บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ความช่วยเหลือ

ก็อกๆ

“เชิญค่ะ”

“มาล้างแผล....ครับ”

หมอนั่นยอมมาตามสั่งด้วยแฮะ นึกว่าจะปล่อยให้นิ้วเน่าซะอีก ฉันผายมือให้ฮัลวอลนั่งลงบนเตียงและเตรียมอุปกรณ์ทำแผลไปล้างให้เขา

“แผลแห้งดีค่ะ …แต่ยังบวมและช้ำเลือดอยู่นิดหน่อย”

“...”

“กินยาตามหมอสั่งหรือเปล่าคะ”

“ครับ”

“แล้วงดแอลกอฮอล์รึเปล่าคะ”

“งดไม่ได้ครับ ผมมีเรื่องทุกข์ใจ ต้องกินก่อนนอนทุกวัน”

มือที่กำลังพันแผลชะงัก ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา ดูจากภายนอกก็ไม่น่าจะมีอาการป่วยหนักนิ สำหรับไอ้บ้านี่คงไม่พ้นเรื่องผู้หญิงหรอก

“เป็นเอดส์หรอคะ”

ฉันย้อนถามประชดแบบหยาบๆ ไป เจ้าตัวหลิ่วตาลงเล็กน้อย เหมือนกำลังตั้งคำถามในใจว่า .....‘เอาจริงดิ’

“หมอปากร้ายขึ้นนะครับ”

“อ่อ โทษทีค่ะ พอดีหมอเป็นพวกปากไว เคยเห็นยังไงก็พูดอย่างงั้นน่ะ”

“ปากไวแบบนี้ ระวังจะโดนลิ้นผมเล่นกลับนะครับหมอ”

อึก ..อะ ไอ้บ้านี่ มันกำลังยิ้มกริ่มส่งสายตาหวานเยิ้มให้ฉัน ให้ตายเถอะ ลูกเล่นแบบนี้ฉันไม่มีทางชนะเขาจริงๆ

“สะ เสร็จแล้วค่ะ”

ฉันรีบปิดผ้าพันแผลแล้วปล่อยมือเขา ฮัลวอลยกมือตัวเองขึ้นดม สูดหายใจเข้าลึก ส่งเสียงน่าอายเบาๆ ก่อนจะพูดประโยคที่ชวนขนลุกออกมา

ฟอดดดด~

“กลิ่นหมอยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ”

“โรคจิต”

“ไม่ชอบหรอครับ”

“ไม่…”

ร่างฉันถูกมือหนากระตุกเบาๆ จนเซไปอยู่ในอ้อมกอดเขาด้วยความตกใจฉันรีบดันหน้าอกเขาออก เพราะกลัวคนอื่นจะเข้ามาเห็น

“สบายดีไหม”

เขาถามอย่างเป็นกันเอง หยิบยกความสนิทที่เราเคยมี มาทำให้ฉันรู้สึกหัวปั่น น้ำเสียงแผ่วเบาและทุ้มต่ำจนแทบไม่ได้ยินและความอุ่นของอ้อมแขนนั้น ดึงน้ำในตาให้คลออย่างห้ามไม่ได้

“ดีกว่าตอนคบกันอีก”

“ดา..”

“ถ้าหมดธุระแล้วรบกวนเชิญกลับไปทำงานด้วยนะคะ พอดีหมอยังมีงานต้องจัดการอีกเยอะค่ะ”

ฉันพูดตัดบท ก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบจับอะไรไปมั่ว เพื่อหาข้ออ้างไล่เขาเท่านั้น ฮัลวอลยอมแพ้แล้วเดินออกไปเงียบๆ หลังประตูปิดลง ฉันพิงตัวกับเตียงพัก ยกมือขึ้นลูบกลางหน้าอกตัวเอง

‘อย่า... รู้สึกอะไรไปมากกว่านี้’

เวลา 11.14 น.

ก็อกๆ

“ดายอนครับ..”

“สวัสดีค่ะพี่อุนกู วันนี้มาไวนะคะ”

“พอดีพี่ไปธุระมา เลยเข้าไวหน่อย ว่าแต่เราทำอะไรอยู่หรอ”

พี่อุนกูวางกระเป๋าเป้ลงที่โต๊ะทำงานของเขา จากนั้นเดินมาช่วยฉันล้างอุปกรณ์ทำแผล

“เมื่อกี้พึ่งมีพนักงานมาทำแผลน่ะค่ะ”

“อ่อ ที่ว่าโดนตอกนิ้วน่ะหรอครับ”

“ค่ะ ดีขึ้นแล้ว ไม่ช้ำหนอง”

“อ่อครับ แล้วเรากินข้าวหรือยังเอ่ย”

“ยังเลยค่ะ”

“งั้นไปกินข้าวที่โรงอาหารกันไหม พี่ยังไม่กินข้าวเช้าเลย หิวมาก”

“ฮ่าๆ ได้ค่ะ”

ฉันกับพี่อุนกูพากันมาที่โรงอาหารของแผนก สายตาพนักงาน (ส่วนมากผู้ชาย) จ้องมองมาที่ฉัน บางคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กระทบไหล่ ชวนกันมอง แสดงความหื่นออกมาทางใบหน้าอย่างไม่ปกปิด

ถ้าพี่อุนกูหรือพี่เจฮาไม่ชวนมา ฉันไม่มาเองเด็ดขาด น่ากลัว!!!

“กินอะไรดีครับ”

“อ่าาา ดายอนเอาข้าวหน้าปลาย่างกับซุปกิมจิค่ะ”

“ครับ เดี๋ยวพี่ยกไปให้ เราไปจองโต๊ะรอเลย”

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

ฉันสอดส่องสายตา มองหาโต๊ะว่าง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี จึงทำให้พนักงานที่พักเบรกอัดกันแน่นแผนก ขณะที่เกือบจะถอดใจ โป๊ะเชะ! มีอยู่โต๊ะนึง ฉันรีบเดินไปเพราะกลัวโดนแย่ง และแล้วก็มีผู้ชายหนังหนาเดินกระแทกหลังไหล่ฉันไป พลางนั่งลงแบบหน้าด้านๆ

“โอ๊ะ ขอโทษครับคุณหมอคนสวย สงสัยคุณหมอต้องไปนั่งพื้นซะแล้ว”

ไอ้บ้าฮัลวอลมันพูด พลางชี้นิ้วที่พื้น ไม่ทันได้อ้าปากด่า เพื่อนของเขาอีก 3 คนก็เดินตามมาติดๆ แล้วนั่งลงเช่นกัน

“แบ่งๆ กันนั่งก็ได้ครับหมอ พวกผมมีแค่ 4 คน โต๊ะตั้งใหญ่ เนาะๆๆ”

หนึ่งในนั้นพูดพลางหลิ่วตาใส่กัน ฮัลวอลยักคิ้วใส่ฉัน แล้วขยับตัวเล็กน้อยเหลือ (เศษ) ที่ว่าง ให้ตูดข้างนึงของฉันได้กองบนเก้าอี้

แม่งเอ้ยโต๊ะอื่นก็เต็ม พี่อุนกูซื้อข้าวแล้วด้วย ยังไงก็ต้องนั่งแหละวะ ฉันยิ้มแหยๆ ให้พวกคุณชายโฉดแก๊งนั้น ก่อนจะนั่งลงรอพี่หมออุนกู

“มาแล้วครับบบ” พี่อุนกูยกอาหารเต็มถาดมาให้

“โอ๊ะ หนักหรือเปล่าคะ เดี๋ยวดายอนช่วย”

“ไม่เป็นอะไรครับ น้องดายอนนั่งเลย”

ฉันยิ้มหวานให้แทนคำขอบคุณ หลังนั้นเราก็เริ่มลงมือกินอาหารและคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ พี่อุนกูก็หันไปถามฮัลวอลที่นั่งเคี้ยวเอื้องตุ้ยๆ อยู่

“เอ๊ะ คุณพนักงานที่นิ้วบาดเจ็บใช่ไหมครับ”

“..ครับ”

“แผลดีขึ้นไหมครับ”

“ดีครับ ผมได้หมอดี” ฮัลวอลพูด แล้วเบนสายตาที่ดูมีอะไรมาทางฉัน

“ขอบคุณที่ชมค่ะ”

“คุณหมอดายอนนี่ก็หลงตัวเองเหมือนกันนะครับเนี้ย ...พอดีผมไปล้างแผลที่คลินิคนอกทุกเย็นน่ะครับ ที่นั่นดูแลดี พยาบาลก็สวย คุณหมออุนกูอยาก

ไปไหมครับ ผมจะแนะนำให้”

ไอ้กระบือท้ายทุ่งนี่มันแกล้งหักหน้าฉัน! กรี๊ดดด..ฉันเปล่าหลงตัวเองนะยะ! พอรู้ว่ากำลังถูกคนอื่นขำใส่ ฉันก้มหน้าก้มตากินข้าว รีบกลืนจนสำลักซุปกิมจิ แสบร้อนไปทั้งลำคอ

“อึก แค้กๆๆ นะ น้ำ แค้กๆ…”

ฉันชี้มือไปที่คอตัวเองเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พี่หมออุนกูรีบลุกขึ้นมาลูบหลัง และส่งน้ำให้ดื่ม

“แค้กๆๆ ....เฮือก” ฉันสูดหายใจเข้าทันทีที่ความแสบร้อนนั้นเบาลง

“เป็นไงบ้าง เล่นซะพี่ตกใจเลย”

“แหะๆ รีบกินไปหน่อยค่ะ”

“เฮ้อ พี่ก็ห่วง คิดว่าเราจะหายใจไม่ออกซะแล้ว”

“ถ้าคุณหมอหายใจไม่ออก ผมรับทำ CPR ให้นะคร้าบบบบ”

เพื่อนของฮัลวอลพูดติดตลก เสียงหัวเราะรับมุกดังได้เพียงกลั้นหายใจ เขาหันขวับจ้องเขม็งไปที่เพื่อนตัวดี ก่อนจะวางช้อนกระทบจานจนเสียงดังแล้วลุกหนีไปทันที

“อะไรของมันวะ สองสามวันนี้เป็นผีบ้าหรอ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย”

เพื่อนบ่นอุบ มองตามหลังคนตัวสูงที่เดินลิบๆ ไปแล้ว

“สงสัยเมียทิ้งมั้ง ฮ่าๆ”

“ไอ้ฮัลวอลมันมีเมียซะทีไหน”

“มีดิ เมียเช่ามันอ่ะ”

“อ่อ อันนั้นก็คงนับคนไม่ถูกเลยมั้ง”

ทั้งแก๊งนินทาฮัลวอลเชิงติดตลก ไม่มีแฟนแต่ซื้อกินหรอ ก็สมแหละ นิสัยแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนจะเอา น่าแขยงเป็นบ้า.. ฉันทิ้งสายตาจากเขา กินข้าวต่อจนอิ่ม แล้วจึงชวนพี่อุนกูกลับห้องพยาบาล

“เอ่อ ดายอน..”

“คะ?”

“พรุ่งนี้สลับเวรกับพี่ได้ไหม พอดีพี่มีธุระที่บ้านด่วนน่ะ”

“อ่อ ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้ดายอนเข้าเที่ยงเลิกเช้าเลยใช่ไหมคะ”

“ครับ พี่ขอโทษที่รบกวนนะ”

“ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ดายอนว่าจะขอสลับอยู่ สงสารพี่อุนกูอยู่เวรดึกทุกวัน”

“ครับ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ ครับ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน”

“ปลาไหลย่างได้ไหมคะ ไม่ได้กินนานแล้ว ฮ่าๆๆ”

“ได้ครับ เอาไว้ วันไหนเราเลิกงานพร้อมกัน ค่อยไปเนอะ”

“ค่ะ”

ฉันรับคำพี่อุนกู ก่อนจะนั่งตรวจเช็คยาต่อ จริงๆ พี่อุนกูก็นิสัยดีนะ เป็นสุภาพบุรุษ พูดจาเพราะ บุหรี่ไม่แตะ เหล้าไม่ดื่ม ใครจะประเสริฐไปกว่านี้อีก หรือฉันจะลองจีบพี่อุนกูดีล่ะ

“พี่อุนกู มีแฟนอยู่ไหมคะ” จู่ๆ ฉันก็โพล่งถามออกมาเหมือนคนไม่มีสติ

“ครับ?? ...เอ่อ ถามทำไมหรอครับ”

“ผะ เผื่อเราไปกินข้าวข้างนอก ดายอนไม่อยากให้พี่มีปัญหาน่ะค่ะ”

ฉันรีบแถถลอกทันทีที่รู้ตัวว่าถามเรื่องน่าอายออกไป พี่อุนกูมองฉันด้วยใบหน้าซื่อๆ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ชวนใจละลายออกมา

“ไม่มีหรอกครับ …จะจีบพี่หรอ”

“กะ ก็บอกว่า ไม่มีอยากให้พี่มีปัญหาไงคะ”

“ฮ่าๆ จะจีบพี่ก็ไม่ติดนะ”

“...”

“หรือถ้าเราไม่จีบ เดี๋ยวพี่จีบเราเอง”

อร้ายยยยย เป็นการหยอกเล่นที่รุนแรงมากค่ะ ฉันหลบตาพี่อุนกู ก้มมองเอกสาร สมองประมวลผลไม่ทันว่าควรตอบอะไรให้ดูเหมาะสมกับจริตมารยาหญิง เขาพูดเล่นหรือพูดจริงน่ะ จะจีบ งั้นหรอ..หรือว่านี่จะเป็นรักครั้งใหม่ของฉันกันนะ

หลังเลิกงานแล้ว ฉันมานั่งรอแท็กซี่หน้าป้ายบริษัทเหมือนเดิม

เปาะ แปะ ~~ ซ่าาาา

“บ้าเอ้ย! จะตกอะไรตอนนี้”

ฉันบ่นพึมพำ ก่อนจะวิ่งไปหลบที่ป้ายรถเมย์ ฝนกระหน่ำมาไม่ยั้ง จะกลับเข้าไปในบริษัทฉันก็ตัวเปียกชุ่มอยู่ดี ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะยืนรอรถหรือกลับเข้าบริษัท ก็มีรถเก๋งสีดำมาจอดเทียบข้างฟุตบาต เขาลดกระจกลง ฉันแอบก้มไปมองก็ต้องหันหน้าหนี เพราะมันคือไอ้บ้าฮัลวอล

“ขึ้นรถ”

“....”

“เธออยากยืนเป็นหมาตกน้ำอย่างนั้นหรอ”

“...”

ฉันไม่ตอบ แถมเมิน แกล้งมองรถแท็กซี่ ก้มเล่นปลายนิ้วตัวเอง เขาไม่รอคำตอบเปิดประตูวิ่งผ่าฝนมากระชากแขนฉัน แล้วจับยัดเข้ารถ

“ว้าย ..นี่นาย!!!”

ไม่ทันได้ด่าเต็มคำ ฮัลวอลวิ่งอ้อมไปฝั่งคนขับ ก่อนจะขึ้นมานั่ง โดยที่หัวเปียกชุ่ม น้ำหยดติ๋งๆ ลงบนเบาะ

“บอกดีๆ ไม่ค่อยจะเชื่อ” เขาบ่นพึมพำ

“ฉันไม่ได้ขอขึ้นรถนายซะหน่อย”

“เธอจะยืนงั้นจริงดิ แล้วสภาพอากาศอย่างนี้ คิดว่าแท็กซี่จะวิ่งหรอ”

“ฉันรอทุกวัน เดี๋ยวเขาก็วิ่ง”

“เถียงคำไม่ตกฟาก”

“...”

ทั้งรถตกในบรรยากาศเงียบ ชนิดแบบที่ชวนอึดอัด หายใจไม่เต็มอิ่ม มีเพียงเสียงเพลงสากลเคล้าคลอกับบรรยากาศฝนพลำข้างนอก

“ถ้ายังไม่บอกทาง ฉันจะพาเข้าโรงแรมนะ” ฉันหันขวับไปจ้องหน้าเขา

“ไปที่….”

ฉันบอกที่อยู่เสร็จสับแล้วก็นั่งเงียบเช่นเดิม ฮัลวอลหันมามองฉันเป็นระยะ พลางถอนหายใจซ้ำๆ ก่อนจะเริ่มชวนคุย

“จะแวะซื้ออะไรกินไหม”

“ไม่”

“ย้ายที่อยู่หรอ”

“อืม”

“แถวนั้นแออัดมากเลยนะ”

“อืม”

“เธอตั้งเป้าหมายชีวิต ให้คุยครั้งละคำเท่านั้นหรอ”

“เปล่า”

“ดายอน…”

“เลิกเรียกชื่อฉันแบบนั้นได้แล้ว”

ฉันเริ่มน้ำตาคลอทันทีที่ชื่อฉันออกจากปากเขา ถ้าจะเล่นบทแค่คนรู้จักกัน เขาก็ควรเรียกฉันว่าคุณหมอ หรือคุณคิม ไม่ใช่ดายอน

เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันอึดอัดกับการกระทำของเขา ฮัลวอลจึงไม่พูดอะไรต่อ เราทั้งคู่นิ่งเงียบใส่กัน จนถึงหน้าปากซอยซึ่งฝนหยุดตกพอดี

“จอดตรงนี้แหละ ทางมันแคบรถเข้าไปไม่ได้ ขอบใจที่มาส่ง...”

“เดินไปไกลไหม”

“ประมาณครึ่งกิโล ทำไม”

เขาไม่ตอบ แต่จอดรถและมองทางซอยแคบๆ ที่สลัวจากแสงไฟข้างทาง

“มันมืด แถมเปลี่ยวด้วย เดี๋ยวเดินไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”

“ดื้อแม่งทุกเรื่อง”

“นี่นาย!!!”

ฮัลวอลไม่ฟังคำบ่น เขาคว้ามือฉันจูงเข้าซอย แม้จะขืนตัวไว้ก็สู้แรงเขาไม่ได้ สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เขาทำตามที่ต้องการ เมื่อเห็นว่าฉันหยุดสู้ เขาก็คลายมือหลวมๆ ฉันรีบสะบัดออก ก่อนจะเดินนำหน้าไปเงียบๆ

อยากไปส่งก็เดินนิ่งๆ สิยะ ! จะมาจับมือถือไม้ทำไม

เราเดินมากันเรื่อยๆ จนใกล้ถึงห้องเช่าบนดาดฟ้าน้อยๆ ของฉัน เพียงระยะมุมเดิม สองขาหยุดชะงักด้วยใจที่สั่นกลัว กลุ่มชายร่างท้วม 3-4 คนเจ้าเดิม ยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องเช่า

“หลบก่อน!”

ฉันกระซิบและจับมือผู้ชายร่างโตเบียดเข้าไปในซอกกำแพงที่ฉันซ่อนเป็นประจำ...ไอ้พวกนั้น มันมาอีกแล้ว

“อะไรของทะ…อุ๊ป!”

ฉันเอามือน้อยๆ ปิดปากฮัลวอล เพราะกลัวพวกมันได้ยิน เจ้าตัวยืนมองฉันพลางขมวดคิ้วใส่ ฉันยกมืออีกข้างมาทำท่าจุ๊ๆ ปาก

“..แม่งเอ้ย กูรอจนหดไปสามรอบแล้ว”

“กูว่าไปฉุดแม่งเลยดีกว่า จบๆ ไป มายืนรอแบบนี้เสียเวลาชิบ”

“แหม่ อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นสิวะ พวกมึงไม่เห็นหรอ ห้องพร้อม ของพร้อม รออีนั่นมาเท่านั้น”

“มากี่ครั้งก็ไม่เจอ กูว่าแม่งหนีไปแล้ว”

“ไม่หนีหรอก อีนั่นจะไปไหนได้ บ้านตัวเองก็ไม่มี หนี้ก็ท่วมหัว แม่ก็เสือกป่วยติดโรง’บาลอีก”

“เออว่ะ … เฮ้ย พวกมึง เจ๊ตาม กลับก่อนเว้ยวันหลังค่อยมา”

“เซ็งชิบ กูอุตส่าห์พกถุงยางมา ...ไปๆๆ เดี๋ยวเจ๊หักเงินอีก ยิ่งหน้าเลือดอยู่”

ฉันรอจนสิ้นเสียง ถึงค่อยๆ ชะเง้อคอออกมาดู ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันหันมามองฮัลวอล สองร่างยืนแนบชิดกันในซอกแคบๆ รีบเอามือที่ปิดปากเขาลง แล้วเกาคอแก้อาย

“ใคร..” ฮัลวอลถามเสียงเรียบ ขมวดคิ้วจ้องฉันเหมือนเป็นนักโทษ

“....”

“ไอ้พวกเมื่อกี้ ที่เธอหลบ คือใคร” เขาเน้นย้ำทีละคำ

“กะ แก๊งเจ้าหนี้น่ะ”

“ติดไว้เท่าไร”

“ก็ ..ไม่เยอะหรอก”

“ฉันถามว่าเท่าไร!” เจ้าตัวเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน จนต้องก้มหน้างุดด้วยความกลัว

“เหลืออีกประมาณ 30 ล้านวอน” (**ประมาณ 8 แสนบาทไทย)

“ชิบ…เธอเอาเงินไปทำอะไรเยอะขนาดนั้นวะ”

“ฮึก… ระ รักษาแม่”

เสียงสั่นเครือตอบด้วยความรู้สึกหลากหลาย ฉันน้ำตาไหลด้วยความกลัว อับอาย และเจ็บใจที่ถูกไอ้พวกชั่วนั่นวางแผนจะเล่นสกปรก แถมฮัลวอลยังมารับรู้เรื่องพวกนี้อีก

“เฮ้อ ดายอน...”

ฮัลวอลถอนหายใจและเรียกชื่อฉันเบาๆ เขาทิ้งความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ทิ้ง ดึงตัวฉันเข้าไปกอด มือหยาบนั้นลูบแผ่นหลังบางซ้ำๆ ชั่วพริบตาจากความดำมืดในชีวิตกลับพบแสงสว่างที่อบอุ่น ฉันปล่อยให้น้ำตาพลั่งพลูออกมาอย่างห้ามไม่ได้

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ถูกกอดอ่อนโยนแบบนี้…

“ฮึก ..ฉะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา ฉันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ดันตัวออกจากอ้อมกอดจากนั้นหันหลังเตรียมขึ้นบ้าน ฮัลวอลยังเดินตามฉันมาจนถึงประตูชั้นดาดฟ้า

“ฉันจะเข้าบ้านแล้ว นายกลับไปเถอะ”

“จะไม่ชวนแขกเข้าบ้านหน่อยหรอ”

ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เพื่อเตรียมว๊ากคนเล่นไม่รู้เวลาล่ำเวลา แต่ต้องเป็นฝ่ายชะงักซะเอง เพราะสายตาเขานิ่ง ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ประหนึ่งว่าเขากำลังพูดจริงอยู่

“หะ ห้องมันเล็กน่ะ ไม่มีอะไรให้นายเข้าไปดูหรอก”

“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยสิ..”

