บทที่5
ชายหนุ่มออกเดินเลียบลำธารน้ำใสสะอาดที่มองเห็นหินหลากสีรูปทรงกลมมนนอนสงบอยู่เบื้องล่าง สายตาของเขาสะดุดอยู่ที่หินสีขาวทรงสามเหลี่ยมเกลี้ยงมนที่มีด้านหนึ่งเป็นรอยหยักลึก ดูละม้ายคล้ายรูปหัวใจกระนั้น
เขาก้มเก็บหินรูปทรงประหลาด รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก...
ภาพเด็กหญิงแก่นแก้วตัวเล็กกระจ้อยคล้ายจะเต้นเร่าอยู่ตรงจุดที่หญิงสาวยืนอยู่เมื่อครู่ ไม่นึกเลย...เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เด็กหญิงคนที่เขาลืมไปแล้วคนนั้นได้เติบโตกลายเป็นสาว...หน้าตาน่ารักผุดผ่องคล้ายตุ๊กตา...
อีกฝั่งของลำธารร้างผู้คนแล้ว หากชายหนุ่มยังได้ยินเสียงแหลม เล็กดังแว่วๆ
“แน่จริง มานี่สิ มาเลย มาเลย”
เขาก้มมองหินในฝ่ามือ ราวกับว่าเป็นตัวแทนของใครคนหนึ่ง
“เอ่ยปากชวนผมเองนะ มีนา...”
หินรูป ‘หัวใจ’ เข้าไปนอนสงบอยู่ในกระเป๋ากางเกงแล้ว
หาก ‘หินในใจ’ เขากลับร่ำร้อง ไม่ยอมอยู่อย่างสงบเช่นเคย
“แม่ครับ! วันนี้แม่จะออกไปข้างนอกหรือเปล่าครับ”
ชนวีร์ถามผู้เป็นแม่ขณะดื่มกาแฟด้วยกันในตอนเช้าสร้างความประหลาดใจให้กับคุณสุดาอยู่ครามครันเพราะนางพอจะรู้นิสัยลูกชายในฐานะที่เป็นแม่ลูกกัน และชนวีร์ก็เป็นลูกชายคนเดียวที่นางเลี้ยงมากับมือ จะมีก็แต่ตอนโตนี่ล่ะมั้ง ที่ห่างๆ กันไปบ้างเพราะชนวีร์ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่นั่นก็มิได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกลดหย่อนลงไปสักเท่าใด
เพราะฉะนั้นคำถามนี้ของลูกชายจึงทำให้คนเป็นแม่อย่างคุณสุดารู้สึกสะดุดใจ
“ทำไมเหรอลูก วีร์จะชวนแม่ไปไหนจ๊ะ” คนเป็นแม่หยั่งเชิง
“ครับ”
เขารับคำง่ายๆ ทว่าดวงตาพรายด้วยริ้วรอยที่ทำให้คุณสุดาพอจะเดาออกว่า สิ่งที่อยู่ในความคิดของคนเป็นลูกชาย คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวพึงพอใจมิใช่น้อย และไม่ต้องรอให้เธอเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็ไขข้อข้องใจออกมาเสียเอง
“ผมว่าจะชวนแม่ไปกราบน้าน้อยครับ”
คนเป็นแม่เลิกคิ้วเป็นคำถาม ดวงตาภายใต้แว่นสายตากรอบบางฉายแววบางอย่างที่อีกฝ่ายไม่ทันจะสังเกต ชายหนุ่มวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มต้นพูดอย่างเป็นการเป็นงาน รอยยิ้มแกมขบขันจึงผุดขึ้นที่มุมปากของคนเป็นแม่
“ตั้งแต่กลับมา ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมน้าน้อยเลยนี่ครับแม่ วันนี้...พอดีผมว่างๆ น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะแวะไปกราบสวัสดีน้าน้อยสักหน่อย ป่านนี้ข่าวผมกลับมาคงจะไปถึงสวนโน้นแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาจะว่าเอาได้น่ะครับว่า ไม่เห็นหัว”
ประโยคท้ายๆ คนเป็นแม่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินจากที่ไหน แล้วก็ระลึกได้ว่าเป็นคำพูดที่เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าคนตัวโตผิวคร้ามเข้มตรงหน้าให้ไปเยี่ยมเยียนกราบไหว้เพื่อนบ้านข้างเคียงตั้งแต่วันแรกๆ ที่เขาย่างเท้ากลับมาถึงบ้าน
หากก็ได้รับคำปฏิเสธมาโดยตลอด จนเธอเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายเลิกล้มความตั้งใจไปในที่สุด
“อืมมม... แม่ก็ว่าอย่างนั้นแหละลูก ป่านนี้ ‘ข่าว’ ของลูกคงไปถึงหูคุณน้อยแล้วกระมัง”
การจงใจเน้นคำทำให้คนเป็นลูกรู้สึกได้ทันทีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นคงไม่พ้นหูพ้นตาคนเป็นแม่แน่นอน
ก็แน่ล่ะ!
คนงานในสวนปากอย่างกับโทรโข่งกันทุกคน หากที่เขาไม่รู้นั่นคือ...ไอ้ท่าที่เขาท้าทายสาวสวนข้างเคียงอยู่เหยงๆ กลางลำธารเป็นช็อตเด็ดเสียยิ่งกว่าช็อตไหนๆ ขนาดแม่บัวคำ..แม่ครัวคนเก่งประจำสวนที่อยู่บนเรือนแทบจะตลอดเวลายังเล่าได้อย่างกับตาเห็น โดยเฉพาะประโยคที่คุณวีร์ของแกตะโกนถามอีกฝ่ายว่า...เสียดายที่ไม่ได้เป็นแฟนผมหรือเปล่านั่นล่ะ
แกตบเข่าฉาดพร้อมหัวเราะชอบใจทุกทีที่เล่าถึงตอนนี้
ก็ใครๆ ในสวนแทบจะทุกคนต่างก็พากันจับคู่ให้ผู้เป็นนายไว้แล้วทั้งนั้น จะเป็นใครที่ไหนหากไม่ใช่คุณมีนาวลัย...ลูกสาวคุณมันทนา...เจ้าของสวนส้มมีนาวลัยที่อยู่ข้างๆ และเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของคุณสุดาและครอบครัวมาช้านาน
แม้คุณสุดาเองก็เถิด ยังอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินในครั้งแรก หากก็ยังสงวนท่าทีมิได้เอ่ยกระไร เนื่องจากไม่อยากจะให้ลูกชายรู้สึกว่าแม่กะเกณฑ์ชีวิตมากเกินไป แต่ก็นั่นล่ะ...ตามประสาของคนเป็นแม่ คุณสุดาก็รู้สึกใจชื้นมิใช่น้อย หลังจากที่ลูกชายไปเรียนเมืองนอก เธอก็อกสั่นขวัญหายหวั่นว่าลูกจะพาสาวผมทองตาสีฟ้ามาฝากยามสำเร็จกลับมา แต่ก็โล่งอกเมื่อวันที่คนเป็นลูกกลับมาพร้อมปริญญาในมือ แถมคำยืนยันอีกเป็นพะเรอว่า...หัวใจยังเป็นโสด
วันนี้เธอพอจะมองเห็นความหวังรำไร เรื่องที่เคยวาดหวังวางแผนให้ลูกชาย จนผู้เป็นสามีค่อนขอดเอาเสมอว่า คิดจะเป็นแม่ชนิดที่ขีดอนาคตลูกหรืออย่างไร มีทีท่าจะเป็นจริงบ้างแล้ว ยิ่งคำชักชวนของพ่อลูกชายตัวดีในเช้าวันนี้...ยิ่งทำให้คุณสุดามั่นใจขึ้นอีกเท่าตัว
คุณสุดามองคนที่นั่งถือถ้วยกาแฟค้าง คิ้วดกหนาที่ทำให้ดวงหน้ายิ่งดูเข้มขมวดจนแทบจะเป็นปม เจ้าตัวคงนึกไปถึงเรื่องราวในวันวาน และดูท่าจะวิตกกังวลเล็กน้อย แต่แล้วราวกับจะตัดสินใจอะไรได้กระนั้น คิ้วที่ขมวดจึงค่อยคลายออก ชายหนุ่มวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่นานแล้วลงบนโต๊ะ พร้อมๆ กับเอ่ยคำกับคนเป็นแม่
“นั่นสิครับ แม่... ไม่รู้ว่าน้าน้อยจะโกรธหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะลูก?” คนเป็นแม่ถาม
“ก็ผมไปทำให้ยายกุ้งแห้ง...ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเขาโกรธนี่ครับแม่ก็...”
น้ำเสียงท้ายประโยคของลูกชายเจือเสียงหัวเราะขำ คนเป็นแม่จึงพลอยหัวเราะไปด้วย โดยเฉพาะกับคำเปรียบเปรยของลูกชาย เรื่องราวในครั้งเก่าๆ ที่คนตรงหน้ายังคงเป็นเด็กชายย้อนคืนมาสู่ความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง
“นี่วีร์ยังจำได้เหรอจ้ะ ว่าเคยเรียกหนูมีนาว่ายายกุ้งแห้ง ตอนเด็กๆ หนูมีนาแกโกรธลูกน่าดูเชียวนะเวลาที่ลูกเรียกอย่างนี้ แม่จำได้ว่าแกจะยืนกระทืบเท้าไม่พอใจ แล้วสุดท้ายก็ร้องไห้เพราะทำอะไรลูกไม่ได้ ว่าไปตอนนี้หนูมีนาแกพัฒนาขึ้นเยอะนา...”
สายตาของแม่ทำให้ชนวีร์ยิ้มฝืดๆ เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างลืมตัว เสียงที่ตอบอ่อยลงถนัดใจ
“นั่นซีครับแม่ มือหนักชะมัดเลย ตัวก็แค่นั้น”
“ไม่นึกว่าลูกจะจำหนูมีนาได้ แกโตขึ้นแล้วเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะจ้ะ”
“ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอกครับ งงเสียด้วยซ้ำ...จนได้ยินเขาเรียกแม่ว่าป้าสุนั่นแหละ ถึงได้...อ๋อ”
คุณสุดายิ้ม “แล้วหนูมีนาล่ะ จำลูกได้หรือเปล่า”
ชนวีร์ส่ายหน้า “คงไม่ได้หรอกครับ แต่ไม่แน่เขาอาจจะจำผมได้นะครับแม่ เลยถือโอกาสแก้แค้นที่ผมเคยแกล้งเขาไว้เยอะ”
“แหม...หนูมีนาคงไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างนั้นหรอกจ้ะ เออ...เสียดายจังลูก” คุณสุดาวกกลับสู่คำชักชวนแต่แรกเริ่มของอีกฝ่าย “มาชวนเอาวันที่แม่ไม่ว่างเสียด้วย วันนี้แม่นัดพ่อของลูกไว้น่ะจ้ะ จะไปทานข้าวกลางวันกันสักหน่อย ว่าจะชวนลูกไปทานข้าวด้วยกันเย็นนี้ ว่าไงจ้ะ”
คุณสุดาถามพลางเอียงคอมองลูกชายเหมือนรอคำตอบ...ที่รู้แน่แก่ใจ
“เอ่อ...ขอผมดูงานที่นี่ก่อนได้ไหมครับ ถ้าว่างผมจะตามไป”
“จ้ะ...ตามใจลูกเถอะ ลูกไปเยี่ยมคุณน้อยคนเดียวก็ได้นี่จ้ะ แม่ฝากความคิดถึงให้คุณน้อยด้วยละกัน”
คำยัดเยียดอย่างละมุนละม่อมนั้น ทำให้เจ้าลูกชายตัวดี ไม่อาจปฏิเสธแม่แต่น้อย
“ครับ”
ชนวีร์รับคำไม่เต็มเสียงดีนัก เอาเหอะน่า...เขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอก ยอมรับในสิ่งที่ทำเสมอ ...แต่เรื่องนี้เขาว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา นอกจากกวนโมโหยายกุ้งแห้งหน่อยเดียว...
“เอาล่ะจ้ะ แม่เห็นจะต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ กว่าจะขับรถไปถึงตัวเมืองกินเวลาพอดูนะจ้ะ แม่ไม่อยากรีบน่ะ วีร์ก็ควรจะรีบไปนะจ้ะ เผื่อคุณน้อยเธอจะออกไปไหน เดี๋ยวจะคลาดกันเสียเปล่าๆ ...อ้อ ! แล้วอย่าลืมแต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดูดีๆ หน่อยนะลูก”
สุดท้ายคนเป็นแม่ก็ยังไม่วาย ‘เป็นห่วง’ ลูกชายคนเดียว
ชนวีร์นั่งจมกับความคิดของตัวเอง...ภาพของหญิงสาวตัวเล็กร่างเพรียวในกางเกงยีนเก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้า ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้เป็นหางม้ากลางหลัง ไรผมที่รุ่ยๆ ลงมาปรกหน้าผากและขมับพอจะทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงคงจะวิ่งวุ่นทำงานมาทั้งวัน หรือไม่ก็มิได้ใส่ใจกับตัวเองเท่าใดนัก วนเวียนอยู่ในความคิดของเขา
ผู้หญิงที่เขาพานพบตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับหญิงสาวคนนี้ คนที่แต่ก่อนเขาก็ว่าเธอน่าจะเป็นคุณหนูไม่น้อยไปกว่าผู้หญิงเหล่านั้น แต่อะไรล่ะ...อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป
หรือแท้จริงแล้ว...เธออาจจะไม่เคยเปลี่ยน
ที่จริงเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยต่างหาก ชนวีร์หัวเราะหึหึในลำคอ อีกครั้งที่มือของเขาเลื่อนไปลูบใบหน้าอย่างลืมตัว
เด็กหญิงคนที่เขารู้จักกับหญิงสาวที่ได้พบเมื่อวานยังคงเจ้าแง่แสนงอน ขี้โมโห แถมยั่วขึ้นไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแม้สักนิด
