ตอนที่ 7 : เหล่าคุณชายสมองทึบ 1/2
ตอนที่
[4]
เหล่าคุณชายสมองทึบ
ช่างเป็นภาพที่น่าขบขันเสียจริง
นางรีบขึ้นไปหยิบกระบุงที่ห้องทำงานของพี่ฮวนแล้วรีบลงมาเพื่อที่จะได้ไปคุยธุระกับครอบครัวตระกูลฝานต่อ เมื่อนางลงมานางก็ไม่พบเงาของทั้งสามแล้ว คงเมาแล้วกลับจวนของตนไปแล้วกระมัง นางจึงเลิกสนใจพวกเขาแล้วรีบไปทำธุระของตนทันที การพูดคุยกับตระกูลฝานเป็นไปได้ด้วยดี พวกเขาดีใจมากที่จะมีผักชนิดใหม่เพื่อนำไปขายอีกแล้ว กล่าวว่าตระกูลฝานนั้น
ยามนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว พวกเขากลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลเพราะได้ติดต่อค้าขายกับโรงผักเซียนสวรรค์โดยตรง และมีสิทธิ์ที่ได้ขายรอบนอกเมืองหลวงที่เป็นรายใหญ่เพียงผู้เดียว จากผู้เร่ร่อนกลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ ในเมืองหลวงภายในระยะเวลาหนึ่งปี นี่มันช่างไม่เลวเลย....
กล่าวตามตรงเรือนของพวกเขาดูใหญ่โตกว่าบ้านของนางเสียอีก
เมื่ออธิบายทุกอย่างเสร็จสรรพเกี่ยวกับแผนการขายในรอบต่อไป นางจึงขอตัวกลับ แม้พวกเขาจะอยากรั้งตัวนางไว้เพื่อให้รอกินอาหารเย็นด้วยกันมากเพียงใดก็ตาม มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเจ้าของโรงผักเซียนสวรรค์คือผู้ใด และพวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มคนที่รู้
สำหรับสามพ่อแม่ลูกตระกูลฝาน ที่วันนี้นายหญิงมาถึงเรือนทั้งที จะไม่อยากรั้งไว้ได้เช่นไร โดยเฉพาะอาจี๋ หรือฝานเสี่ยวจี๋ บุตรชายวัยสิบขวบปีที่เทิดทูนเหยาลี่ซือเหนือกว่าสิ่งใด เพราะนางเปรียบเสมือนกับนางเซียนที่มาชุบชีวิตของพวกเขาให้เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี ไม่ต้องทนหิวท่ามกลางอากาศเย็น ๆ กับความอ้างว้างอีกต่อไป
แต่เจตจำนงในการซื้อขนมน้ำตาลของนายหญิงนั้นแกร่งกล้ากว่า พวกเขาจึงต้องยอมว่าพวกตนคงทำอันใดมากไม่ได้
เหยาลี่ซือเมื่อออกมาจากเรือนของตระกูลฝานก็รีบไปซื้อขนมน้ำตาลแสนอร่อยให้มารดาทันที เมื่อซื้อเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านของตน แต่อยู่ดี ๆ นางก็นึกขึ้นได้ ว่าอยากจะกลับอีกทาง เพราะมีบางอย่างที่นางต้องไปดูเพื่อเพิ่มกำลังใจของตนอีกที
นางเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ชมนก ชมไม้และบรรยากาศในยุคสมัยที่ไม่มีมลพิษมีแต่ความสดชื่น สดใส ที่มักจะหาได้ยากจากโลกก่อน นางอารมณ์ดีมากจนเผลอฮัมเพลงในลำคอเบา ๆ จวบจนกระทั่งสายตาของนางเหลือบไปพบบุคคลที่คุ้นตาที่นางลืมพวกเขาไปแล้ว
บุรุษอาภรณ์ฟ้า อาภรณ์เขียวและอาภรณ์เหลือง...........
นี่มันกลุ่มบุรุษแปลกที่ภัตตาคารอิงเว่ยนี่!
มายืนทำหน้าตาเหลอหลาอันใดริมแม่น้ำกัน และนั่น....บุรุษหลงตัวเองกำลังจะกระโดดน้ำหรือ!
บ้าไปแล้ว!
นางไม่ได้อยากจะสนใจอันใดพวกเขา เพราะต่อให้บุรุษหลงตัวเองผู้นั้นโดดลงไปจริง สหายทั้งสองของเขาก็คงจะกระโดดลงไปช่วยอยู่ดี....กระมัง
แต่เหมือนว่านางจะคิดผิด
เพราะเมื่อบุรุษผู้นั้นโดดลงไปแล้ว สหายทั้งสองเขานอกจากจะไม่กระโดดลงไปช่วยแล้ว ยังวิ่งสลับกันไปมาราวกับหนูติดจั่นอีกด้วย นอกจากท่าทางที่ดูตกใจ คิดหนักและวิ่งไปมาเช่นนั้น พวกเขาคิดจะทำอันใดอีกหรือไม่
ส่วนผู้ที่อยู่ในน้ำนั้นบ้างก็ตะเกียกตะกาย บ้างก็จมลงไป
นางจากที่ไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวก็ต้องยุ่งอย่างไม่เต็มใจ
“นี่! เหล่าบุรุษสมองทึบ เหตุใดจึงไม่รีบไปลงช่วยสหายของพวกเจ้ากัน!”
“แม่นาง!!”
จิ้นปู้และอานฉวน จากที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะช่วยสหายอย่างไร แต่เมื่อมีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ยามนั้นพวกตนก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ราวกับได้พบทางออก
“แม่นางช่วยสหายของพวกข้าที พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็น!”
“หา!”
เป็นบุรุษแต่ว่ายน้ำไม่เป็น นี่พวกเขา....นางละเหลือเชื่อจริง ๆ
ว่ายไม่เป็นแต่ก็ไม่ตามผู้อื่นมาช่วย
หากพวกเขาไม่คิดร้ายต่อบุรุษหลงตัวเอง นั่นก็หมายความว่า พวกเขาสมองทึบโดยแท้จริง!
เหยาลี่ซือจัดการปลดสัมภาระที่อยู่ด้านหลังของตนรวมถึงถอดรองเท้าออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรีบกระโดดลงน้ำไปทันที นางว่ายน้ำด้วยความรวดเร็ว จนเมื่อไปถึงบุรุษหลงตัวเองแล้ว นางก็รีบจับตัวเขาเอาไว้ แต่เขานอกจากจะไม่ยอมรับการช่วยเหลือ ยังกล่าวอ้อแอ้และสะบัดกายหนีนางอีกด้วย
เมามายถึงเพียงนี้.....
ไม่ช่วยได้หรือไม่ พยศดีนัก!
แต่ความเป็นคนดีมันค้ำคอ นางจึงจัดการล็อกตัวอีกฝ่ายแล้วพยายามลากเขาเข้าฝั่งทันที และด้วยการที่เขาขัดขืนมาตลอดทาง นางก็แอบซัดหมัดเข้าที่กายของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ไปหลายครั้งเช่นกัน
แต่สุดท้ายพาเขาเข้าฝั่งได้สำเร็จจนได้ ยามนี้ทั่วทั้งร่างของนางเปียกไปหมด แม้กระทั่งผ้าคลุมหน้าก็หลุดหายไป เมื่อผู้ที่รออยู่เป็นฝั่งเห็นใบหน้าของสตรีปริศนาที่ลงไปช่วยสหายของตน ก็ได้แต่พากันตะลึงงันอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ จนเหยาลี่ซือรู้สึกหงุดหงิดที่พวกเขาไม่มารับตัวสหายตนไปเสียที
ส่วนบุรุษที่ชื่อไจ้เสวียนที่นางจำใจลงไปช่วยนั้น แม้ขึ้นฝั่งแล้วก็ยังมีการขัดขืน และยังกล่าวพึมพำไม่หยุดว่า ‘ข้าด้อยที่ใด ๆ’ ทั้งอาการสะดีดสะดิ้งเหล่านี้ ทำให้นางหมดความอดทนจริง ๆ
โป๊ก!
“โอ๊ยย ผู้ใดตีหัวข้า”
“ข้าเอง!!”
“สตรีป่าเถื่อน เหตุใดมาตีหัวข้า!!” เซียวไจ้เสวียนที่เมื่อครู่ยังคงเมามาย แต่ยามนี้คล้ายความเมาจะเริ่มหายไป สติก็ใกล้จะกลับมาครบถ้วน เพราะแรงตีเมื่อสักครู่นั่นแรงไม่เบา ตาที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่สว่างชัด แต่ก็เห็นลาง ๆ ว่าผู้ที่ทำร้ายเขาเป็นสตรี และคงต้องเป็นสตรีป่าเถื่อนเท่านั้นที่กล้าทำกลับบุรุษรูปงามอย่างเขาเช่นนี้
“เหตุใดจึงอาจหาญมาตีหัวข้า!”
“ตีที่อื่นก็ตีได้ จะลองดูหรือไม่ล่ะ” กล่าวจบนางก็เลื่อนสายตามองต่ำลงไปอีกทันที