ตอนที่ 3
นักเรียนภายในห้องเรียนของชั้นปี 3 C กำลังนั่งฟังอาจารย์กลอเรียพูดถึงวิชาที่ ต้องเรียน รวมไปถึงการจัดตำแหน่งที่นั่งภายในห้องเรียนด้วย ซึ่งอาจารย์กลอเรียได้แจ้งให้ทุกคนทราบว่า แผนผังที่นั่งภายในห้องนั้น อาจารย์ได้เป็นคนจัดให้เรียบร้อยแล้ว โดยได้นำแผนผังที่นั่งติดไว้ที่บอร์ดด้านข้างของกระดานดำด้านหน้าห้อง และให้นักเรียนทุกคนใช้เวลาในชั่วโมงโฮมรูมนี้ ทำการเปลี่ยนที่นั่งตามแผนผังให้เสร็จสิ้น เพื่อจะได้เรียนวิชาต่อไป
เมื่ออาจารย์ชี้แจงเสร็จ นักเรียนทุกคนในห้องก็ลุกฮือเดินไปด้านหน้าห้องเพื่อดูแผนผังที่นั่ง มีเพียงคิมหันต์ และนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่ไม่ได้ลุกไปดูในทันที แต่ยังคงนั่งอยู่ด้านหลังของห้องไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
“เฮ้! คิม ไม่ไปดูที่นั่งใหม่เหรอวะ?”
ไมค์ หรือไมเคิลเพื่อนร่วมชมรมบาสเกตบอลเดียวกับคิมหันต์และเป็นเพื่อนร่วมห้องในปีที่ 3 นี้ด้วย ลากเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ มานั่ง พร้อมกับถามเขา
“ไว้ก่อน ขี้เกียจแทรกคนเข้าไปดู”
คิมหันต์เอามือท้าวคางและพยักพเยิดบอกเพื่อนของเขาไปทางด้านหน้าห้อง สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาไม่ค่อยสบอารมณ์มากนักจากเรื่องครู่
“กะละ ฉันเลยดูมาให้เรียบร้อยแล้ว”
ไมค์พอจะมองอารมณ์ของคิมหันต์ออก แม้เขามักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉย แต่จากการที่เป็นเพื่อนกันมา 2 ปี ทำให้เขาพอรู้ว่า เพื่อนกำลังอารมณ์เสียอยู่
คิมหันต์พยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวไปพิงพนักของเก้าอี้ด้านหลัง เอามือกอดอกไว้ สายตามองไปยังนักเรียนหญิงจับกลุ่มกรี๊ดกร๊าดด้านหน้าห้อง
“ฉันนั่งตรงไหนวะ?”
คิมหันต์หันไปถามไมค์อย่างกะทันหัน ทำให้ไมค์ซึ่งกำลังจ้องมองที่หญิงสาวผมยาวคนหนึ่งที่ยืนโดดเด่นเป็นสง่าด้านหน้าห้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“เอ๊อะ...เอ๋อ....อ๋อ! เอ่อ..แกนั่งด้านหลังห้อง ติดริมหน้าต่างที่แกชอบน่ะ”
“ก็ดี อย่างน้อยก็มีเรื่องนี้ที่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับฉันน่ะ”
การเปลี่ยนย้ายที่นั่งใช้เวลาไม่นานมากนัก นักเรียนแต่ละคนต่างหยิบกระเป๋านักเรียนหรือเป้สะพายของตัวเองและเดินไปยังที่นั่งใหม่ตามแผนผัง คิมหันต์นั้นเดินตรงไปยังที่นั่งด้านหลังของห้องซึ่งติดกับหน้าต่างด้านซ้าย และทำให้เขาสามารถมองออกไปเห็นรอบ บริเวณภายในโรงเรียนได้อย่างชัดเจน และสามารถมองเห็นลานด้านหน้าของทางเข้าโรงเรียนซึ่งมีรูปปั้นของ Saint Helena ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
เมื่อนักเรียนทุกคนต่างพากันแยกย้ายนั่งตามที่นั่งใหม่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ฟรองเซียร์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาภูมิศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสก็เดินเข้ามาภายในห้อง เพื่อเริ่มการเรียนคาบแรกของปี 3 ในเทอมนี้ คิมหันต์หยิบหนังสือขึ้นมาเพื่อเปิดอ่านตามที่อาจารย์สอน ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่า ที่นั่งด้านข้างขวาของเขา ยังไม่มีใครมานั่ง
เอ…. เราจำได้ว่าตอนที่ดูจำนวนของนักเรียน เมื่อตอนประกาศแยกห้องเรียน ห้อง 3 C นี้ จำนวนนักเรียนเท่ากับจำนวนโต๊ะในห้องนี่นา
หรือเราจะจำผิด ?ไม่น่าจะใช่แฮะ ถ้าอย่างนั้น นักเรียนในห้องนี้หายไปไหนหนึ่งคนกันหว่า ?
“เฮ้ย! กินไรดีวะ? ”
ไมค์เดินมาตบบ่าคิมหันต์ที่กำลังนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะที่เปลี่ยนคาบเรียน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“เออ..แกรู้เปล่า ว่าฉันนั่งข้างใคร
“ใครวะ?”
“ก็ลอร่าไง …ลอร่าน่ะ”
ไมค์บอกคิมหันต์อย่างตื่นเต้นที่ได้นั่งข้างสาวที่เขาแอบมองอยู่เมื่อตอนเช้า แต่ดูเหมือนคิมหันต์จะไม่รู้จัก “ลอร่า” ของไมค์เลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ… แกรู้จักผู้หญิงคนไหนในโรงเรียนนี้มั่งวะ นอกจาก “ออยเฟ่ย์” น่ะ”
ไมค์ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นเพื่อนของเขาไม่รู้จักลอร่าหญิงสาวที่มีความสวยสูสีกับออยเฟ่ย์
หากแต่ออยเฟ่ย์นั้นนิสัยดี อุปนิสัยร่าเริงและเป็นที่รักของเพื่อนๆ และอาจารย์ ตรงข้ามกับลอร่าที่มีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง หยิ่ง และชอบดูถูกคนอื่น ทำให้ทุกคนเทคะแนนให้กับออยเฟ่ย์ในการประกวดดาวของโรงเรียนปีนี้
คิมหันต์มองหน้าไมค์ด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์นัก
“เอ่อ..แล้วคนที่นั่งข้างแกเป็นไงมั่งวะ? ”
ไมค์รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของเพื่อน
“ไม่รู้”
“เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้”
“แล้วแกเห็นแมวซักตัวนั่งข้างกูมั้ย?”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด คนนั่งข้างแกชื่อ มิ..มิ…มิยาเกะ เซร่า!”
ไมค์นิ่งนึกชื่ออยู่นาน ก่อนจะเอากำปั้นด้านขวาทุบไปที่ฝ่ามือด้านซ้ายของเขาเองเมื่อนึกออก
“มิยาเกะ เซร่า? ”
“ใช่ รู้สึกเป็นลูกท่านทูตญี่ปุ่น ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อังกฤษน่ะ”
ไมค์อธิบายให้เพื่อนฟัง และเนื่องจากเขาเป็นคนกว้างขวาง จึงรู้จักคนมากมาย
“ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อังกฤษ?”
“แกจะสงสัยอะไรว้า แกเองก็เป็นลูกครึ่งไทย-เบลเยี่ยม”
ไมค์พูดเหน็บแนม เนื่องจากเขาเป็นคนอังกฤษ และมาเรียนต่อที่ฝรั่งเศส เพราะพ่อของเขาต้องมาทำงานกับบริษัทในประเทศฝรั่งเศส
ส่วนแม่ของไมค์แยกทางกับพ่อ ตั้งแต่เขาอายุ 15 ปี และไปแต่งงานกับคนอื่น ไมค์จึงอยู่กับพ่อของเขาเพียงสองคนเท่านั้น
คิมหันต์นั่งนิ่ง พยายามนึกถึงหน้าตาของนักเรียนที่ชื่อ “มิยาเกะ เซร่า” ให้ออก
แต่นึกเท่าไหร่ ก็ไม่รู้สึกคุ้นเคยสักนิด และที่เขาอยากรู้เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะว่าคำชื่อท้ายเสียงของนักเรียนคนนี้ช่างเหมือนกับเด็กหญิงที่อยู่ในความทรงจำของเขาเสียจริง
12.00 น.
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำฝรั่งเศส ซึ่งออกแบบโครงสร้างภายนอกด้วยศิลปะแบบโกธิค ภายในตกแต่งด้วยภาพวาดที่สวยและมีราคาแพง
ส่วนมากเป็นภาพของจิตรกรที่มีชื่อเสียง เช่น ลีโอนาโด ดาร์วินซี หรือ ไมเคิล แองเจลโล เป็นต้น
ผนังด้านในมีการแกะสลักเป็นลวดลายรูปทรงเรขาคณิตอย่างสวยงาม รอบๆ ของสถานทูตเต็มไปด้วยสีสันของสวนดอกไม้นานาพันธุ์ เนื่องจากมีคนทำสวนคอยช่วยดูแลเอาใจใส่ดอกไม้เป็นอย่างดี
ภายในสถานทูตมีห้องโถงเอาไว้สำหรับเลี้ยงรับรองแขกที่มาจากประเทศต่าง ๆ และมีห้องสำหรับนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน รวมไปถึงห้องพักที่เอาไว้รับรองสำหรับแขกที่ต้องค้างคืนที่นี่ หรือไม่สามารถที่จะกลับบ้านของตัวเองได้
ตามปกตินั้นสถานทูตจะมีความเงียบสงบ แต่ทว่าวันนี้………
“คุณหนูเซร่า!!!”