ฮัลวอลยังยืนยันที่จะเข้าห้องฉันให้ได้ ถึงจะไม่เข้าใจจุดประสงค์นั้นแต่เขาคงไม่คิดที่จะทำอะไรบ้าๆ กับฉันในสภาพนี้หรอก อีกอย่าง.. ถ้าเห็นว่าฉันจนขนาดนี้ เขาคงจะถอดใจและไม่อยากรู้จักฉันไปเลยก็ได้

ฉันตัดสินใจยอมให้ฮัลวอลเข้ามาในบ้าน ทันทีที่ประตูถูกเปิด เขาก้าวเข้ามาช้าๆ ศรีษะของเขาห่างจากฝ้าเพดานไม่กี่เซ็น ฮัลวอลเห็นสภาพความเป็นอยู่ของฉัน ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ

สภาพห้องเล็กๆ ที่เรียกได้ว่าเล็กมาก ไม้ฝาผนังเก่า สีลอก บางส่วนผุ บางส่วนขึ้นรา โครงเหล็กราวผ้าที่ถูกแขวนชุดทำงานและชุดนอนไว้ไม่ถึง 10 ตัว ที่นอนฟูกแบบบางติดพื้นถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย มุมประตูมีโต๊ะตั้งพื้นญี่ปุ่นสำหรับวางมาม่ากับกาต้มน้ำร้อน มันคือห้องครัวของฉันเอง

…น่าอายชะมัด

“เธอ… อยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” เขาถามโดยที่ยังยืนทำท่ากุมขมับอยู่

“หลังแม่ป่วย น่าจะประมาณปีนึง ฉันต้องใช้เงินในการทำคีโมให้แม่ เลยลดการเป็นอยู่ของชีวิตตัวเองลงน่ะ”

“แล้วอยู่แบบนี้ คนเดียวมาตลอดเลยหรอ”

“อืม”

นัยย์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นไร้ความหมาย มันจ้องลึกเหมือนกำลังขุดคุ้ยหาความเป็นคนในซากหลุมเก่าๆ ยิ่งจ้องมันนานเท่าไรฉันยิ่งรู้สึกต่ำเรี่ยดินฉันเลือกที่จะหลบตาเขา เม้มปากไว้แน่น ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ยัยบ้า! ลำบากขนาดนี้ ทำไมถึงทำตัวเหมือนคนมีความสุขได้อีกวะ”

ฉันแยกไม่ออกว่าประโยคนี้มันกำลังชมเชยที่ฉันเก่งหรือสมเพชที่ฉันมีชีวิตเช่นนี้ ฮัลวอลดึงฉันเข้าไปกอดอีกรอบ ครั้งนี้ฉันทนไม่ไหวจริงๆ

ฉันปล่อยโฮออกมาเสียงดังอย่างไม่อายใคร สองแขนเล็กๆ นั้น กอดตอบไม่มีคำพูดใดๆ ออกมานอกจากเสียงสะอื้น

“ฉะ ฉัน ไม่รู้... ฮือออ จะพึ่งใครแล้ว”

“ฉันไงวะ ทำไมไม่บอก ไม่ขอความช่วยเหลือฉันล่ะ”

“ฉันอายนิ.. ตอนนั้นเราเลิกกันไปแล้ว ฉันจะไปขอให้นายช่วยได้ไง”

“เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันได้ไหมวะ”

“..ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับนายสักหน่อย”

“…..”

ฮัลวอลนิ่งไปชั่วขณะ ฉันเริ่มสั่นไหวกับความรู้สึกตัวเอง รีบคลายอ้อมกอดลง พลางชี้ไปทางประตูเล็กๆ ที่แทบจะตะแคงตัวเข้าให้เขามองตาม

“ห้องน้ำอยู่นั่น แคบหน่อยนะ”

“ไม่เข้าละ เก็บของ...”

“เก็บอะไรนะ”

“ของจำเป็นเธอน่ะ …ไม่งั้นทิ้งหมดนี่เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”

หืม?!!เก็บของ!?? ทิ้ง?!!ซื้อให้ใหม่??!! ....มะ หมายความว่าไงน่ะ

“มัวยืนอึ้งอยู่ได้ ถ้าไม่เก็บ ก็ไปกันได้แล้ว”

ยังไม่ได้คำตอบจากคำพูดชวนเข้าใจผิดของเขา ฮัลวอลคว้าข้อมือฉันลากไปทางประตูห้อง

“เดี๋ยว!!... ไปไหน”

“ไปคอนโดฉัน”

“คอนโดนาย?? ไปทำไม”

“ฉันทนเห็นเธออยู่สภาพแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“มะ ไม่เอา.. ฉันไปไม่ได้ ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าคอนโดของนายหรอก”

“ก็ไม่ได้จะคิดเงินอยู่แล้ว คอนโดฉันมีห้องว่างห้องนึง จะยกให้”

“ห้ะ ยะ ยกให้หรอ…”

ฉันขมวดคิ้วใส่ เพราะสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันมีเงินซื้อคอนโดใหญ่หลายห้องเลยหรอ หรือนี่กำลังหลอกซ้ำเติมฉันกันแน่

“เออ.. ให้อยู่ฟรี เข้าใจยัง”

“แล้วนายได้อะไร”

“เธอจะให้…อะไรฉันล่ะ”

เกือบจะซึ้งในความดีแล้ว จู่ๆ นิสัยบัดซบของเขาก็กลับมาอีก ฉันสะบัดมือทิ้ง ผายมือส่งๆ ไปทางประตู

“ไม่มี… ไม่มีอะไรให้ทั้งนั้น นายกลับไปเถอะ ฉันจะนอนแล้ว”

ไม่พูดเปล่า ฉันดันหลังใหญ่เพื่อไล่แขก เขาขืนตัวไว้แล้วหันหน้ามาอย่างเร็ว จนใบหน้าสวยๆ ของฉันจุ่มลงบนอกกายกล้ามเป็นมัดๆ ของเขา

พรึ้บ!

“ฮัลวอล เลิกเล่นได้แล้ว...ปล่อย”

เจ้าตัวกอดเอวฉันแน่น ดึงกระชับจนลมหายใจของเขาเป่าลดผิวแก้ม ตอนนี้เราแทบจะรวมร่างกัน เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ใช้ปลายจมูกโด่งนั้นโฉบเฉี่ยวที่พวงแก้มเป็นการหยอก

“แลก…อืมมม งั้นเธอก็เป็นแม่บ้านให้ฉันสิ”

“มะ แม่บ้านหรอ”

“อืม ฉันไม่ชอบให้คนอื่นเข้าห้องน่ะ แต่ถ้าเป็นเธอฉันก็โอเค”

“แม่บ้านที่ทำงานบ้าน จริงๆ ใช่ไหม”

ฉันถามย้ำ ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เพราะกลัวเขาพลิกลิ้นเล่นตลกกับฉันอีก

“ก็จริงนะสิ ซักผ้า ทำความสะอาด ทำอาหาร แลกกับที่พักชั้นดี น้ำไฟฟรี”

“....”

ฉันนิ่งเพื่อพิจารณา คือเงื่อนไขดีเลยแหละ ฉันจะประหยัดค่าห้องไปอีกนิด ค่าน้ำค่าไฟไปอีกหน่อย แต่ติดตรงที่ ต้องกลับไปวนเวียนในชีวิตของฮัลวอลอีก

“แต่ถ้าเธออยากจ่ายค่าห้องโทรมๆ นี่ กับเจอพวกแก๊งบ้ากามอย่างเมื่อกี้ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”

เขาคลายอ้อมกอด ทิ้งชนวนที่น่ากังวลและหันหลังเตรียมเปิดประตู

“เดี๋ยว..!!” ฉันคว้าดึงชายเสื้อของเขาไว้

“…..”

“มะ แม่บ้าน จริงๆ นะ”

“อ่าฮะ”

“ห้ามบอกใครนะ ว่าเราอยู่คอนโดเดียวกัน”

“...”

“รับปากสิ”

“เธอกลัวใครจะรู้หรอ”

เขาถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงของเขาฟังดูดุและมีความหงุดหงิดอยู่ในนั้น

“ฉันไม่อยากให้ที่ทำงานคิดเรื่องพวกเราเสียๆ หายๆ น่ะ อีกอย่างฉัน…”

....กลัวว่าจะหวั่นไหว กับนายอีก

“อืม จะอะไรก็เรื่องของเธอ”

“ขอบคุณ...”

“ไปได้หรือยัง ฉันหิวข้าว”

“อ้ะ เก็บของแป๊บนึงสิ”

ฉันรีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าเป้ แล้วเก็บของยัดใส่ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ฉันก็เคลียร์ห้องเรียบร้อย เพราะแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไร เลยทำให้ฉันขนย้ายสะดวก

ด้วยความที่ฉันโครมครามไปหน่อย ป้าเจ้าของขึ้นมาดู ก็ต้องตกใจกับผู้ชายร่างสูง ยืนสูบบุหรี่ข้างนอกประตู

“เจ้าหนี้ยัยแม่หนูดายอนอีกแล้วหรอ” ป้าถาม

“เปล่าครับ”

“เอ้า แล้วใครล่ะนั่น”

“เพื่อนครับ”

“เอ๋ เด็กคนนั้นมีเพื่อนกับเขาด้วยหรอเนี้ย นึกว่าจะไม่มีใครคบซะอีก”

“.....” เขาช้อนสายตามองป้าด้วยสีหน้าเรียบตึง

“แล้วทำอะไรโครมคราม เสียงดังไปถึงข้างล่างเลย”

“เธอกำลังเก็บของครับ คงใกล้เสร็จแล้ว น่าจะไม่เกิน 10 นาที”

“จะเก็บของไปไหนกันล่ะ” ป้ายังยิงคำถามไม่หยุด

“ผมจะให้เธอย้ายออกครับ พอดีได้ที่อยู่ใหม่ให้เธอ... ดีกว่านี้”

“หืม จะมีปัญญาจ่ายเรอะ ห้องโทรมๆ อย่างนี้ยังติดไว้แทบทุกเดือนเลย นี่เจ้าหนี้ก็มาตามทุกวัน จนคนแถวนี้กลัวกันไปหมดแล้ว”

“ยังติดไว้เท่าไร ผมจ่ายเองครับ”

ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดป้าเจ้าของห้องเช่าเท่ารูหนูนี้ เพราะนางใช้คำพูดคำจาเหมือนดูถูกอดีตแฟนสาวของเขา ฮัลวอลทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและขยี้จนแหลกคาปลายเท้า

“สรุปเป็นเสี่ยเลี้ยงหรอเนี้ย แหม เสนอให้เสี่ยเลี้ยงตั้งนานมัวเล่นตัวไปได้ สุดท้ายเพื่อเงินก็ต้องยอมทำแหละเนาะ ว่าแต่ ให้เด็กนั่นเดือนละเท่าไรล่ะ”

“ป้าครับ…”

ฮัลวอลถอนหายใจ และเดินช้าๆ ไปที่ป้า จนป้าแอบถอยหลังหนีด้วยความหวั่นๆ เขาควักกระเป๋าเงินใบหนาออกมา ก่อนจะหยิบเงินฟ่อนใหญ่ยัดใส่มือป้า

“เก็บไว้จัดงานศพนะครับ”

“อะ ไอ้เด็กนี่!”

ป้าตาลุกวาวมองเงินฟ่อนใหญ่ในมือ มันมากกว่าที่นางเจ็บค่าเช่าของดายอนทั้งปีซะอีก ถึงแม้จะเจ็บใจต่อความหยาบคายนั้น ก็ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆ อยากจะด่ากลับแต่กลัวเขาจะดึงเงินคืน ป้ารีบกำเงินแน่นแล้ววิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

“เสร็จแล้ว..อะ เอ๋ หลังลิบๆ นั่นป้าเจ้าของหรอ เดี๋ยวฉันไปบอกป้าแกก่อน..”

“ไม่ต้อง” ฮัลวอลดึงข้อแขนฉันไว้

“....”

“ฉันบอกให้แล้ว แล้วก็จ่ายเงินที่ค้างให้แล้วด้วย”

“จะ จ่ายให้ด้วยหรอ ..เอ่อ งั้นเดี๋ยวฉันทยอยคืนเงินให้นะ”

“อืม ตอนนี้ไปกันได้หรือยัง”

“อื้ม”

ฮัลวอลคว้ากระเป๋าเป้ใบโตที่ถูกยัดทรัพย์สินอันมีค่าน้อยนิดของฉันไปสะพาย ฉันหันกลับไปมองห้องเช่าที่อยู่มาตั้ง 3 ปี วันนี้จู่ๆ ก็ทิ้งมันไป ถึงจะมีแต่ความขื่นขมคับห้องนั้น ยังไงซะมันก็เป็นสถานที่เดียวที่ย้ำว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และต้องดิ้นรนมากกว่านี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel