคุณผู้หญิงก็มักมานั่งจิบชาและพูดคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ร่มไม้ปกคลุมทั่วบริเวณทำให้รู้สึกเย็นตลอดเวลา ฟังเสียงน้ำตกขนาดเล็กที่เหมือนยกมาตั้งไว้หลังบ้านโดยเฉพาะ
ชั้นหินวางลดหลั่นมีสายน้ำคลอตลอดวันจนขึ้นเป็นตะไคร้ในบางจุด พื้นล่างมีปลาแหวกว่ายสวยงามชวนมองจนเด็กน้อยวัยสองขวบมองไม่หยุดขณะที่คนเป็นแม่ก็พยายามอธิบายถึงวงจรในการใช้ชีวิตของปลา
ร่างแบบบางอยู่ในชุดเดรสสีเข้มสำหรับใส่อยู่บ้าน ผมสวยถูกมัดเป็นมวยไม่ให้เกะกะ เคยปล่อยผมแล้วลูกชายชอบมาจับและทึ้งจนต้องเก็บรวบเอาไว้เหมือนเดิม บอกสอนหลายรอบก็เหมือนไม่ค่อยจำ แต่ดีที่พอร้องว่าเจ็บก็ยอมปล่อย แถมยังมาคลอเคลียพลางเอ่ยปากขอโทษน้ำตาคลอ
อีหรอบนี้ใครบ้างจะกล้าโกรธลง เธอจึงทำเพียงหอมแก้มนุ่มหลายครั้งสร้างเสียงหัวเราะให้แก่เด็กชายตัวแสบ
“หม่าม้า ปาน้อย มีหม่าม้าไหม” หันมาถามพลางจับที่โขดหินรอบสระจนมือเปื้อน กางเกงสีครีมที่คุณยายซื้อให้เปรอะดินไปหมด แต่จะห้ามก็ไม่ได้กลัวขัดขวางการเรียนรู้ของลูก
เด็กชายแดนดาวเหนือ ภานรินทร์ อายุสองขวบผู้ซึ่งเป็นที่รักของคนทั้งบ้าน ไม่ว่าจะหยิบจับหรือร้องขออะไรทุกคนต่างทำให้ โดยเฉพาะคุณตาที่หลงหลานชายตัวน้อยช่างพูดจนซื้อของเล่นมากองเต็มบ้านแทบไม่ค่อยได้จับ
บอกบิดาหลายครั้งว่าให้หยุดซื้อ แต่ท่านก็แก้ตัวว่าของมันกำลังลดราคา และดูท่าว่าเจ้าหนูน่าจะชอบจึงซื้อติดมือกลับมาบ้าน
คร้านจะเอ่ยจึงยอมให้ท่านทำตามใจตัวเอง ก่อนหน้านี้แทบจะตีเธอให้ตายที่ท้องไม่มีพ่อ แถมยังบอกให้ไปเอาเด็กออกอีกต่างหาก แต่พอหลานชายออกมาก็อุ้มไม่วาง ถ้าว่างก็คลุกอยู่บ้านไม่ค่อยออกไปข้างนอก แถมยังชอบอวดความฉลาดของแดนดาวเหนือให้คนอื่นฟัง
ไม่ว่าจะเป็นการเรียกตาตา ยายา หม่าม้าทั้งที่อายุยังไม่ถึงขวบครึ่งด้วยซ้ำ พูดได้ก่อนวัยซะอีกแถมยังเดินได้เร็วจนน่าทึ่ง ทำให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องอัดคลิปไปอวดลูกน้องในที่ทำงาน คุยฟุ้งได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
“มีสิครับ นั่นหม่าม้าของปลาน้อย นั่นก็น้องของปลาน้อย” ชี้ให้เห็นปลาที่ว่ายกันเป็นฝูง มีบางตัวที่ว่ายโดดออกมาเพียงลำพัง
“แย้ว แย้วมีตาตา ยายาเหมือนแดนไหม” ยกมือขึ้นทาบอกตัวเองเป็นการถาม เด็กชายชอบแสดงท่าทางประกอบทำให้คนมองยิ่งเอ็นดูมากกว่าเดิม คนเป็นแม่ยิ้มแล้วพยักหน้า เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่ออกตามไรผมให้ลูก
“มีสิ นั่นไงตาตาแล้วก็ยายา เหมือนน้องแดนเลยเนอะ” พอได้ยินอย่างนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันน้อยที่โผล่พ้นเหงือก
หล่อนเองก็ประหลาดใจที่ลูกพูดได้ค่อนข้างชัด แต่ก็มีบางคำอาจไม่คุ้นชินทำให้แปร่งไปบ้าง ทว่าโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก อาจเพราะมารดาของหล่อนคอยฝึกให้หลานพูดตรงคำ หากคำไหนไม่ได้ก็หัดจนออกเสียงใกล้เคียงมากที่สุด
ดูท่าอาจไม่ต้องส่งไปเรียนเตรียมอนุบาลด้วยซ้ำ เพราะมีคุณยายคอยบอกสอนตลอดเวลา
“น้องแดน ตาซื้อรถบังคับมาให้” เพียงแค่ได้ยินเสียงคุณตายังไม่ทันเห็นของเล่นก็รีบลุกแล้ววิ่งไปหาท่านทันที
ทำให้คนเป็นแม่ได้แต่มองตามแล้วส่ายหัวยิ้มขำกับสองตาหลาน แทบจะขาดกันไม่ได้ชอบชวนเล่นชวนคุยตลอด ช่วงนี้บิดาของหล่อนใกล้เกษียณแล้ว เคยพูดกันว่าจะทำอะไรดีไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ แต่ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าอาชีพหลังเกษียณราชการคืออะไร
พี่เลี้ยงหลานตัวน้อยไงล่ะ
“ตาตา แดนคิดถึง ตาตามากๆๆ เยยนะ” คุณตาก้มลงมาอุ้มหลานเอาไว้ ทำให้แดนดาวเหนือหอมแก้มท่านทั้งสองข้างเป็นการแสดงความรัก มีหรือที่ท่านจะไม่หลง กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิมพลางยิ้มกว้างมีความสุข
ร่างแบบบางลุกจากพื้นแล้วปัดดินที่เกาะตามชุด ค่อยเดินมาหาบิดาของตนที่หยอกล้อกับหลานชาย
“ตาก็คิดถึงแดน ไหนวันนี้กินอะไรบ้าง ขอสำรวจหน่อยซิ” พากันเดินเข้าบ้านแทบไม่สนใจลูกสาวแล้ว เธอจึงทำเพียงเดินตามมองดูลูกชายหัวเราะคิกคักยามคุณตาเล่นพุง ส่วนน้องแดนก็อ้าปากเป่าลมใส่ท่านเป็นการหยอกคืน
เสียงหัวเราะดังไปทั่วบ้านจนมารดาของหล่อนที่เตรียมอาหารเย็นต้องออกมาจากครัวเพื่อมองดูตาหลานเล่นกัน ไม่ค่อยเห็นสามีมีความสุขเท่านี้มาก่อน รอยยิ้มหายไปตามกาลเวลาจนกระทั่งได้แดนดาวเหนือมาทำให้บ้านแสนเงียบเชียบมีชีวิตชีวามากขึ้น
“พ่อเราซื้อของเล่นมาให้น้องแดนอีกแล้วเหรอ” เข้ามาคุยกับลูกสาว พวกเธอเดินเลี่ยงมาที่ห้องครัวปล่อยตาหลานอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหลังบ้าน ซึ่งติดสวนและผนังกรุด้วยกระจกทำให้มองเห็นวิวข้างนอก และยังเป็นพื้นที่สำหรับปลูกไม้ประดับมีราคาของบิดาอีกต่างหาก
ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้ใครเข้าห้องนั้น เพราะกลัวต้นไม้แสนแพงจะได้รับความเสียหาย แต่ก็ยังสามารถยกเว้นได้เมื่อน้องแดนอยากเข้าไปชม แต่คุณตาต้องคอยอุ้มและดูแลตลอดกังวลว่าหลานจะซุกซนทำต้นไม้เสียหาย
“ค่ะ หลงกันมากช่วงนี้” ยิ่งตอนหลานชายพูดคุยรู้เรื่อง ช่างเจรจาซักถามก็พูดกันทั้งวันไม่มีหยุด
“วันมะรืนลูกว่างไหม แม่ว่าจะชวนไปงานแต่งของกุ๊กไก่” พอได้ยินชื่อก็ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วค่อยร้องอ้อเพราะจำเพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกันได้
“อ้อ กุ๊กไก่ที่เคยเรียนกับนางตอนมอต้นใช่ไหมคะ” จำได้พอเลือนรางแต่คิดว่าน่าจะใช่คนเดียวกัน ถึงจะอยู่คนละกลุ่มพูดคุยกันไม่บ่อยแต่อีกฝ่ายก็น่ารักกับหล่อนตลอด เคยทำงานกลุ่มด้วยกันครั้งหนึ่งจนสามารถพูดคุยสนิทใจ
“ใช่จ้ะ แม่หนูกุ๊กก็เป็นเพื่อนแม่ เขาส่งการ์ดมาให้ไม่ไปก็น่าเกลียดแย่ ชวนพ่อเราก็ติดหลานบอกไม่ไปท่าเดียว ถ้ายังงั้นนางไปกับแม่นะ” เดี๋ยวนี้บิดาของหล่อนแทบไม่อยากออกจากบ้านไปงานที่ไม่สำคัญ นอกจากต้องลงพื้นที่ดูแลปัญหาชาวบ้าน
ถ้าเป็นงานบวชหรืองานแต่งก็ส่งภรรยาไปแทน จนเหมือนว่าท่านทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดให้คนเป็นสามี
ชินานาง ภานรินทร์พยักหน้าตอบ ก่อนจะคุยถึงเรื่องชุดที่จะสวมไปงานแต่ง มารดาได้จองร้านประจำสำหรับสั่งตัดโดยเฉพาะ จนเธอต้องรีบบอกให้ท่านเปลี่ยนเป็นเช่าดีกว่า อย่างไรก็ใส่ไม่กี่ครั้งถ้าสั่งตัดเสียดายเงินเปล่า
วันงานมาถึงสองแม่ลูกก็ออกจากบ้านช่วงหัวค่ำ ไม่ลืมกอดหอมลูกชายที่โบกมือลาพร้อมรอยยิ้มหวานขณะอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นตา ไม่มีร้องไห้งอแงสักนิดเพราะเชื่อหม่าม้าที่บอกจะรีบกลับแล้วซื้อขนมมาฝาก
ขึ้นรถตู้มายังบ้านทรงไทยหลังเก่าที่ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง บรรยากาศค่อนข้างสบายและเป็นกันเองมากกว่าจัดตามโรงแรม เชิญแขกเหรื่อไม่เยอะส่วนมากก็เป็นคนสนิทกันทั้งนั้น
เธอชอบบรรยากาศตั้งแต่เดินเข้ามาในงานแล้วมีไฟประดับสองข้างทาง กลิ่นหอมของเทียนที่จุดไว้ตามที่ต่างๆ ค่อนข้างมีระดับและให้ความสดชื่น เสียงบรรเลงดนตรีสากลคลอไปกับเสียงพูดคุยของคนมาร่วมงาน มองไปทางไหนก็มีแต่ความอบอุ่น จนเผลอคิดไปว่าถ้าแต่งงานก็อยากจัดแบบนี้เช่นกัน
ทว่าต้องพบความจริงที่ไร้ชายเคียงกาย...
“ยินดีด้วยนะกุ๊ก” เขียนอวยพรและใส่ซองที่หน้างานก็มาถ่ายรูปร่วมกับบ่าวสาว วันนี้เพื่อนเธอสวยจนจำแทบไม่ได้ สองสาวยิ้มหวานให้กันแล้วร่วมเฟรมก่อนหล่อนจะขอตัวเข้าไปในงาน
เหมือนเป็นการรวมตัวบรรดาเพื่อนสมัยมัธยมศึกษา ทุกคนทักทายหล่อนอย่างเป็นกันเองและถามเรื่องลูกชาย โดยไม่ได้ถามถึงพ่อของเด็กเพราะรู้ว่าชินานางไม่เต็มใจจะตอบ และอาจทำให้บรรยากาศกระอักกระอวน
“จริงด้วย เห็นบอกว่าวันนี้จะมีดารามางานแต่งยายกุ๊ก อิจฉาจังเลยมีคนดังมาร่วมงาน” ดื่มน้ำไปไม่กี่แก้วเพื่อนก็เอ่ยขึ้น ซึ่งเธอไม่ใส่ใจจะฟังเท่าไหร่
เมื่อก่อนชินานางเคยทำงานเบื้องหลัง เจอนักแสดงมากหน้าหลายตาจนกลายเป็นชินชาเสียแล้ว เธอจึงไม่ค่อยตื่นเต้นยามเจอคนดัง
ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ไม่อยากเจอ แต่ก็ยังวนเวียนอยู่หน้าจอทีวีไม่เลิก เขารับงานละครบ่อยกว่าเดิมจนน่าหงุดหงิด เพราะต้องเห็นใบหน้าคมผ่านจอสี่เหลี่ยมซึ่งมารดาหล่อนดูจะชอบเสียเหลือเกิน
“ใครเหรอ ดังแค่ไหน” หยิบขนมตรงหน้ามากัดขณะมองซ้ายแลขวา เธอต้องอยู่ในงานกี่ชั่วโมงกันนะ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเพื่อนดี
เพื่อนสนิทสมัยมัธยมก็ไม่มาเพราะติดงาน คนที่มาส่วนมากหล่อนก็ไม่สนิท จะพูดคุยอะไรก็ลำบากกลัวจะถูกมองในแง่อื่นโดยไม่เจตนา
“คุณนับ นับอนันต์ วิเศษกุลชา” เพียงแค่เอ่ยชื่อมือไม้เธอก็อ่อนจนต้องวางขนมลงบนจาน รีบกุมมือไว้ที่หน้าตักทันทีกลัวคนอื่นเห็นว่ามันสั่นมากแค่ไหน เม้มปากที่เริ่มแห้งแล้วเผลอหลุบตาต่ำ ภาษากายของหล่อนบ่งบอกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย
ชื่อของเขาได้ยินนับครั้งไม่ถ้วน เพราะชายหนุ่มคือดาราดาวรุ่งที่ขึ้นแท่นซุปเปอร์สตาร์แล้วในตอนนี้ ด้วยใบหน้าหล่อคม ร่างกายสูงโปร่ง การแสดงที่หาตัวจับยาก และโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ มีแฟนคลับต่างชาติมากมาย เรียกได้ว่าเป็นดาราคิวทองที่แทบไม่มีเวลาพัก
แต่กลับเลือกมางานแต่งของเพื่อนเธอ...
“เหมือนฉันจะไม่สบาย ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะ” หยิบกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะมาถือ บอกลาเพื่อนที่ทำหน้าเหลอหราไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับเร็วขนาดนี้ พากันโบกมือลาไม่ได้ถามซักไซ้ ดูแล้วเจ้าตัวคงไม่อยากเอ่ยอะไรมาก
ร่างบางเดินไปหามารดา บอกถึงอาการของตนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการโกหกเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนดาราชายคนนั้นจะเข้างาน
คุณผู้หญิงของบ้านภานรินทร์รีบบอกให้ลูกกลับ ตอนแรกก็จะกลับพร้อมกันแต่ร่างบางปฏิเสธแล้วให้ท่านสนุกกับเพื่อน ค่อยให้คนรถวนกลับมารับอีกรอบ
ตกลงกันได้แล้วจึงรีบเดินออกมาจากงาน ร่างแบบบางอยู่ในชุดเดรสสีฟ้ายาวเพียงเข่า ผมสวยดัดลอนแล้วมัดครึ่งศีรษะโดยมีมุกเม็ดเล็กประดับรอบผม ดูคล้ายนางเงือกที่แปลงกายมาท่องเที่ยวบนโลกมนุษย์
ผมสวยเคลื่อนไหวตามการก้าวเดิน เธออยากรีบไปให้ถึงรถของตนโดยเร็วแต่ไม่รู้ทำไมเส้นทางถึงทอดยาวขนาดนี้ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังเพราะได้ยินเหมือนเสียงคนเรียก
ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียกตน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ” พอจะหันกลับมาก็กลายเป็นว่าเดินชนกับคนที่กำลังจะเข้างานเช่นเดียวกัน มือหนากอดเอวบางเอาไว้ไม่ให้หล่อนล้ม ขณะที่เธอก็จับแขนหนาเพื่อยึดเหนี่ยวเช่นเดียวกัน
เปล่งคำขอโทษเพราะตนเดินโดยไม่ทันได้ดูทางข้างหน้า จนเผลอชนอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ พอจะขยับห่างกลับถูกเขาจับเอวเอาไว้แน่น แถมยังกระชับจนตัวเกือบจะติดกันสร้างความไม่พอใจให้หล่อนเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกลวนลาม
“ปล่อย..” เงยหน้าหวังด่าให้เจ็บแสบ ทว่าพอเจอดวงตาคมที่จ้องมาก็ต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ ลมหายใจสะดุดไม่คิดว่าจะเจอคนที่ตนเองพยายามหนี
และเขากำลังมองมาด้วยแววตาเย็นชา พร้อมยกยิ้มมุมปากเหมือนราชสีห์ที่เจอเหยื่อ
“ไม่คิดว่าจะเจอเธอที่นี่ โลกมันกลมจริงๆ” หญิงสาวแทบไม่กล้าหายใจ ทำเพียงมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้นก่อนจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
สามปีที่เจอหน้าเขาอยู่ในจอโทรทัศน์ตลอด พอมาเจอตัวจริงก็ทำตัวไม่ถูกว่าควรกล่าวอะไรหรือเปล่า เพราะครั้งสุดท้ายที่จากลามีแต่ความขุ่นเคืองให้แก่กัน
แถมเขายังไม่รู้ว่าตอนนี้มีสถานะเป็นพ่อของเด็กชายแดนดาวเหนือ