บทที่ 4
เมื่อหนีออกมาจากภัทรได้แล้ว ภานุวิชญ์ก็ขับรถตรงไปยังสถานที่ ซึ่งเขาต้องการจะใช้เป็นที่หลบภัยและพักสมองจากบิดาทันที และไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็ถึงจุดมุ่งหมาย ภานุวิชญ์เลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าอาคารสีขาวสองชั้นและเดินเข้าไปในนั้น พลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีที่หนีบิดามาได้
“เฮ้ย ไอ้โดม วันนี้มีถ่ายแบบกันในบริษัทเลยเหรอวะ?”
ภานุวิชญ์ทักคนที่กำลังยืนกำกับการทำงานอยู่ ภานุวิชญ์ปล่อยบริษัทโฆษณาที่ร่วมหุ้นกันกับณงค์เดช ให้เพื่อนสนิทเป็นคนจัดการทุกอย่างแทน ตัวเขาเองไม่ได้เข้ามาทำงานมากนัก
ณรงค์เดชเป็นชายหนุ่มหน้าตาเรียบๆ รูปร่างสูงโปร่ง แต่บุคลิกดี ไม่ได้หน้าตาหล่อเฟี้ยวเหมือนภานุวิชญ์ ชายหนุ่มเป็นคนเอาการเอางาน เขาไม่มีกำลังเงินเหมือนภานุวิชญ์แต่มีกำลังสมอง ภานุวิชญ์ไว้ใจเขามากเพราะสนิทกันจนรู้นิสัยทุกอย่าง คนอย่างณรงค์เดชไม่เอาเปรียบใคร แถมเวลาโดนเอาเปรียบเขาก็จะแค่ยิ้มเฉยเท่านั้นเอง ณรงค์เดชรู้ว่าตนเองไม่มีเงินพร้อม เพราะพ่อกับแม่เป็นแค่ข้าราชการธรรมดา แต่ชายหนุ่มอยากเปิดบริษัทโฆษณาเพราะเรียนมาทางนี้ ซึ่งเพื่อนรักอย่างภานุวิชญ์ก็สนับสนุนเต็มที่ โดยการลงเงินให้ ให้ณรงค์เดชลงแรง ส่วนกำไรแบ่งกันคนละครึ่ง บริษัทเปิดมาได้เกือบครึ่งปีแล้ว และกำลังไปได้ดี เพราะณรงค์เดชเป็นคนเก่งมีไอเดียดี เลยได้งานเจ๋งๆ หลายชิ้น ทั้งที่เป็นบริษัทไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เริ่มมีชื่อเสียงในวงการโฆษณาแล้ว
ณรงค์เดชโบกมือให้กับภานุวิชญ์ พลางมองเพื่อนรักที่เดินเข้ามาในบริษัท โดยมีสายตาของสาวๆ พนักงานมองตามตาปรอยก็อดยิ้มไม่ได้ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่หญิงสาวจะชอบมองภานุวิชญ์ และบางคนก็ทอดสะพานเอาซึ่งๆ หน้า ในเมื่อภานุวิชญ์มีทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ แถมเป็นผู้ชายจริงๆ เสียด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายจริงๆ ดูเหมือนชักจะหายากขึ้นทุกที
“ใช่...เอ แต่วันนี้ก็ไม่ใช่วันพฤหัสหรือศุกร์ แล้วทำไมนายถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?”
ณรงค์เดชหมายถึงกำหนดวัน ที่ภานุวิชญ์มักจะแวบเข้ามาดูงานที่บริษัท จะว่าไปแล้วตามจริงแล้ว เขาก็แค่มานั่งเล่นๆ และมาดูสาวๆ ที่บริษัทโมเดลิ่งพามาแคสติ้งเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่นเลยจริงๆ
“ก็...”
ภานุวิชญ์กวาดตามองไปยังบริเวณที่จัดไว้เป็นที่ถ่ายภาพนิ่ง มีทีมงานกำลังชุลมุนเตรียมการกันอยู่อย่างสำรวจ
“ฉัน หนีพ่อมา...”
ประโยคหลังเขาแอบกระซิบ ณรงค์เดชอมยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า ก่อนจะสั่งให้เด็กยกเก้าอี้มาให้เพื่อน ตอนนี้ทีมงานกำลังเคลียร์พื้นที่ให้โล่ง เลยขนโต๊ะรับแขกออกไปหมด มีเฟรมสีน้ำเงินเข้มกับบรรดาอุปกรณ์กล้องมาตั้งไว้แทน
“เดี๋ยวพ่อนายก็โทรมาด่าเอาอีกหรอก” ณรงค์เดชเตือน ภานุวิชญ์ทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ไม่หรอก ฉันทิ้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกับกระเป๋าเงิน หลอกว่าจะออกมาเข้าห้องน้ำ พ่อจะได้ตายใจ แต่พ่อไม่รู้ว่าจิ๊กกุญแจรถมาแล้ว”
“นายนี่มันกะล่อนจริงๆ เลยว่ะ ให้ตายสิ”
“เขาต้องพูดว่ารู้จักเอาตัวรอดโว้ย กะล่งกะล่อนที่ไหนกัน” ภานุวิชญ์หัวเราะ
“ว่าแต่ถ่ายอะไรกันล่ะเนี่ย?”
“ถ่ายโฆษณานมไขมันต่ำ ที่ฉันเอางานให้นายดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไง นายเป็นคนเลือกนางแบบเองนี่หว่างานนี้ พอดีสตูดิโอที่จองไว้ มันเกิดเหตุขัดข้องเลยต้องขนกันมาถ่ายที่นี่แทน เป็นภาพนิ่งแค่ถ่ายนางแบบกับผลิตภัณฑ์เท่านั้นเอง ก็เลยถ่ายในนี้เอาง่ายๆ ดี”
“ฉันเลือกเองเลยเหรอ เอ....” ภานุวิชญ์ย่นคิ้ว
“จำไม่ยักได้”
“งั้นก็รอดูให้เต็มตาเลยไอ้นุ”
ณรงค์เดชว่า แล้วเดาปฏิกิริยาของเพื่อน ว่าจะเป็นยังไงเมื่อเห็นกิ่งกมลา นางแบบที่เซ็กซี่สุดๆ ในตอนนี้
“นั่นไงนางแบบของเรา ฝีมือนายเลือก”
ร่างสูงเพรียวระหงที่ก้าวเข้ามา ทำให้ภานุวิชญ์ตาค้าง สาวสวยผิวสีแทน หล่อนมีสะโพกงอนงามและทรวงอกค่อนข้างอวบ เอวบางกิ่วนิดเดียว ช่วงขาเพรียวสวย สวมเสื้อเกาะอกสีขาว โชว์หน้าท้องแบนราบ และใช้กางเกงรัดรูปสั้นจู๋สีเดียวกัน ใบหน้าสวยเซ็กซี่นั้นยิ้มเยือนให้ทุกคน ภานุวิชญ์ถึงกับสะกิดณรงค์เดชยิกๆ และกระซิบข้างหูเพื่อนเสียงสั่น
“ทำไมฉันถึงจำคนสวยขนาดนี้ไม่ได้วะ ไอ้โดม”
“ความจำเสื่อมไปชั่วคราวละมั้ง เพราะพอนายเลือกเสร็จ พ่อนายก็โทรมาเม้ง เรื่องที่เลขาคุณดูม ดูม ของนาย ตบกระจายกันกับคุณปานไง” ณรงค์เดชท้าวความ
“เขาชื่ออะไร”
ภานุวิชญ์จ้องสาวสวยไม่วางตา ณรงค์เดชมองตามสายตาเพื่อน แล้วก็แอบถอนใจ เอาอีกแล้ว ไอ้นุ...
“กิ่งกมลา นางแบบสาวที่กำลังเซ็กซี่ที่สุดในตอนนี้ ลูกค้ายอมจ่ายไม่อั้น เพื่อให้หล่อนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ฉันว่าคุ้มแหละ เพราะดูจากตัวอย่างที่ทำเสร็จแล้ว เตรียมส่งเข้าสถานี ท่าทางจะเป็นโฆษณาที่หนุ่มๆ พากันจับตามองแน่นอน แถมคงจะน้ำลายหก เขาสวยออกขนาดนั้น”
“ใช่... สวยและเซ็กซี่มาก”
ภานุวิชญ์จ้องหล่อนเขม็ง เหมือนเด็กเห็นขนมหวานที่ถูกใจ
“นายว่าอย่างฉันจะผ่านไหม”
“อะไร?” ณรงค์เดชเลิกคิ้ว
“ถ้าฉันจะจีบคุณกิ่งกมลาไง”
“นายเพิ่งจะเห็นหน้าเขาเนี่ยนะ แล้วคุณปานล่ะ?”
“เขาจะบินไปเรียนต่อที่เมืองนอกแล้วน่า ไม่มายุ่งกับฉันแล้ว ฉันชอบคุณกิ่งกมลาว่ะ ดูสวยเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก คนอื่นคงอิจฉาน่าดูถ้าฉันควงกับหล่อน”
ชายหนุ่มมองสาวสวยตรงหน้าอย่างหมายมาด และมั่นใจในเสน่ห์ของตนเองอย่างเต็มร้อย
“ใครจะห้ามนายได้ล่ะ” ณรงค์เดชยักไหล่ ก่อนจะถอนใจ ในความเจ้าชู้ของเพื่อน
“รับรองว่าจะไม่ทำให้พวกเราเสียงานเด็ดขาด”
ภานุวิชญ์รับรองเสียงแข็ง กิ่งกมลาที่ปรายตามองมาทางพวกเขาพอดี สบตากับชายหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดี ที่ยิ้มให้หล่อนและยกนิ้วให้ เป็นเชิงชมว่าหล่อนเก่ง หญิงสาวยิ้มที่มุมปากนิดๆ ให้ภานุวิชญ์ แล้วชม้ายตาให้อย่างมีจริต
ณรงค์เดชมองทั้งคู่แล้วก็ส่ายหน้า นี่หรือเปล่าหนอที่เขาเรียกว่า ผีเห็นผี ชายหนุ่มคิด เพราะกิ่งกมลาก็เจ้าชู้ได้ไม่แพ้เพื่อนเขานะแหละ จากที่ได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหล่อนมา ทันทีที่งานถ่ายแบบเสร็จ ภานุวิชญ์รีบปราดเข้าไปทักทายนางแบบสาวสวย อย่างไม่รีรอและแนะนำตัวว่าเป็นหุ้นส่วนกับณรงค์เดช บอกว่าชื่นชอบผลงานของหล่อนมาก ยิ่งทำให้กิ่งกมลายิ้มหวานอย่างพอใจ
แล้วก็เป็นไปตามที่ณรงค์เดชคาดไว้ สักพักหนึ่งภานุวิชญ์ก็เดินยิ้มกว้างมาหาเพื่อนสนิท แล้วแบมือมาตรงหน้าณรงค์เดช
“ยืมเงินหน่อยสิ โดม สักหมื่นหนึ่ง”
“เอาไปทำไม”
“จะชวนคุณเกรซไปทานข้าว” เขาหลิ่วตาให้
“ต้องทุ่มกันหน่อย”
“นี่ชวนกันไปทานข้าวได้แล้วเหรอเนี่ย? ได้สิ เพิ่งจะกดเงินมาพอดีคงจะมีพอ”
ณรงค์เดชหัวเราะ พลางล้วงกระเป๋าเงินออกมา แล้วนับเงินให้เพื่อนครบตามจำนวนที่เพื่อนขอ
“นายยังคุยกับเธอยังไม่ถึงชั่วโมงดีเลย”
“คนมันมีฝีมือน่า” ภานุวิชญ์รับเงินจากเพื่อน แล้วเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ระวังเถอะ ไม่พกกระเป๋าตังค์ เดี๋ยวตำรวจก็ตรวจบัตรหรอก ขี้เกียจไปประกันตัวให้” ณรงค์เดชแซว
“ร้องเพลงชาติจบโว้ย! แหม หน้าตาดีขนาดนี้ ไม่มีใครคิดว่าฉันลักลอบเข้าเมืองมาหรอกน่า”
ภานุวิชญ์หัวเราะแล้วโบกมือให้เพื่อน เขาเดินไปกับกิ่งกมลาทันทีที่หล่อนแต่งตัวเสร็จ ณรงค์เดชมองตามเพื่อนแล้วบ่นพึมพำ
“โรคกำเริบอีกแล้ว ไอ้นุเอ้ย คุณกิ่งกมลาก็ไม่ใช่ย่อยหรอกนะ เฮ้อ...ไม่รู้ว่าลุงภัทรจะว่ายังไง แต่ต้องโมโหอีกแน่ๆ ยิ่งถ้ารู้ว่าโดดงานมาจีบสาว งานนี้เละแน่เลยว่ะนุ”
เสียงโทรศัพท์ดังที่โต๊ะทำงานส่วนตัวของเขา ณรงค์เดชยกขึ้นรับแล้วก็ต้องแอบขำ เมื่อได้ยินเสียงภัทรดังมาตามสายจริงๆ
“ไอ้นุ ลูกชายลุง ไปที่นั่นหรือเปล่าโดม”