บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

“เจ้านุ เมื่อไหร่แกจะโตเป็นผู้ใหญ่สักทีล่ะลูกเอ๊ย! พ่อเหนื่อยมามากแล้วนะ แกก็อายุเกือบจะสามสิบแล้ว หัดรับผิดชอบงานเสียมั่งสิลูก ไอ้ที่พ่อสร้างมาทุกอย่างจะได้ไม่สูญเปล่า”

ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน กำลังยืนท้าวเอวทำหน้าเคร่ง ขณะกำลังบ่นกับลูกชายคนเดียวที่นั่งเอนตัวตามสบายกับเก้าอี้หนานุ่ม ฟังบิดาเทศนาอย่างหูทวนลม ภัทรเดินเข้ามาในห้องทำงานของลูกชายหลายรอบแล้ว แต่ก็พบแต่ห้องที่ว่างเปล่า จนต้องโมโหโทรศัพท์ไปด่านั่นแหละ ภานุวิชญ์ถึงออกจากบ้านมาได้ และกว่าจะมาได้ก็เกือบสิบโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มทำหน้าเบื่อหน่าย หลังจากฟังบิดาบ่นเสร็จเรียบร้อย

“โธ่...พ่อก็ ผมทำงานอยู่แล้วล่ะน่า พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพียงแต่ตอนนี้มันยังไม่อยากทำ ผมเพิ่งจะยี่สิบแปดเองนะพ่อ ยังไม่ได้สามสิบสักหน่อย ผมก็หุ้นกับไอ้โดมเปิดบริษัททำโฆษณา พ่อก็รู้ไม่ใช่เหรอ? แล้วก็เข้าไปช่วยงานมันด้วย ผมไม่ได้นั่งเล่นไปวันๆ อย่างที่พ่อคิดนะครับ”

ภานุวิชญ์แก้ต่างให้กับตัวเอง เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผมดกหนาสีดำสนิททำทรงซอยอย่างเก๋ คิ้วเข้ม ตาคมแฝงแววขี้เล่น จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง มีเขี้ยวเสน่ห์เวลายิ้ม และก็ชอบขยันยิ้มเวลาเจอสาวๆ สวยถูกใจ ไม่รู้ว่าภานุวิชญ์เจ้าชู้เหมือนใคร ภัทรมองลูกชายที่ควงปากกาเล่น ทำหน้าตารื่นรมย์ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างเหนื่อยใจ

ไอ้หน้าตาน่ะพ่อลูกชายตัวแสบได้มาจากวดีภรรยาเขา ที่เป็นคนสวยมากแน่ๆ รูปร่างสูงใหญ่ก็ได้มาจากเขา แต่ไอ้นิสัยเจ้าชู้แล้วก็ไม่เอาการเอางานนี่น่ะสิ มันไปได้จากใครมา เอ..หรือเขาจะเลี้ยงลูกไม่ถูกทาง

“แกก็มาทำงานให้มันเช้าๆ หน่อยจะได้ไหม? เผื่อพ่อจะให้แกไปติดต่อลูกค้าแทนบ้าง บางทีจะได้ให้แกไปดูที่บริษัทขนส่งให้หน่อย ถ้าปล่อยให้เขาคุมกันเองเราไม่ไปทำอะไรเลย มันจะไม่ค่อยดีนักนะลูก”

“ไอ้บริษัทวินรถสิบล้อของพ่อน่ะเหรอ โอ๊ย! ไปทำไม เขาดูแลกันได้หรอกน่า”

ภานุวิชญ์พูดติดตลก เมื่อพูดจบเลยโดยภัทรที่เหลืออดแล้ว เขกหัวเอาจนได้ดังโป๊ก

“เจ็บนะครับพ่อ” ชายหนุ่มคลำศีรษะ พลางครวญอย่างพ้อๆ

“ก็ไอ้บริษัทวินรถสิบล้อของพ่อกับแม่น่ะแหละ ที่ทำให้แกมีเงินไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วมานั่งกระดิกเท้าอยู่นี่ อย่ามาพูดดูถูกอาชีพการงานของพ่อแบบนี้นะพ่อไม่ชอบ”

เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มเสียงห้วนๆ หน้าตาก็เริ่มบึ้งตึง ผู้เป็นลูกชายเลยรีบทำเสียงอ่อนอย่างประจบ

“ขอโทษครับ แหม...ผมก็พูดเล่นๆ เอง พ่อก็คิดมากไปได้ ไว้ว่างๆ ผมจะเข้าไปดูให้นะ รับรองเลยนะครับพ่อ แต่ตอนนี้ผมต้องหาเลขาใหม่ก่อน เพราะเพ็ญพรยื่นใบลาออกแล้ว”

“แล้วเพ็ญพรลาออกเพราะใคร? มันก็เพราะแกน่ะแหละ แกมาทำงานแค่สองเดือน เปลี่ยนเลขาไปแล้วเกือบหกคน!”

ภัทรพูดเสียงสูง เขาทำเหมือนค้อนบุตรชาย ภาพหญิงสาวสวยผมสั้นเปรี้ยวจี๊ดที่นุ่งสั้น และแต่งตัวรัดรูปจนอะไรๆ แทบจะล้นออกมา เหมาะกับไปทำงานอย่างอื่น มากกว่าจะมาทำงานเลขานุการ แวบเข้ามาในความคิด

“แม่เพ็ญพรอะไรของแกนั่น ก็ทำรถไฟชนกันขบวนใหญ่ที่หน้าห้อง แถมตบกันเสียจนออฟฟิศเกือบกระจุย พ่อของหนูปานโทรมาด่าพ่ออีกต่างหาก แล้วพานไปจนถึงเรื่องงานที่ติดต่อกันไว้เสียด้วย ความกระล่อนของแก มันจะทำให้บริษัทวอดวายเข้าสักวันแน่ๆ” ภานุวิชญ์หัวเราะ แล้วโบกมือ เขายักไหล่เหมือนว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับพ่อ ผมไม่ทำให้บริษัทพ่อเจ๊งหรอกน่า พ่ออย่าคิดมากเลย เดี๋ยวแก่เร็วนะครับ เป็นอันว่าวันนี้ผมจะยอมอยู่ให้พ่อด่าและสอนงานทั้งวันเลย ส่วนเรื่องปานตะวันผมเคลียร์เรียบร้อยแล้ว เราดีกันแล้วด้วย เดือนหน้าเขาก็ไปนอกแล้ว สวยๆ อย่างปาน เดี๋ยวก็มีหนุ่มๆ มาจีบ เขาจะได้ไม่ต้องมาผจญภัยกับผมไง”

“เออ...อย่างแกต้องได้แบบคุมแกอยู่ เอาแบบเมียที่เหมือนแม่น่ะแหละ แกถึงจะอยู่เป็นผู้เป็นคนกับเขาได้” ภัทรเสริม ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

ภานุวิชญ์ยังยิ้มอย่างไม่สนใจ กับคำพูดออกแนวประชดของบิดา เพราะรู้ว่าภัทรน่ะยังไงก็ใจอ่อนกับเขาเสมอ ภานุวิชญ์ไม่รู้หรอกว่าวันนี้ ภัทรเริ่มจะเอาจริงบ้างแล้ว หลังจากปล่อยลูกชายให้ลอยไปลอยมา จนเริ่มจะเลยเถิดแล้ว เมื่อมองหน้าลูกชาย ที่ยังทำเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ กับการที่เขามาต่อว่า ภัทรก็กดโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับเลขาส่วนตัว

วันนี้พ่อต้องเอาจริงกับแกเสียแล้ว...

ภัทรคิดในใจ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป เมื่อปลายสายกดรับ

“บัญชา เอาเอกสารการเสนองานมาให้ผมหน่อย หอบมาทั้งแฟ้มเลย ทั้งที่ผ่านและไม่ผ่าน คุณเข้ามาด้วยนะ ผมจะสอนงานให้ลูกชายตัวแสบของผม”

“พ่อน่าจะหาเลขาสาวๆ สักคน เผื่อจะได้หายเครียดขึ้นมาบ้าง เลขาส่วนตัวพ่อหน้าดำคร่ำเครียดยังไงพิกล” ภานุวิชญ์เปรย บิดารีบส่ายหน้าทันที

“พ่อนะ ไม่ใช่แก จ้างมาทำงานไม่ได้จ้างมาทำอย่างอื่น!”

ภัทรว่าเสียงเขียว ทำตาถลึงใส่จนชายหนุ่มแอบเบ้ปาก

“ขออนุญาตครับท่าน”

ชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำ เดินหอบเอกสารกองสูงแทบท่วมหัว จนต้องใช้สองมือประคองเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นกองเอกสารภานุวิชญ์ก็ตาเหลือก ส่วนภัทรแอบมองลูกชายแล้วก็ยิ้ม

วันนี้แหละไอ้นุเอ๊ย ....เห็นจะหนียากลูกพ่อ จะให้แกทำงานทั้งวันเลย

“แกมานั่งตรงนี้ไอ้นุ มาบัญชาเรามาเริ่มกันเลย”

ภัทรคว้าแขนภานุวิชญ์มานั่งข้างๆ เขา แล้วก็เริ่มกางแฟ้มงานให้ดู บัญชาเลขานุการคู่ใจนั่งขนาบอีกข้าง แล้วเริ่มอธิบายรายละเอียดของงานต่างๆ ให้ชายหนุ่มฟังทันที

“ผมขอไปห้องน้ำหน่อยนะครับพ่อ”

ภานุวิชญ์ว่า เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ หลังจากหูตาลายไปหมด กับเอกสารที่ภัทรและบัญชา ช่วยกันรุมสอนเขาคนละไม้คนละมือ ผู้เป็นบิดามองบุตรชายจอมกะล่อนอย่างไม่ไว้วางใจ

“แกห้ามหนีนะ ไอ้นุ”

ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ นี่พ่อเขาอ่านใจคนออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าตาย ก่อนจะยักไหล่

“ไม่หนีหรอกพ่อ ใครจะกล้า ผมเอากระเป๋าตังค์วางไว้ตรงนี้ก็ได้ ไม่มีเงินก็หนีไม่ได้”

ภานุวิชญ์ล้วงเอากระเป๋าเงินมาวาง แถมยื่นให้กับภัทร แสดงความบริสุทธิ์ใจสุดๆ

“พ่อยึดไว้เลย จะได้เชื่อว่าผมหนีไม่ได้จริงๆ”

“เออ...พ่อเชื่อแกแล้ว รีบๆ ไป รีบๆ มา จะได้มาดูเอกสารตรงนี้ต่อ” ภัทรโบกมือไล่

“ครับพ่อ” ภานุวิชญ์หลิ่วตาให้ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วทำมือชูสามนิ้วแบบลูกเสือ

“ผมให้คำปฎิญานเลยว่าจะรีบกลับมา”

แต่เมื่อออกจากห้องทำงานได้ ชายหนุ่มก็รีบโกยอ้าว เขารีบตรงไปยังลิฟต์และกดลงไปยังชั้นลานจอดรถทันที แล้วเดินตรงไปที่รถของตัวเอง ซึ่งเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรูราคาแพงลิบ ชายหนุ่มล้วงกุญแจรถออกมาโยนเล่น พลางหัวเราะอย่างชอบใจที่หนีบิดามาได้

“ไม่มีเงินแต่มีรถล่ะครับคุณพ่อ แถมน้ำมันเติมเต็มที่ หึ หึ ใครจะโง่อยู่ล่ะ เวียนหัวไปหมดแล้ว ไปหาที่พักสมองดีกว่าเรา”

ภานุวิชญ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขึ้นรถสปอร์ตคันหรู ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ภัทรกับบัญชา รอเก้อกันอยู่สองคน และกว่าจะรู้ว่าลูกชายตัวดีหายไป ก็สายไปเสียแล้ว…

............

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel