๑ นับอนันต์ (๑)
๑
นับอนันต์
เท้าเรียวผละห่างจากคนตรงหน้า เขาจ้องหล่อนไม่วางตาและไม่ยอมพูดอะไรอีก เหมือนต้องการลองเชิงเธอจะทำเช่นไรต่อ ซึ่งชินานางเองก็คิดไม่ออกว่าตนต้องหนีหรือเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ไม่ได้พบกันมาสามปี
ไม่รู้ว่าฟ้าเล่นตลกอะไรถึงได้ส่งเขามาเจอเธออีกครั้ง ความเป็นไปได้ที่คนอย่างนับอนันต์จะมางานแต่งของคนอื่นแทบเป็นศูนย์ นักแสดงคิวทองไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้หรอก คิดพลางเม้มปากแน่นอย่างขัดใจ ไม่กล้าจะเอ่ยอะไรออกมาสักคำ
“ไม่เจอกันแค่สามปี ไม่ยักรู้ว่าเธอเป็นใบ้ไปแล้ว” รู้ว่าร่างสูงกำลังประชดเพราะเธอไม่ยอมพูดและสบตาเขาเลย เนื่องจากไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นด้วยประโยคไหนถึงจะดูปกติ สำหรับความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติของพวกเรา
ยังไม่ทันได้พูดก็มีคนเดินแกมวิ่งเข้ามาเสียก่อน เหมือนช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้จนเผลอพรูลมหายใจเสียงเบา แล้วค่อยขยับห่างจากร่างสูงเพื่อหวังเดินหนี ทว่าเขากลับคว้าแขนของเธออย่างแนบเนียนแล้วดึงให้เข้ามาใกล้
ร่างบางเซเข้าหาคนตัวสูงกว่า พยายามสะบัดแขนให้หลุดแต่ก็ยากเมื่อชายหนุ่มกำไว้แน่นเสียขนาดนั้น สิ่งที่ทำได้คือมายืนข้างนับอนันต์แล้วแอบซ่อนแขนไว้ข้างหลังเขาไม่ให้คนมาใหม่เห็นความผิดปกติระหว่างความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว
“คุณปราณต์ให้ผมพาคุณนับเข้าไปในงานครับ” ชื่อของเจ้าบ่าวหลุดออกมาทำให้ร่างบางคิดว่าเขาคงสนิทกับฝ่ายนั้นไม่น้อย ถึงขนาดมางานแต่งด้วยตัวเองทั้งที่อยู่คนละภาค
ดวงตาคมเหลือบมองชินานางซึ่งดิ้นยุกยิกและพยายามปลดมือเขาออกไม่หยุด หล่อนได้รับสายตาปรามจนต้องยืนนิ่ง ในใจก็เผลอต่อว่าเขาหลายรอบที่ทำเหมือนตนเป็นคนผิด แค่ปล่อยให้เธอเป็นอิสระมันยากนักหรือไง
อยากส่งเสียงขอความช่วยเหลือแต่คิดว่าจะเป็นการหาเหาใส่หัวเสียเปล่า จึงทำได้เพียงเงียบเสียงเอาไว้แล้วมองชายวัยกลางคนที่มีท่าทางนอบน้อม
“ครับ เดี๋ยวผมจะตามไป” อีกฝ่ายค้อมศีรษะรับคำแล้วหันมองหญิงสาวที่ส่งยิ้มจืดเจื่อนมาให้ตน
“คุณนางจะเข้าไปด้วยกันไหมครับ” เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครถึงรู้จักตน แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนสนิทของเจ้าบ่าว ถึงได้รู้จักแขกที่มาแทบทุกคน
กรอบหน้าหวานส่ายไปมาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พลางคิดได้ทันทีว่าต้องรีบหาทางหนีทีไล่จากคนที่จับแขนตนไม่ปล่อยเช่นนี้ มือหรือกาวกันแน่ติดแน่นติดทนเสียจริง คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด
“ไม่ค่ะ นางรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวดีกว่า” ทั้งดึงทั้งทึ้งก็ไม่ยอมหลุดสักที หล่อนเหลือบมองใบหน้าคมที่ยังคงเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สาก็โมโหจนเผลอจิกลงบนหลังมือหนา
“โอ๊ย” ดาราหนุ่มรีบปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระแล้วร้องเสียงดัง เขายกมือมาดูก็พบรอยเล็บที่จิกลงบนเนื้อ หันหน้าขวับเพื่อมองคนตัวเล็กกว่าที่ถอยหลังห่างจากตน เธอใช้บุคคลที่สามให้เป็นประโยชน์เพราะเชื่อว่านับอนันต์คงไม่แสดงกิริยาที่ผิดแผกต่อหน้าผู้อื่น
“คุณนับเป็นอะไรครับ” เดินเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อครู่ก็เห็นว่าเขาปกติดี แต่กลับร้องเสียงหลงเหมือนโดนทำร้าย
“มดครับ มดมันกัดสงสัยคงต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว” กัดฟันนิ่งแล้วหันไปมองชินานาง ซึ่งหล่อนเองก็ทำตัวไม่ถูกยามได้สบดวงตาคมทรงเสน่ห์คู่นั้น
และหญิงสาวคิดว่าต้องใช้โอกาสนี้รีบออกไปจากงานแต่งของเพื่อน อุตส่าห์หนีมาได้แล้วแต่กลับโดนจับที่หน้างาน ชีวิตจะซวยอะไรขนาดนี้
ไม่เจอกันสามปีดูภายนอกเขาแทบไม่เปลี่ยนไปสักนิด
ไม่ใช่สิ...หล่อนเจอใบหน้าหล่อที่จอโทรทัศน์แทบทุกวัน ทั้งโฆษณาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ละครฉายทุกวันจันทร์และอังคาร ไหนจะมีละครเก่าของชายหนุ่มซึ่งช่องนำมารีรันซ้ำเพื่อเรียกเรตติ้งอีก เจอจนเอียนแทบไม่อยากเปิดทีวี
“นางขอตัวก่อนนะคะ” ค้อมศีรษะเป็นการบอกลาแล้วรีบเดินเร็วออกจากตรงนั้น ส้นสูงค่อนข้างเป็นปัญหาจนอยากถอดแล้ววิ่งหนีแต่ทำอย่างนั้นไม่ได้ หล่อนยังแคร์สายตารอบข้างถึงที่ตรงนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ก็ตาม
นักแสดงหนุ่มมองตามร่างบางไปจนลับสายตา ไม่อยากเชื่อว่าสามปีที่ห่างหายไปจะได้มาพบกันอยู่งานแต่งของเพื่อนสนิท
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชุดที่ใส่หรือการแต่งหน้าทำให้หล่อนกลายเป็นสาวสวยหาตัวจับยาก ตอนที่ชินานางมาทำหน้าที่ผู้จัดการชั่วคราวให้เขาไม่ได้สวยจนต้องมองเหลียวหลังขนาดนี้ แถมกลิ่นกายยังหอมจนติดจมูก ซึ่งมันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย
มุมปากยกยิ้มพึงพอใจคิดว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เขาจึงเดินตามคนสนิทของเจ้าบ่าวเพื่อเข้าไปในงานฉลองมงคลสมรส เรียกเสียงฮือฮาให้คนทั้งงาน แล้วนับอนันต์ก็สวมหน้ากากชายหนุ่มแสนอบอุ่นได้อย่างดีเยี่ยม
“หม่าม้ากลับมาแย้ว” จากที่นั่งดูการ์ตูนกับคุณตาที่ห้องรับแขกก็รีบลุกจากตักท่านแล้ววิ่งมาหามารดาอย่างรวดเร็ว ร่างบางย่อตัวลงเพื่อรับลูกชายมาสู่อ้อมกอด ค่อยหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนเป็นธรรมเนียมยามกลับบ้าน
ความหม่นหมองมลายเมื่อเจอความสดใสของเด็กชายแดนดาวเหนือ ลูกเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจของหล่อนให้หายเหนื่อย มีพลังสู้กับวันต่อไปถึงจะโดนคำดูถูกหรือนินทาจากคนรอบข้างก็ตาม คิดถูกแล้วที่ไม่ทำแท้งและเก็บลูกน้อยเอาไว้
“ม้าลืมซื้อขนมมาฝาก แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไถ่โทษด้วยการพาไปร้านขนม น้องแดนอยากไปไหม” ตอนแรกหน้าหงอยเพราะพยายามมองหาของฝาก ทว่าเมื่อได้ยินมารดาจะพาไปร้านขนมของโปรดก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วกอดคอชินานางเอาไว้แน่นขณะพยักหน้าเป็นตุ๊กตาสปริง
“ไปคับ แดนจะไปกินหนม ขอเยอะๆ นะหม่าม้า” อ้อนตาใสพลางเอียงคอไปมาอย่างน่ารัก มีหรือที่คนมองจะไม่หลง
“โอเค เหมาหมดร้านเลยดีไหม” อุ้มลูกชายแล้วเดินไปห้องรับแขก บิดาเปลี่ยนช่องเป็นข่าวสารบ้านเมืองแทนการ์ตูนที่นั่งดูกับหลาน ชีวิตแสนเคร่งขรึมของผู้ว่าราชการจังหวัดเปลี่ยนไป
คุณพิชาชาญ ภานรินทร์เหมือนได้เรียนรู้โลกอีกใบของเด็กเล็ก ดูการ์ตูนเล่นหุ่นยนต์ ก่อกองทรายเป็นเพื่อนหลานจนชินเสียแล้ว ทั้งยังมีความสุขกับการฟังคำพูดเจื้อยแจ้ว บางครั้งก็ฟังไม่รู้เรื่องแต่ยังพยักหน้าเออออไปด้วย
“ดีคับ เด่วแดนจะฉื้อหนมมาฝากตาตานะ” ไม่ลืมคุณตาสุดที่รัก ยังหันมาบอกเพื่อให้ท่านดีใจ คนเป็นตาได้ฟังก็พยักหน้าพลางยิ้มจนเห็นร่องรอยแห่งวัยชัดเจน
“ตาจะรอกินขนมจากน้องแดน” ไม่แปลกใจทำไมแดนดาวเหนือจึงเป็นที่รัก แม้อายุเพียงสองขวบแต่ก็ช่างใส่ใจคนอื่น โอบอ้อมอารีและไม่คิดถึงแต่ตัวเอง หญิงสาวภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้เป็นอย่างมาก
คุยกันสักพักคุณผู้ชายของบ้านก็ชะเง้อออกไปข้างนอก ขาไปทำไมไปสองคนแต่ขากลับมีเพียงลูกสาว
“แม่ล่ะ” ไม่เห็นคู่ชีวิตที่อยู่กินกันมาหลายสิบปีจนมีลูกถึงสามคน คนโตแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วทำให้ท่านสบายใจ ส่วนคนรองยังคงทำงานหนักและอยู่เป็นโสดไม่ชายตาแลใครจนเริ่มเป็นห่วง
ส่วนคนเล็กไม่รู้จะห่วงอะไรเพราะหญิงสาวผ่านช่วงหนักสุดของชีวิตมาแล้ว การถูกตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อจากคนรอบข้าง ยังดีที่ชินานางไม่เก็บคำเหล่านั้นมาคิดมากและเลี้ยงดูลูกชายอย่างดีจนรู้ความ
“อยู่ที่งานค่ะ พอดีนางรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยกลับมาก่อน” แดนดาวเหนือได้ยินอย่างนั้นก็ดิ้นเพื่อบอกให้มารดาปล่อย หล่อนจำต้องปล่อยลูกออกจากอ้อมกอดแล้วมองหนุ่มน้อยวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปในห้องครัว ขมวดคิ้วสงสัยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมประคองแก้วที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม เผลอหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดูพลางลุ้นให้กำลังใจ
“อะไรครับ เอามาให้ม้าทำไม” พอเด็กน้อยเดินมาถึงก็รับแก้วอย่างรวดเร็วกลัวน้ำจะกระฉอกออกจนหมด
“หม่าม้าไม่ฉะบาย ดื่มน้ำแย้วจะหาย” ดวงตาใสแจ๋วมองมาไม่คลาดสายตา เหมือนเป็นการบังคับกรายๆ ให้หล่อนดื่มน้ำ หญิงสาวจำต้องยกแก้วขึ้นดื่มน้ำจนหมด แล้วค่อยวางแก้วไว้ที่โต๊ะกลางก่อนดึงลูกชายเข้ามากอด