ตอนที่ 13 : อยากตอบแทน 1/1
ตอนที่
[7]
อยากตอบแทน
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น นางก็เดินจากไปคล้ายกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น แม้เซียวไจ้เสวียนจะบอกให้นางหยุดรอก่อน แต่นางก็บอกปัดให้เขารีบไปจัดการปัญหาที่เหลือต่อโดยการเบนสายตาไปที่กลุ่มคนที่นอนทับกันอยู่และเมื่อเขาหันมองตามไปยังทิศทางนั้น เขาก็มีสายตาที่เข้มขึ้นแล้วรีบไปจัดการธุระต่อทันที นางรับรู้ได้ว่าเขาไม่พอใจต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก เรื่องเกิดกับเขาก็ให้เขาจัดการไป ส่วนนางเมื่อหมดธุระแล้วก็รีบกลับบ้านไปกินอาหารเย็นกับมารดาเฉกเช่นทุกวัน
เซียวไจ้เสวียนเมื่อกลับมาถึงจวน ก็พบกับทุกคนที่ต่างก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบดำเนินการคุมตัวกลุ่มคนต่างถิ่นเหล่านั้นเพื่อนำไปจัดการในขั้นตอนต่อไปด้วยความรวดเร็วทันที แต่สิ่งที่ทำให้คนตระกูลเซียวนั้นหัวเสียเป็นอย่างมากนั่นก็คือ วันรุ่งขึ้นกลับได้รับเข้าข่าวว่ากลุ่มคนกระทำผิดเหล่านั้น ได้หายไปแล้ว หายไปอย่างหาร่องรอยอันใดไม่ได้! ทั้งที่คุกที่คุมขังก็แน่นหาและมีคนเฝ้ายามมากมายออกปานนั้น กล่าวว่า ต้องมีคนคอยให้การช่วยเหลืออยู่เป็นแน่
ผู้ใดกัน!
เซียวไจ้เสวียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อวานที่เขาโดนทำร้ายในยามนี้ไหล่ที่โดนผลักนั้นยังไม่หายจากรอยเขียวช้ำเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับ...ฮึ่ม
ว่าอย่างไรนะ! หายไปแล้ว คนกลุ่มนั้นนอกจากยังไม่ได้รับโทษแต่กลับหนีหายไปแล้ว
นี่มันใช้ได้หรือ!!
แต่ถึงแม้จะไม่พอใจเพียงใด เมื่อได้รับคำปลอบโยนจากมารดา อารมณ์ที่คุกรุ่นก็คล้ายจะเย็นลงไม่น้อย และสิ่งที่เขานึกถึงอยู่ตลอดอีกเรื่องนั่นก็คือสตรีผู้นั้น แม้ก่อนหน้านั้นนางก็ทำร้ายเขาเช่นกัน แต่นั่นมันไม่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เขาถูกทำร้ายเมื่อวาน และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนางที่ยื่นมือมาช่วยในสถานการณ์อันตรายเช่นนั้น เขาไม่ได้ซาบซึ้งอันใดมากหรอกนะ เพียงแต่...เขาเป็นบัณฑิตหากไม่ขอบคุณผู้ที่ยื่นมาช่วยเหลือ เห็นทีว่าจะใช้ไม่ได้......
แต่เมื่อถามมารดาเกี่ยวกับนางว่านางอาศัยอยู่ที่ใด มารดากลับส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่รู้ เพราะยามพบหน้ากันก็ไม่เคยถามถึงเรื่องเหล่านั้นเลย แต่นั่นก็มีเหตุผลอยู่ นั่นก็เพราะคนส่งผักของโรงผักเซียนสวรรค์มักจะปิดบังข้อมูลที่เกี่ยวกับตน มารดาเลยไม่อยากถามให้นางลำบากใจ
แล้ว....เขาจะไปขอบคุณนางได้อย่างไร
“เสวียนเออร์ เจ้าไม่ต้องคิดมากไป ในงานเลี้ยงเลื่อนขั้นของพี่ชายเจ้า มารดาได้สั่งผักรอบพิเศษกับแม่นางเหยาเอาไว้แล้ว สักสี่ห้าวันนางก็คงจะนำผักมาส่ง เจ้าค่อยรอพบนางยามนั้นแล้วกัน”
อีกสี่ห้าวันข้างหน้าเช่นนั้นหรือ
ด้านเหยาลี่ซือ วันนี้นางค่อนข้างที่จะวุ่นวายตั้งแต่เช้า เพราะด้วยต้องเตรียมการหลายอย่าง วันนี้นางต้องนำผักไปส่งที่จวนตระกูลเซียวเนื่องจากคุณชายใหญ่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขุนนางที่สูงขึ้นอีกขั้น สังกัดเดียวกับผู้เป็นบิดา สังกัดกรมพิธีการ ซึ่งงานจะเริ่มในวันพรุ่งนี้แต่วันนี้นางต้องนำผักไปส่งแล้ว ซึ่งผักครั้งนี้มีมากกว่าทุกครั้ง ดังนั้น นางจะต้องพาคนไปช่วยด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผู้นั้นต้องเป็นอาชาง เมื่อผักชุดสุดท้ายขนขึ้นรถม้าจนครบก็เป็นเวลาออกเดินทางไปที่ตระกูลเซียวทันที
ตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น นางก็ติดตามข่าวอยู่เช่นกันที่ว่ากลุ่มคนต่างถิ่นถูกคนตระกูลเซียวควบคุมตัวไป แต่สุดท้ายก็หนีหายไปจนได้ ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด แต่นางยังไม่อยากสนใจอันใดมากตราบใดที่มันยังไม่เดือดร้อนมาถึงนาง
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปที่ประตูด้านข้างของตระกูลเซียว ครั้งนี้เซียวฮูหยินเตรียมคนมารอรับผักจากนางหลายคน ซึ่งหลายคนก็ดูจะยินดีที่ได้เป็นผู้มารับผักที่ราคาสูงและหายากที่ทั้งเมืองหลวงแย่งชิงกันเช่นนี้ด้วยตนเอง เหตุการณ์เช่นนี้นางพบเห็นมาก็หลายครั้ง จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด
แต่คนที่นางคิดว่าไม่น่าจะได้พบเจอเขาที่จุดส่งผักนี้นั่นก็คือบุรุษผู้นั้น เซียวไจ้เสวียน เขามายืนทำอันใด
มารับผักด้วยหรือ....
“อาชางรีบขนผักไปกันเถิด” แต่นางไม่ได้สนใจเขา ได้แต่รีบบอกให้อาชางขนผักเข้าไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น แต่คล้ายกับเซียวไจ้เสวียนเขาจะไม่ปล่อยนางไป
“นี่ นางมาร งานเช่นนั้นให้บุรุษเป็นผู้ทำไป เจ้าเป็นสตรีจะไปขนผักหนัก ๆ เช่นนั้นทำไม” จากนั้นเขาก็ถือวิสาสะมาจับแขนนางไว้แต่นางก็สะบัดออกอย่างรวดเร็ว และนั่นเขาเปลี่ยนคำเรียกนางแล้วหรือ จากสตรีป่าเถื่อน เป็น ‘นางมาร’
ช่างหาคำมาเรียกจริง ๆ
“ข้าเป็นสตรีที่แข็งแรงมากกกก ท่านลืมไปแล้วหรือ” นางเลิกคิ้วมองเขาให้นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่านางไม่ใช่สตรีอ่อนแอแถมยังล้มบุรุษตัวโตได้นับสิบ แค่ยกผักเพียงเท่านี้เหตุใดจะทำไม่ได้
“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องวางของลงก่อนแล้วให้คนของเจ้าทำแทน เพราะยามนี้ท่านแม่ของข้ารอเจ้าอยู่”
หืม เซียวฮูหยินเช่นนั้นหรือ
เหยาลี่ซือพ่นลมหายใจครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งการกับอาชาง แล้วจากนั้นก็เดินตามบุรุษหลงตัวเองที่ทำท่าทางเชิดหน้าชูคอมือไพล่หลัง ราวกับผู้สูงส่งมากก็มิปานไป ช่างน่าหมั่นไส้นัก!
“นี่ บุรุษผู้นั้นเป็นคนรักของเจ้าหรือ” อยู่ ๆ บุรุษหลงตัวเองก็ถามนางขึ้นระหว่างทางที่เดินไปหาเซียวฮูหยิน
“ผู้ใด”
“ก็คนที่มากับเจ้าอย่างไรเล่า”
“นั่นอาชาง สหายสนิทกับข้า” นางตอบไปอย่างไม่คิดอันใด
“อ่า สหายสนิท” แต่อยู่ดี ๆ เขาก็กล่าวพึมพำไปคนเดียว แล้วก็ไม่ถามอันใดนางอีกเลย
แปลกคน
นางก็อยากจะถามเขาเช่นกันว่าเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาก็ไม่อยากจะสนทนาอันใดกับเขาให้มากความจึงหยุดความคิดเอาไว้
เมื่อเดินถึงที่หมาย เซียวฮูหยินก็ยิ้มกว้างรอรับอยู่ ช่างสดใสงดงามนัก
“แม่นางเหยาทางนี้” คราวนี้อีกฝ่ายเรียกนางให้ไปนั่งข้าง ๆ แม้นางจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ก็ต้องทำเพราะไม่เช่นนั้นเซียวฮูหยินคงได้ตบที่นั่งด้านข้างจนปวดมือเป็นแน่ มือเรียวและดูบอบบางเช่นนั้นให้เป็นอันใดเพราะนางคงไม่ดี
และเมื่อนางนั่งลงข้างอีกฝ่ายเรียบร้อย สตรีใบหน้างดงามก็นำมือของตนมากอบกุมมือของนางพร้อมทั้งเอ่ยอย่างซึ้งใจว่า “ข้าได้ยินข่าวทั้งหมดแล้ว ว่าแม่นางเหยาเป็นผู้เข้าช่วยเหลือเสวียนเออร์และสหาย ข้าซึ้งใจนัก ที่ท่านเป็นเพียงสตรีบอบบางแต่กลับเข้าช่วยเหลือต่อสู้กับบุรุษตัวโตตั้งหลายคนจนได้รับชัยชนะ ทั้งครั้งนี้ยังเป็นการช่วยเหลือเสวียนเออร์เป็นครั้งที่สองอีก”
จังหวะที่เซียวฮูหยินเอ่ยเรียกนางว่าสตรีบอบบาง นางหันไปมองบุรุษที่อยู่ถัดไปก็พบว่าเขากำลังทำปากขมุบขมิบราวกับปฏิเสธบางอย่างและคล้ายอยากจะโต้แย้ง
“ท่านช่างกล้าหาญนัก ข้าขอนับถือ ข้าไม่รู้จะตอบแทนอันใดถึงจะแสดงความขอบคุณที่มีในใจทั้งหมดได้เช่นนั้น.... ก็รับของเหล่านี้ไว้เถิด” กล่าวจบเซียวฮูหยินก็ให้คนยกของออกมามากมายทั้งแพรพรรณและเครื่องประดับ “ของเหล่านี้แม่นางเหยาได้โปรดรับไปเถิด”
นางมองสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี่มันจะมากเกินไปหรือไม่