บท
ตั้งค่า

๒.๑ เงารักบังใจ

เงารักบังใจ

ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจจางลงหลังจากได้อาบน้ำสระผมด้วยน้ำที่เย็นฉ่ำ อนามิกาเลือกที่จะไม่อาบน้ำอุ่นเพราะอยากสัมผัสความเย็นสดชื่นจากน้ำที่ส่งมาจากท่อด้านนอก ที่นี่ออกจะสะดวกสบาย เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่เห็นมีอะไรให้รู้สึกลำบากเหมือนอย่างที่ใครบางคนพยายามจะยัดเยียดให้เธอรู้สึกเช่นนั้นสักนิด

อนามิกายอมรับกับตัวเองว่าชอบที่นี่มาก พร้อมกับอดรู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่พักอยู่ห้องข้างๆ ไม่ได้ ในวันข้างหน้าหากว่ากฤชเพชรกับพลอยพิมลแต่งงานกันไป พลอยพิมลก็คงจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ได้มาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนวิเศษเช่นนี้ทุกวัน มีพ่อสามีที่ใจดีอย่างพิทยา และมีผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างกฤชเพชรคอยดูแลด้วย

แม้กฤชเพชรจะไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกหรือปากหวาน ช่างเอาอกเอาใจเหมือนผู้ชายบางคน แต่เธอเชื่อว่าเขาจะดูแลผู้หญิงที่เขารักอย่างดีที่สุด เพราะขนาดเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารัก เขาก็ยังดูแลเป็นอย่างดีในช่วงที่ไปตามหาแพรมุกในทะเลทรายด้วยกัน

มือเล็กจับผ้าขนหนูซับผมซึ่งเปียกจากการสระ ขณะที่ห้วงคำนึงล่องลอยไปหาความหลังครั้งเก่าที่ไม่เคยเลือนรางไปจากหัวใจและความทรงจำเลย แม้ว่าจะผ่านไปนานกว่าสามปีแล้วก็ตาม

ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเมื่อผมเริ่มแห้งหมาดๆ ผ้าขนหนูถูกพาดไว้กับราวตากผ้าเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างตู้ ยืนสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนจะลงไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่าง เพราะไม่อยากให้ใครขึ้นมาตาม

เมื่อลงไปถึงก็เห็นว่าพลอยพิมลกำลังยกอาหารจากในครัว ช่วยแม่บ้านตั้งโต๊ะ ก่อนจะบอกให้พิทยาและกฤชเพชรนั่งหลังจากทุกอย่างจัดวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“อ้าวคุณนิจมาแล้วเหรอ เชิญนั่งสิครับ” พิทยายังคงเป็นคนแก่ใจดีเสมอ ทันทีที่หันไปเห็นว่าอนามิกาลงมาแล้ว ก็เรียกให้มานั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

อนามิกาขยับไปนั่งลงข้างๆ ชายสูงวัย ส่วนกฤชเพชรนั่งตรงข้ามกับพ่อตัวเอง โดยที่พลอยพิมลนั่งอยู่ข้างๆ เขา

อาหารบนโต๊ะประกอบด้วย ต้มจืดซี่โครงหมูฟักหอมที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ มีควันลอยหอมกรุ่น ปลาทูทอดสีเหลืองกรอบ ชะอมชุบไข่ทอด น้ำพริกกะปิเคียงด้วยผักสดอีกสี่ชนิด ซึ่งล้วนแต่ได้มาจากสวนครัวหลังบ้านทั้งนั้น

“เอาละในเมื่อมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็ลงมือกันเถอะ วันนี้คนแก่คงเจริญอาหารน่าดู” พิทยาบอกกับทุกคนอย่างมีความสุข เพราะนานๆ ครั้งจะมีสมาชิกร่วมโต๊ะเยอะเช่นนี้

ทุกคนลงมือตักอาหาร โดยที่ทั้งกฤชเพชรและพ่อต่างเริ่มที่ตักน้ำพริกใส่จานกินกับผักสดเป็นคำแรกพร้อมกัน โดยมีพลอยพิมลคอยนั่งลุ้น ส่วนอนามิกาเลือกตักต้มจืดก่อน

“เป็นไงบ้างคะคุณลุง ฝีมือตำน้ำพริกกะปิของผิงพอไหวไหม” เจ้าของเมนูนั้นถามขึ้นหลังจากชายสูงวัยได้ลิ้มลองมันแล้ว

“อร่อยเชียวล่ะ นี่ฝีมือระดับชาววังเลยนะ” พิทยาชมเปาะ

“แล้วพี่เพชรล่ะคะ” พลอยพิมลหันมาถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ บ้าง “ฝีมือผิงเป็นไงบ้าง”

“ก็ใช้ได้ ว่าแต่แอบเข้าไปทำตอนไหน”

แม้จะเป็นคำชมสั้นๆ แต่พลอยพิมลก็ยิ้มหน้าบาน “ไม่ได้แอบนะ เข้าไปแบบเปิดเผยเลย ใช่ไหมคะคุณแม่บ้าน” คนพูดพยักพเยิดกับหญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่บ้านของที่นี่ และฝ่ายนั้นก็ยิ้มรับด้วยความเอ็นดู

“ค่ะคุณผิง”

“อย่ามัวแต่คุยสิ กินด้วย เอ๊านี่ชิมฝีมือตัวเองซะ เผื่อว่าอาหารของเราทำให้ท้องเสีย จะได้ท้องเสียกันทั้งบ้าน” กฤชเพชรว่าพลางตักน้ำพริกใส่จานให้สาวรุ่นน้อง ซึ่งพลอยพิมลก็ยิ้มรับและไม่ลืมที่จะต่อปากต่อคำกับเขา

“ผิงรับรองค่ะว่าไม่มีใครท้องเสียแน่นอน”

ภาพนั้นทำให้ก้อนขมๆ แข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกที่คอของอนามิกา จนพานกลืนอาหารไม่ลงคอ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ายิ่งตอกย้ำว่า พลอยพิมลช่างเพียบพร้อมและเหมาะสมที่จะเป็นภรรยาของกฤชเพชรมากเหลือเกิน เพราะในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำแต่งตัวอย่างอ้อยอิ่งอยู่บนห้อง พลอยพิมลก็ลงมาเข้าครัว ช่วยทำอาหาร และยังช่างพูดช่างเจรจา ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ช้อนและส้อมถูกรวบไว้ด้านข้างของจานข้าวที่เพิ่งจะพร่องลงไปได้ไม่กี่คำ เมื่ออนามิกาไม่สามารถฝืนกินได้อีกต่อไป แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามรวบมันให้เบามือที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของคนที่ร่วมโต๊ะไปได้

“อิ่มแล้วเหรอครับคุณนิจ เพิ่งจะกินได้นิดเดียวเอง อาหารไม่ถูกปากเหรอครับ” พิทยาหันมาถามอย่างเป็นห่วง เพราะหญิงสาวเพิ่งจะกินได้ไม่กี่คำ

“อาหารพื้นๆ พวกนี้คงไม่ถูกปากคุณนิจของพ่อล่ะมั้งครับ ถึงได้กินน้อยเหมือนแมวดมอย่างนั้น” กฤชเพชรพูดแทน โดยที่คนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบด้วยซ้ำ

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณลุง นิจแค่กินเผ็ดไม่ค่อยได้” อนามิการีบอธิบายกับผู้สูงวัย ก่อนจะหันไปมองคนช่างค่อนแขวะตาขุ่น นี่เขาตั้งใจจะพูดให้คนบ้านนี้เกลียดขี้หน้าเธอเพราะเป็นพวกเรื่องมากหรือไง ความจริงแล้วที่เธอกินไม่ลงก็เพราะเขาต่างหาก

“นั่นน่ะสิ ลุงก็ลืมไปว่าคุณนิจไม่กินเผ็ด เลยลืมบอกให้แม่ครัวทำอาหารให้คุณนิจเป็นพิเศษ”

“ต้มจืดฟักก็ไม่ได้เผ็ดนี่” กฤชเพชรยังพูดกดดันต่ออีก ทำให้พิทยาต้องรีบปรามลูกชาย

“ตาเพชรนี่ยังไงนะ จะให้คุณนิจกินอาหารอย่างเดียวได้ยังไง” คนเป็นพ่อเอ็ดลูกชาย ก่อนจะหันมาทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ตน “เดี๋ยวลุงจะให้แม่บ้านไปทำอาหารมาให้เพิ่มนะครับคุณนิจ”

“อย่าวุ่นวายเพราะนิจเลยนะคะคุณลุง นิจอิ่มแล้วจริงๆ ทุกคนกินต่อเถอะค่ะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าหิวตอนดึกๆ ก็ลงมาดื่มนมนะ เก็บอยู่ในตู้เย็นในห้องครัว”

“ขอบคุณค่ะคุณลุง” อนามิการับคำ ก่อนจะขอตัวลุกจากโต๊ะอาหาร เพื่อให้คนที่จะเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคตได้รับประทานอาหารร่วมกันอย่างเป็นกันเองต่อไป

สายพิรุณที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มซาในเวลาสองทุ่ม กระทั่งเหลือแต่ละอองฝนจางๆ และเหือดหายไปในที่สุด เสียงกบและอึ่งอ่างดังขึ้นอย่างเซ็งแซ่ ขณะที่เสียงฟ้ายังคำรามเบาๆ แต่ก็ทิ้งระยะห่าง ไม่เหมือนตอนแรกที่แผดเสียงก้องคำรามราวกับกำลังพิโรธใครอยู่

สี่ทุ่มแล้วอนามิกายังไม่นอน เธอเพิ่งคุยโทรศัพท์กับพี่ชายเสร็จ จากนั้นก็ทิ้งโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นไว้บนหัวเตียงเมื่อไม่จำเป็นจะต้องใช้มันอีก ร่างบางพาตัวเองลงมาชั้นล่างเป็นรอบที่สองเพราะยังไม่ง่วง อากาศอันแสนเย็นฉ่ำที่ระเบียงนอกบ้าน ชวนให้เธออยากออกไปสัมผัสมันใกล้ๆ อีกครั้ง

ไฟในห้องโถงที่เปิดสว่างไสวในช่วงหัวค่ำ ตอนนี้ปิดเกือบหมดทุกดวง เหลือเพียงไฟสีส้มนวลตาที่ติดไว้ใกล้กับบันไดเท่านั้น อนามิกาพาตัวเองตรงไปยังประตูที่เชื่อมกับระเบียงด้านนอก มือเล็กดันประตูกระจกแบบสไลด์ไปด้านหนึ่ง แล้วพาตัวเองออกไปด้านนอก ก่อนจะรีบเลื่อนประตูให้ปิดลงเพราะกลัวยุงจะเข้าบ้าน ขาเรียวเตรียมจะก้าวไปยังระเบียง แต่ก็ก้าวไม่ออก เมื่อสายตาปะทะกับคนสองคนที่จับจองสถานที่นั้นก่อน พร้อมกับที่โสตประสาทได้ยินถ้อยคำสนทนาของทั้งคู่เข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจจะได้ยิน

“ผิงว่าผิงชอบพี่เพชรจริงๆ เข้าแล้วล่ะค่ะ”

พลอยพิมลขยับเข้าไปยืนซ้อนหลังร่างสูง แล้วตัดสินใจสอดมือเข้ากอดเอวสอบ ก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างของกฤชเพชร พร้อมกับสารภาพบางอย่างกับเขาออกไปตรงๆ

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

“รู้สิคะ มีสติครบถ้วนและไตร่ตรองมาดีแล้ว ผิงไม่อยากเก็บไว้คนเดียว เลยอยากบอกให้พี่เพชรรับรู้เอาไว้”

“ผู้ชายมีตั้งเยอะแยะ มาชอบผู้ชายนิสัยไม่ดีแถมปากเสียอย่างพี่ทำไม”

“ไม่รู้สิคะก็มันชอบไปแล้ว แล้วพี่เพชรล่ะคะ รู้สึกยังไงกับผิง บอกผิงให้รู้เลยได้ไหม ผิงไม่อยากรอแล้ว”

“พี่...”

เท้าเล็กๆ รีบพาตัวเองหมุนตัวกลับไป เพราะไม่อาจทนฟังคำสารภาพรักที่กำลังจะหลุดจากปากของผู้ชายที่กำลังยืนหันหลังให้ผู้หญิงกอดได้

ความเร่งรีบและสมองที่ถูกบีบจนพร่าเบลอทำให้ลืมตระหนักต่อสิ่งรอบข้าง ร่างเล็กวิ่งตรงเข้าบ้านโดยลืมที่จะดันประตูให้เปิดออก จึงทำให้เกิดการปะทะอย่างจังจนร่างกายที่สร้างด้วยเลือดเนื้อและอ่อนแอกว่ากระจกแข็งๆ ตรงหน้าเป็นฝ่ายได้รับความเจ็บปวด

ปัง!

“โอ๊ย!”

แม้จะไม่อยากให้คนที่กำลังสวีตหวานกันรับรู้ถึงการมาของตัวเอง และตั้งใจจะจากไปเงียบๆ แต่เสียงที่หลุดอุทานออกมาด้วยความเจ็บนั้น ก็ทำให้ความตั้งใจทุกอย่างพังครืน

เสียงที่เกิดจากการกระแทกระหว่างคนกับกระจก ซึ่งดังไล่เลี่ยกับเสียงอุทานที่บ่งบอกความเจ็บ ทำให้ทั้งพลอยพิมลและกฤชเพชรต่างชะงัก รีบก้าวมายังเงาตะคุ่มๆ ที่กำลังยืนเอามือกุมหน้าผากตัวเองทันที

“คุณนิจเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมากหรือเปล่า” พลอยพิมลที่วิ่งเข้ามาประคองถามไถ่อย่างเห็นใจ

“เจ็บนิดหน่อยจ้ะผิง”

ปากบอกว่าเจ็บนิดหน่อยทั้งที่มือยังกุมศีรษะไม่วาง ซึ่งจริงๆ มันไม่นิดเลย และดูเหมือนว่าตอนนี้หน้าผากของเธอจะมีก้อนแข็งๆ นูนขึ้นแล้ว

“พี่เพชรมาช่วยประคองคุณนิจเข้าไปข้างในหน่อยสิคะ จะได้รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง”

พลอยพิมลหันไปเรียกชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวเอง ความมืดทำให้ไม่มีใครเห็นว่าตอนนี้สายตาของเขาเป็นแบบไหน แต่ความเงียบและความนิ่งนั้นก่อให้ความคิดของหญิงสาวสองคนเป็นไปคนละทาง

พลอยพิมลเข้าใจว่าเพราะความเป็นสุภาพบุรุษ ทำให้กฤชเพชรไม่ฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวอนามิกา ในขณะที่อีกคนได้แต่เก็บงำความน้อยใจเอาไว้เงียบๆ คิดไปว่าที่เขาไม่ใส่ใจนั้น คงเป็นเพราะไม่พอใจที่เธอมาขัดจังหวะการสารภาพรักของเขากับพลอยพิมล

“ผิงถอยไปก่อน”

ทั้งสองสาวยังไม่มีใครเข้าใจ เมื่อได้ยินกฤชเพชรพูดเช่นนั้น แต่พลอยพิมลก็ขยับออกห่างจากการช่วยประคับประคองอนามิกาตามคำสั่งของเขา

กฤชเพชรขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะทำในสิ่งที่มากกว่าการประคอง ร่างสูงย่อตัวช้อนเอาร่างเล็กขึ้นไว้ในวงแขน โดยที่อนามิกาได้แต่ร้องประท้วง เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ตัวเองถูกอุ้มต่อหน้าต่อตาพลอยพิมล อย่างน้อยกฤชเพชรก็ควรจะคำนึงถึงจิตใจของผู้หญิงที่เขารักบ้าง

“ปล่อยนิจลงเถอะค่ะ นิจจะเดินเข้าไปเอง”

“เงียบเถอะน่าคุณนิจ อย่าเพิ่งอวดดีตอนนี้”

“นิจไม่ได้อวดดี แต่นิจไม่อยากให้คุณอุ้ม”

“ฝืนใจหน่อยก็แล้วกันนะ ไม่กี่นาทีหรอก” เขาก้มลงพูดกับคนในอ้อมแขน ก่อนจะหันไปบอกกับอีกคนที่ยืนมองอยู่ “เปิดประตูให้พี่หน่อยผิง”

ได้ยินเช่นนั้นพลอยพิมลก็ไม่รอช้า รีบขยับไปดันประตูบานสไลด์ให้เปิดออกเพื่อให้กฤชเพชรอุ้มอนามิกาเข้าไปข้างในบ้าน

ร่างเล็กถูกวางลงบนเบาะนุ่ม แสงจากไฟสว่างขึ้นจากฝีมือของพลอยพิมลที่เดินไปเปิดสวิตช์ จากนั้นเธอก็กลับมานั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกันกับอนามิกา และใช้สายตากวาดมองอย่างสำรวจ ขณะที่กฤชเพชรเลี่ยงไปหยิบยาจากตู้ยามาให้

“คุณนิจหัวโนนี่คะ”

“นิจก็ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น มันปวดตุบๆ อยู่ตรงหน้าผาก”

“มาค่ะ เดี๋ยวผิงทายาให้นะคะ”

ยาหม่องเนื้อสีขาวที่อยู่ในขวดกลมป้ายลงบนหน้าผาก ก่อนที่มันจะถูกละเลงอย่างเบามือ อนามิกาได้แต่แอบมองคนทาให้อย่างซาบซึ้งในน้ำใจ พลอยพิมลช่างเป็นคนดีเหลือเกิน ดีเสียจนเธอไม่กล้าอิจฉา ดีเสียจนเธอได้แต่คิดว่า ดีแล้วที่คนดีๆ ทั้งสองคนได้รักกัน

“ไปทำอีท่าไหนคะคุณนิจ ถึงได้ชนกระจกโครมใหญ่แบบนั้น” พลอยพิมลถามขณะละมือจากการทายามาแล้ว

“นิจว่าจะออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงด้านนอก แต่พอดีเห็นผิงกับคุณเพชรกำลังคุยกันอยู่ก็เลยจะกลับเข้ามา แต่ซุ่มซ่ามไปหน่อยก็เลยพลอยทำให้วุ่นวาย ขอโทษนะ นิจไม่ได้ตั้งใจจะไปขัดจังหวะอะไร” อนามิกากล่าวขอลุแก่โทษหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งหน้าแดงระเรื่อขึ้น แล้วเลยมองไปยังผู้ชายอีกคน ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อเห็นเขาส่งสายตามาดุๆ

“เอ่อ...คุณนิจก็ไม่ได้ขัดจังหวะอะไรหรอกค่ะ” พลอยพิมลบอกเขินๆ แม้จะเป็นคนตรงไปตรงมาแค่ไหน แต่มันก็น่าอายไม่น้อย เมื่ออนามิกาไปเห็นภาพที่ตัวเองกำลังเป็นฝ่ายกอดกฤชเพชรและถามหาความรักจากเขา

“ถ้าอย่างนั้นนิจขอตัวก่อนดีกว่า ผิงกับคุณเพชรจะได้คุยกันต่อ”

อนามิกาเอ่ยขอตัว แล้วเดินขึ้นชั้นสองไปเงียบๆ เพื่อเปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวได้สานต่อเรื่องที่ยังพูดจากันยังไม่จบ ตามที่พวกเขาอาจจะต้องการ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel