บทที่8
“ขอบใจมากจ้ะ...ขอบใจ แค่นี้น้าก็ดีใจแล้วล่ะจ้ะ พ่อวีร์ก็เหมือนลูกชายน้าคนหนึ่งนะจ้ะ อยากจะมาที่นี่เมื่อไรก็มาเถอะ น้ายินดีต้อนรับเสมอ แต่ก่อนตอนเราไปเรียนเมืองนอก แม่เราเขาก็มานั่งเล่น ทานกาแฟกับน้าออกบ่อย ประสาคนแก่ขี้เหงาสองคนน่ะจ้ะ”
ชนวีร์หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้ารับ เหยียดตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบาย
“ครับ ถ้าว่างผมจะมาบ่อยๆ เอ่อ...” อาการชะเง้อชะแง้แลหา ทำให้คุณมันทนารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงมองหาแม่ตัวดี...มีนาวลัย แต่ก็เฉยเสียรอให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง
“น้องไม่อยู่เหรอครับ”
คุณมันทนายิ้มอ่อนๆ ส่ายหน้าก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล คนสูงวัยกว่าสังเกตเห็นหรอกน่า ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีอาการขัดเขินอย่างเห็นได้ชัดยามที่เอ่ยถามถึงลูกสาวนางตรงๆ ผิวหน้าคร้ามแดดเป็นสีแดงเรื่อ ยิ่งตรงใบหูยิ่งเห็นชัดว่าเป็นสีแดงแจ๋ทีเดียว
“ไม่อยู่จ้ะ พาเพื่อนไปเที่ยวในตัวเมืองกันน่ะ พอดีเพื่อนเขามาจากกรุงเทพฯ น้าเลยฝากไปพักที่โรงแรมของพ่อวีร์ในเมืองนั่นแหละ”
“อ้าว...เหรอครับ ไม่เห็นแม่บอกผมเลย”
ชนวีร์ทำท่าแปลกใจ ก็เมื่อเช้าแม่ไม่ได้พูดหรือบอกอะไรสักคำนี่นา
“คงไม่ทันได้บอกหรอก พอดีน้าเพิ่งจะฝากฝังกันตอนที่แม่เราเขามาหา...มาบอกว่าพ่อวีร์จะมาเยี่ยมนั่นแหละ ทีนี้พอดียายมีนาเขากำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน แม่เราก็เลยให้ติดรถไปเสียด้วยกันเลย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ประกายวิบวับในดวงตาปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วน้าน้อยอยู่คนเดียวหรือครับ มีใครอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเสียด้วยกันล่ะครับ”
“โอย...น้าอยู๋ได้จ้ะ คนงานออกเยอะแยะ เมื่อก่อนตอนยายมีนาไปเรียนหนังสือ น้ายังอยู่คนเดียวตั้งหลายปี เขาจะขึ้นมาก็ตอนปิดเทอมเท่านั้นแหละจ้ะ พ่อวีร์ไม่ต้องห่วงน้าเลย นี่น้าก็อยากให้เขาได้พักผ่อนเที่ยวเตร่บ้าง วันๆ ขลุกอยู่แต่ในสวน น้าล่ะเป็นห่วงจริงๆ เชียว”
ท้ายประโยคคุณมันทนาทอดถอนใจยืดยาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างคนเป็นกังวล ชนวีร์หัวเราะในลำคอเบาๆ นึกรู้ว่าคนเป็นแม่ห่วงอะไรในตัวลูกสาว
“น้าน้อยไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้ายายกุ้งแห้งของน้าน้อยลดดีกรีความเจ้าอารมณ์ลงอีกนิด คงมีหนุ่มๆ มาสนใจกันอยู่หรอกครับ ว่าแต่เจ้าตัวเขาเองนั่นแหละ...จะสนใจใครหรือเปล่า”
คำถามหยั่งเชิงของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้คุณมันทนายิ้มอ่อนหวาน ดวงตาของหญิงสูงวัยฉายแววเท่าทันก่อนตอบกลับไปด้วยลักษณะเดียวกัน
“ยายมีนาจะสนใจใครหรือเปล่า ก็คงต้องแล้วแต่ว่า ‘ใคร’ จะทำให้ยายมีนาสนใจได้หรือเปล่าจ้ะ พ่อวีร์”
ชายหนุ่มยิ้มรับแลตอบดวงตาของคุณมันทนา แม้ว่าประกายจากดวงตาคู่นั้นจะฉายแววอ่อนโยน แต่เขาเห็นหรอกน่า...เบื้องลึกนั้น คือ การท้าทาย !
ใครคนนั้น หมายถึง...เขา
เขาจะทำให้ยายกุ้งแห้งสนใจเขาได้หรือเปล่า นั่นคือคำท้าจากหญิงสูงวัยที่นั่งยิ้มเยื้อนละมุนละไมตรงหน้า
ถ้ายายกุ้งแห้งตัวเล็กพริกขี้หนูคนนั้นจะมีอะไรเหมือนกับผู้เป็นแม่ล่ะก็ ชนวีร์อยากจะเชื่อว่า...สิ่งหนึ่งที่สองแม่ลูกนั้นมีส่วนเหมือนกันอย่างที่สุด ก็คือ...นิสัยชอบท้าทายนี่ล่ะ ยายกุ้งแห้งคงได้รับการถ่ายทอดนิสัยนี้มาจากผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน
ชนวีร์นั่งคุยกับคุณมันทนาต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงจึงขอตัวกลับไปทำงานที่สวนต่อ เมื่อเขากลับไปแล้วคุณมันทนาตรงไปยังเครื่องโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กในมุมหนึ่งของห้องรับแขก ผู้ที่หญิงสูงวัยจะโทรหามิใช่ใครที่ไหน...เพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง
คุณสุดาเพิ่งจะเดินทางถึงตัวเมืองเชียงใหม่ได้สักครู่ หากสาวทั้งสามที่ติดรถไปเที่ยวได้แยกย้ายขึ้นห้องพักแล้วเรียบร้อย จึงสะดวกที่คุยกับเพื่อนสนิทโดยเฉพาะเมื่อหัวข้อสนทนานั้นคือสิ่งอันเป็นที่มุ่งมาดปรารถนาของเพื่อนรักทั้งสอง
“นี่...พี่สุดา พ่อลูกชายของพี่เขามาหาน้อยแล้ว แหม...ตัวโตสูงใหญ่ แถมหน้าตาหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง น้อยเห็นแล้วปลื้มใจแทนพี่สุดาจริงๆ ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ น้อย ยายหนูของน้อยก็เหมือนกัน น่ารักเหลือเกิน แล้วนี่พ่อตัวดีเขากลับไปแล้วหรือน้อย”
“ค่ะ พี่ กลับไปเมื่อครู่นี่เอง เห็นว่าจะไปทำงานทำการในสวนต่อ”
“เชื่อพี่มั้ย น้อย เดี๋ยวตาวีร์น่ะได้วิ่งรถเข้าเชียงใหม่แน่นอน เอ...หรือพี่จะแกล้งทำทีโทรไปชวนลูกดีนะน้อย เขาจะได้ไม่รู้สึกขัดเขิน ทั้งลูกของพี่ ลูกของน้อยน่ะ ท่ามากกันทั้งคู่นี่นา”
คนเป็นเพื่อนขอความเห็น คุณมันทนาเองก็คิดตรงกันจึงพูดเป็นเชิงสนับสนุน
“ก็ดีนะพี่สุดา เพราะตอนคุยกับน้อย ท่าทางตาวีร์ลุกลี้ลุกลนชะเง้อชะแง้เหลือเกิน ดีว่าน้อยใจแข็งไม่ยอมถาม ตาวีร์เลยยอมเปิดปากเสียเอง แต่แหม...หน้าตางี้แดงเชียวนะ น้อยเห็นก็ค้ำ...ขำ”
คุณมันทนาหัวเราะกิ๊กอย่างอดไม่อยู่ เช่นเดียวกับทางปลายสายที่นึกถึงหน้าตาของลูกชายแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกพักใหญ่
สองแม่ผู้เป็นเพื่อนคู่หูพูดคุยกันต่ออีกพัก คุณมันทนาจึงขอวางสาย เธอหยุดยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง ถ้าหากสิ่งที่เธอหวังไว้เป็นจริงได้ เธอคงวางใจและตายตาหลับเสียที
หากเอ่ยคำนี้ให้ลูกสาวได้ยินเมื่อไร คุณมันทนามักได้รับอาการกระเง้ากระงอดอย่างไม่พอใจพร้อมกับคำพูดโอดครวญจากผู้เป็นลูกทุกทีไป แม้นางจะพร่ำบอกลูกว่า ความตาย...เป็นความจริงของชีวิต
ใครเล่าที่จะหนีความตายพ้น...ไม่มีหรอก...
นางเองก็คงไม่อาจหลีกพ้นความจริงข้อนี้ไปได้!
