ตอนที่ 4
เซร่านั้นเคยไปเรียนที่โรงเรียน Saint Helena ตอนปี 1 หากแต่หญิงสาวเรียนได้เพียงปีเดียว ก็ต้องออกมาเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคประจำตัวของเธอกำเริบ
แต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมานั้น เธอก็ไม่เคยขาดการเรียนเลยแม้แต่น้อย เพราะฮิเดกิ เด็กหนุ่มเพื่อนบ้านที่แสนใจดีจะเอา copy แล็คเชอร์แต่ละวิชาที่อาจารย์สอนในแต่ละวันมาให้เธออ่านเป็นประจำ
และการที่เซร่ายังคงสถานภาพเป็นนักเรียนได้อยู่นั้น ก็เพราะว่าผู้อำนวยการ เป็นเพื่อนสนิทของพ่อเธอ
เมื่อถึงเวลาสอบในแต่ละเทอม ผู้อำนวยการจะนำข้อสอบมาให้หญิงสาวทำ ซึ่งเธอสามารถสอบผ่านได้ทุกวิชา เพียงแต่ไม่ต้องเข้าเรียนได้เป็นกรณีพิเศษ
ขณะนี้เซร่าคิดว่าตัวเธอนั้นสามารถที่จะไปโรงเรียนได้แล้ว เธอจึงเอ่ยปากขออนุญาตพ่อกับแม่ของเธอไปโรงเรียน
เพราะตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส เธอรู้จักฮิเดกิเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พ่อคิดว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะสามารถไปโรงเรียนได้นะ”
ท่านทูตเอ่ยปากออกมาอย่างลำบากใจ เพราะเขารู้ว่าลูกสาวของเขาเบื่อกับการอยู่ที่สถานทูตเพียงลำพังโดยที่ไม่มีเพื่อนเล่น
แต่เขาไม่วางใจในโรคประจำตัวของเซร่า ทำให้เขาและภรรยาไม่อยากปล่อยให้เซร่าไปไหนมาไหนลำพังคนเดียว
“แต่พ่อคะ…”
“อ้อนขออะไรพ่อเขาอีกล่ะ เซร่าจัง?”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในขณะที่เซร่ากำลังพูดอยู่กับพ่อของเธอ
“คุณแม่”
“เอ้า! เข้ามาสิจ๊ะ”
หญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของเซร่านั้นหันไปบอกชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ซึ่งยืนถือของเต็มมือเก้ๆ กังๆ อยู่ด้านหน้าประตูของสถานทูต ให้เดินเข้ามา
“ฮิเดกิ!”
เซร่าอุทานออกมาอย่างดีใจมาก เมื่อเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มส่งยิ้มให้กับเซร่า ก่อนจะเอาของส่งให้กับแม่บ้านที่มารับของไป
“พ่อลูกคุยอะไรกับอยู่รึ?”
“เซร่าอยากจะไปโรงเรียนน่ะ”
ฮิเดกิตาโตหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะกล้าพูดกับพ่อของเธอ
“นะคะ แม่ ให้หนูไปโรงเรียนเถอะนะคะ”
“เซร่าจ๊ะ แม่เข้าใจนะที่ลูกอยากไปโรงเรียน แต่ลูกก็ควรจะรู้ ว่าสุขภาพร่างกายของลูกอ่อนแอแค่ไหน คุณหมอก็บอกลูกแล้วนี่ว่า หากรักษาสุขภาพได้ดี ลูกจะสามารถอยู่ได้ถึง 2 ปี แต่นี่ลูกจะดื้อดึงไปโรงเรียน หากเกิดอะไรขึ้น คนที่เสียใจคือพ่อกับแม่นะจ๊ะ ลูกเข้าใจที่แม่พูดใช่มั้ย?”
แม่ของเซร่าอธิบายเหตุผลยืดยาว ก่อนจะถามเซร่าในประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เซร่านิ่งอึ้งไปกับคำพูดของแม่เธอ ฮิเดกิมองเซร่าด้วยแววตาเห็นใจ หญิงสาวนั้นยังจำคำพูดของหมอที่บอกเธอครั้งล่าสุดได้เสมอ
“หนูเซร่าจ๊ะ หัวใจของหนูไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นหนูอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น หมออยากให้หนูรักษาสุขภาพของให้ดีเพื่อให้หัวใจของหนูสามารถใช้งานได้นานเท่าที่จะนานได้นะ”
คำพูดของหมอดังขึ้นมาภายในหัว ตอนแรกเซร่าก็เห็นด้วยกับคำพูดของหมอ ทำให้เธอต้องอยู่แต่ภายในรั้วของสถานทูตมาจนถึงปัจจุบันนี้
แต่ขณะนี้เธอกลับคิดว่า หากเธออยู่ไม่ถึง 2 ปีล่ะ แล้วเวลาที่เธอเหลืออยู่
เธอจะปล่อยให้มันผ่านไปแบบนี้หรือ? ดังนั้นเธอจึง...
“หนูเข้าใจที่คุณแม่พูดและเป็นห่วงค่ะ”
“แต่ว่า….”
เซร่ายังคงพูดไม่จบ ทำให้พ่อกับแม่ของเธอชะงักและมองเซร่าด้วยความแปลกใจ
“หากหนูมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอย่างที่หมอบอกล่ะคะ? แล้วเวลาที่เหลืออยู่ของหนูล่ะคะ? จะให้หนูนั่งรอความตายอย่างนั้นหรือคะ? ”
“ถ้าต้องเป็นแบบนั้น หนูขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีความสุขดีกว่าค่ะ”
เซร่าบอกพ่อกับแม่ของเธอเสียงเรียบๆ แต่แววตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอแสดงออกถึงความจริงจังในคำพูดทุกคำที่พูดออกมา
บรรยากาศเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของแต่ละคนที่พ่นออกมาทางจมูก
พ่อกับแม่ของหญิงสาวนิ่งอึ้งไปถนัดใจ เพราะการที่จะห้ามไม่ให้เซร่าออกไปข้างนอกนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องก็จริง
แต่พวกเขาเป็นห่วงสุขภาพของเซร่ามากกว่าเหนือสิ่งอื่นใด ทำให้พวกเขาต้องจำใจทำเช่นนั้น โดยยินยอมให้มีเพื่อนเล่นได้เพียงคนเดียวก็คือ ฮิเดกิ
แต่ทว่าวันนี้ หญิงสาวกำลังร้องขออิสรภาพที่จะออกจากกรงทองแห่งนี้ พวกเขาจะทำเช่นไร?
“แม่เข้าใจที่ลูกพูดนะ แต่ว่าการที่ลูกจะออกไปข้างนอกนั้น มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูก แล้วใครจะคอยดูแลลูก หากลูกเป็นอะไรไปล่ะ?”
ถึงแม้เธอจะค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาว แต่ความเป็นห่วงของแม่ที่มีต่อลูกมันมากเกินกว่าที่จะทำใจยอมรับได้
เซร่านิ่งเงียบไป เธอลืมคิดถึงข้อจำกัดไปเสียสนิท
จริงสิ! หากเธอเกิดไปเป็นลมล้มพับไปข้างนอก ใครจะมาช่วยเธอ? ใครจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาลกันนะ? ในเมื่อตัวเธอไม่รู้จักใครข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว
ท่านทูตและภรรยาสบตากัน และมองเซร่าอย่างเห็นใจปนสงสารที่ลูกสาวของพวกเขา จะต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในที่แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น
เพราะพวกเขามีงานรัดตัวทั้งคู่นานๆ ครั้งทั้งคู่ถึงจะพาเซร่าออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ของฝรั่งเศสได้ ซึ่งน้อยครั้งมากที่เธอจะได้ออกไปมองดูโลกด้านนอก
“เอ่อ..ผมจะคอยดูแลเซร่าเองครับ”
ฮิเดกิตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางสามคนพ่อแม่ลูก คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันมามองเขาทันที
“ผมจะเป็นคนคอยดูแลสวัสดิภาพของเซร่าเองครับ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เธอไปโรงเรียน หรือภายในโรงเรียนผมก็จะคอยดูแลตลอดไม่ให้คลาดสายตาเลยครับ เพราะฉะนั้นพวกคุณน้าไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ”
ฮิเดกิรับอาสาจะเป็นคนคอยดูแลเซร่าเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาเข้าใจหญิงสาวดี
“นะคะ คุณพ่อ คุณแม่”
พ่อกับแม่ของเซร่ามองฮิเดกิสลับกับมองหน้ากันเอง ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี
พวกเขาทั้งคู่นั้นรู้จักกับฮิเดกิ ตั้งแต่เซร่าอายุ 10 ขวบ ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นและสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรฮิเดกิจะคอยปกป้องเซร่าเสมอ นั่นทำให้พวกเขาอนุญาตให้ฮิเดกิเป็นเพื่อนเล่นกับเซร่าได้
“ตกลง แม่จะยอมให้ลูกไปโรงเรียน”
“แต่มีข้อแม้นะ”
แม่ของเซร่าเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่เซร่าจะดีใจไปมากกว่านี้ ทำให้เธอชะงักและหันมามองแม่ของเธอด้วยความสงสัย
“ถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่ง ลูกสุขภาพแย่ลง เพราะการไปโรงเรียนหรือไปข้างนอกก็ตาม แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้ลูกออกจากสถานทูตนี้อีกเลย ยกเว้นเวลาที่พ่อกับแม่จะพาลูกออกไปเท่านั้น และห้ามเรียกร้องขอออกไปข้างนอกอีก ตกลงมั้ย เซร่า?”
เซร่าอึ้งไปถนัดใจ เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยมั่นใจในสุขภาพของเธอมากนัก หากแต่การที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปโรงเรียนได้นั้น เป็นอิสรภาพที่หอมหวาน และยั่วยวนใจของเธอมากกว่าจะคิดถึงเรื่องอื่นใด
“ตกลงค่ะ! หากเป็นเช่นนั้นหนูจะยอมอยู่แต่ในนี้ไปตลอดเลยค่ะ ท่านประธาน”
เซร่าทำมือตะเบ๊ะท่าทหารล้อเลียนแม่ของเธอซึ่งเป็นประธานสมาคมกลุ่นต่อต้านการทำลายธรรมชาติของประเทศฝรั่งเศส
“อย่ามาล้อเลียนแม่นะ”
แม่ของเซร่าแกล้งขู่เซร่าอย่างไม่จริงจังมากนัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงหัวเราะออกมาเพราะขำขันกับท่าทางของเซร่าที่พยายามเลียนแบบให้เป็นทหาร
“งั้นเดี๋ยววันนี้เราออกไปทานข้าวเย็นพร้อมกันทั้งหมดดีมั้ย? เป็นการทดสอบไปในตัว”
“ตกลงค่ะ!”
ฮิเดกิขอตัวกลับไปเรียนก่อนในช่วงบ่าย เพราะตอนเที่ยงเขาขออาจารย์ออกมานอกโรงเรียนเพื่อมาซื้ออุปกรณ์สำหรับกิจกรรมประจำโรงเรียนที่จะจัดขึ้นในปีนี้
เขาเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเยียนเซร่า ส่วนท่านทูตมี เอกสารจำนวนมากที่ต้องรีบพิจารณา
ส่วนแม่ของหญิงสาวนั้นต้องรีบเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุมพรุ่งนี้
เซร่าเดินอมยิ้มและฮัมเพลงไปตลอดทางจนกระทั่งเข้าห้องนอน
ภายในห้องนอนของเธอตกแต่งด้วยสีเขียวอ่อน ซึ่งเป็นสีที่เธอชอบ เซร่าล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับตาพริ้ม คิดถึงวันพรุ่งนี้อย่างมีความสุข
อา....พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะได้ไปโรงเรียน......
พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เราจะได้ออกไปดูโลกกว้าง ไม่ใช่แค่ดูจากในหนังสือ....
พรุ่งนี้แล้วสินะ...................
เซร่านอนคิดเรื่องพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเผลอหลับไป หากแต่ใบหน้าของหญิงสาวกลับฉาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ที่พรุ่งนี้ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เธอหวังไว้มานานแล้ว
เซร่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและควันสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นมาตลอดเวลาจากพื้น หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างตื่นกลัว บรรยากาศรอบๆ ตัวเธอไม่มีใครอยู่ซักคน
ที่นี่ที่ไหนกัน??? ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่???
“นี่เธอ!”
เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งเรียกเซร่าที่กำลังยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านเธอไปอย่างเอื่อยๆ
ใครน่ะ?? ใครกันเรียกฉัน????
“นี่เธอ!!!!”
เสียงของเด็กผู้ชายคนเดิมยังคงดังก้องอยู่รอบๆ ตัวของเซร่า หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัวเพื่อมองหาที่มาของเสียง
“ใครน่ะ? เรียกฉันทำไม? ”
เซร่าตะโกนก้องท่ามกลางสายหมอกที่ไม่มีใคร นอกจากเธอที่ยืนอยู่เพียงลำพังคนเดียว
“ฉันชื่อเซร่า แล้วเธอล่ะ!!!!!!”
เซร่าตะโกนบอกชื่อของเธอให้กับใครคนหนึ่งที่เรียกเธออยู่ หากแต่เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของใครซักคนที่อยู่เคียงข้างเธอ
เซร่า !!!!!!!!เซร่า !!!!!!!เซร่า !!!!!!!!!!!!
เสียงเรียกชื่อเซร่าดังก้องมาจากทุกสารทิศ เซร่าเงยหน้ามองขึ้นเบื้องบน และหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะไปทิศทางใด หญิงสาวเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเธอจึงเริ่มวิ่งหนีเสียงเรียกของใครคนหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อเธออยู่ตลอดเวลา