เสียงกรีดร้องตะโกนเต็มไปด้วยความตกใจของหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางสวนต้นไม้และดอกไม้ที่เงียบสงบภายในสถานทูต
“ค่า!!!”
หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลอ่อนโผล่หน้าอันสวยสดใสของเธอออกมาร้องตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงจากบนต้นไม้ พร้อมกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของหญิงสาวคนนั้น
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!!!!”
หญิงสาววัยกลางคนสั่งเซร่าเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าเซร่านั้นปีนขึ้นไปนั่งห้อยขาเล่นอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ที่ปลูกอยู่ภายในสถานทูต
เซร่าย่นจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างชำนาญด้วยอาการอิดเอื้อน
หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ และเดินตรงเข้าไปหา
“คุณหนูคะ! อิฉันบอกกี่ทีแล้วว่าอย่าปีนขึ้นไปบนต้นไม้น่ะค่ะ ถ้าเกิดมันหักขึ้นมาจะทำยังไงคะ”
หญิงวัยกลางคนบ่นออกมาเป็นชุด เมื่อเดินไปถึงตรงที่เซร่ายืนอยู่ พร้อมกับปัดเศษฝุ่นใบไม้ต่างๆ ออกจากตัวของหญิงสาว
“แหม………..หนูไม่ตกลงมาง่ายๆ อย่างนั้นหรอกค่ะ ป้าแมรี่”
“มันไม่ใช่แค่นั้นนะคะ คุณหนู!! ร่างกายคุณหนูไม่ค่อยแข็งแรง แล้วยังออกมาเที่ยวเล่นปีนป่ายแบบนี้อีก หากนายท่านกับคุณผู้หญิงกลับมาแล้วพบเข้า ท่านจะว่าเอาได้นะคะ”
“หนูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซะหน่อย”
เซร่าบ่นพึมพำอย่างไม่ค่อยพอใจ และกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟาในห้องโถงรับรองอย่างแรง
เพียงเพราะแค่เธอหัวใจไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น ทำให้ทุกคนเป็นห่วงเธอมาก ส่งผลให้เซร่าไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้น ใครกันคะ? ที่หอบหายใจไม่ทันเมื่อคราวที่ออกไปเล่นกับคุณฮิเดกิข้างบ้าน จนทำให้ต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเกือบไม่ทัน ไม่ใช่คุณหนูหรอกหรือคะ?”
ป้าแมรี่พูดประชดประชันเซร่า และค้อนให้หนึ่งที เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้รู้ตัวเองว่า ป่วยมากแค่ไหน
“แหม……..ก็คราวนั้น…..หนูพยายามวิ่งตามฮิเดกิให้ทันเท่านั้นเองนี่นา”
“เถียงอะไรกับแมรี่อีกล่ะลูก?”
เสียงของชายใจดีคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของเซร่า
“คุณพ่อ”
เซร่าตะโกนออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งโผเข้าไปกอดพ่อของเธอ
“โอ้ย เบา ๆ หน่อยลูก ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
“เป็นยังไงบ้างวันนี้?”
“เบื่อค่ะ!! น่าเบื่อเหมือนเดิมเลย”
เซร่าย่นจมูก ก่อนบ่นกระปอดกระแปดใส่พ่อของเธอ และกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟาเหมือนเดิม
“ฮะ ฮะ ก็เราไม่ค่อยแข็งแรงนี่นา”
“แหม…….คุณพ่อคะ หนูก็แข็งแรงพอที่จะออกไปข้างนอกได้แล้ว ให้หนูออกไปข้างนอกบ้างเถอะนะคะ หนูเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในสถานทูตนี่คะ”
เซร่ากล่าวเสียงหวานเอาใจพ่อของเธอ และเคลื่อนตัวมาบีบนวดให้พ่อของเธออย่างประจบ
“ฮึฮึ แล้วลูกอยากไปไหนล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไปเอง”
“หนูไม่ได้อยากไปเที่ยวที่ไหน แต่หนูอยากไปโรงเรียนเหมือนฮิเดกิน่ะค่ะ คุณพ่อ”