บท
ตั้งค่า

บทที่4

คราวนี้ยิ้มละไมที่ซ่อนอยู่ กลับเปิดเผย หากเป็นยิ้มที่ทำให้คนร่างเพรียวสั่นไปทั้งตัว ด้วยความโกรธที่แล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นมาเหมือนพายุที่กำลังจะก่อตัว ดวงหน้าที่ซีดขาว กลับแดงก่ำ ข้อมือยิ่งเกร็งแน่น เมื่อประโยคถัดมาหลุดรอดจากริมฝีปาก พร้อมทั้งแววตาระยับอย่างคนที่มีแต้มในมือสูงกว่าของอีกฝ่าย

“ลูกหมาตกน้ำน่ะ คุณเคยเห็นมั้ย?”

ชายหนุ่มรู้สึกสนุก ใบหน้าของหญิงสาวคนนี้เหมือนกระดาษขาวสะอาดที่เขาสามารถใช้คำพูดวาดอารมณ์ออกมาให้เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

เจ้าหล่อนกำมือเข้าหากันแน่น ริมฝีปากอิ่มที่ในยามปกติคงจะน่าดู หากในยามนี้กลับเม้มเข้าหากันจนผิดรูปผิดร่างไปอย่างน่ากลัว ด้วยแรงอารมณ์ที่ปะทุอยู่ภายใน หล่อนทำกิริยาเสมือนว่ากระทืบเท้า หากคงจะไม่ถนัดนักเพราะยืนอยู่ในน้ำซึ่งลึกกว่าครึ่งขา

และก่อนที่ชายหนุ่มจะทันคาดคิด มือเล็กๆ ที่กำแน่นนั้นก็เงื้อขึ้นสูงและตวัดลงมาเต็มแรง เสียงฉาดใหญ่ดังขึ้น พร้อมๆ กับหน้าของเขาหันไปอีกทาง

ทุกคนอยู่ในอาการตะลึงงัน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า หญิงสาวจะลุแก่โทสะถึงขนาดตบหน้าอีกฝ่าย เพราะคำพูดเพียงเท่านั้น คนงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็กลัวว่าเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต

อันที่จริงความสัมพันธ์ของสวนทั้งสองก็สนิทสนมแนบแน่นกันดี เรื่องกระทบกระทั่งกันก็มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนงานในสวนเท่านั้นเอง ตัวผู้เป็นเจ้าของสวนทั้งสอง อันได้แก่ คุณมันทนาและคุณสุดาก็เป็นเพื่อนรักกันมาเนิ่นนาน ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมักจะไกล่เกลี่ยกันได้เสมอ

และเรื่องเอาหินมาขวางลำน้ำไว้ก็เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย เพราะพื้นที่แทบนี้มีสายน้ำใหญ่น้อยไหลผ่านอยู่หลายสาย การกั้นขวางลำน้ำสายนี้เพียงสายเดียว มิได้ทำให้ผลผลิตในสวนตกต่ำลงสักน้อย

การที่หญิงสาวเกิดโทสะขนาดนี้จึงออกจะเกินกว่าเหตุ และเป็นสิ่งผิดปกติในสายตาของทุกคน รวมทั้งอีกสองสาวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทด้วย

เกดแก้ว…คนตัวสูงที่สุดถลามากั้นกลาง...เพื่อห้ามทัพ หล่อนละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษ พลางผลักเพื่อนให้ถอยห่าง

ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าตนเองเบาๆ มองหญิงสาวที่ยืนจ้องหน้าอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วยิ้มน้อยๆ สำหรับเขาเจ็บเท่านี้ไม่กระไรหรอก

“ฉันขอโทษแทนมีนาด้วยนะคะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจน่ะ ขวัญๆ”

หล่อนหันไปเรียกเพื่อนอีกคนที่ยังไม่หายจากอาการตกใจ

“เอาตัวมีนาไปทีสิ”

คนชื่อขวัญรู้สึกตัวค่อยๆ เดินทวนน้ำมา กึ่งลากกึ่งจูงคนร่างเพรียวขึ้นฝั่ง

“เอ้อ...คุณคงไม่โกรธเพื่อนฉันนะ มีนาไม่ตั้งใจหรอก ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมันโมโหจนหลุดโลกเหมือนอย่างวันนี้เลย…เฮ้ออ” คนพูดทอดถอนใจ พลางส่ายหน้า

“ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ยังจะขี้โมโหอีก ยายคนนี้นี่...”

“งั้นผมก็ควรภูมิใจซีนะ ที่ยั่วเพื่อนคุณให้โมโหได้ถึงขนาดนี้”

ชายหนุ่มพูดเหมือนรำพึง สายตาจับจ้องตามร่างเพรียวบางที่เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นฝั่งได้

เกดแก้วมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิศวง

...คนอะไร พิลึกจริง โดนตบซะหน้าหัน แล้วยังจะภูมิใจอีก...

“นี่คุณ!”

เสียงทุ้มที่ตะโกนไล่หลังมาทำให้ คนที่กำลังจะก้าวขึ้นฝั่งต้องหันกลับมาอีกครั้ง

“ไอ้ที่คุณบอกว่าเสียดายน่ะ …เสียดายที่ไม่ได้เป็นแฟนผมหรือเปล่า”

คนร่างเพรียวแทบจะถลาลงน้ำมาอีก หากไม่มีคนฉุดแขนเอาไว้ทันท่วงที ที่ทำได้จึงเพียงแต่ยืนกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโห พลางตะโกนท้าทายคนที่ยืนอยู่ในน้ำเหยงๆ

“แน่จริง มานี่สิ มาเลย มาเลย”

“คุณนี่ จริงๆ เลย”

เกดแก้วส่ายหน้าดิก ก่อนจะเดินตามเพื่อนขึ้นฝั่งไปอีกคน ปล่อยให้หนุ่มร่างสูงยืนกลางลำธารกับเจ้าลูกน้องตัวก่อเหตุทั้งสาม

เมื่อเห็นว่าเจ้านายยังคงมองตามคุณจากสวนโน้นอยู่ ทั้งสามคนจึงค่อยๆขยับเขยื้อน หวังว่าจะอาศัยช่วงเวลานี้ปลีกตัวไป เพราะต่างก็รู้ดีว่า...ครานี้ถึงทีชำระความของตนแล้ว หากเสียงเข้มที่แฝงอำนาจดังขึ้นเสียก่อน ทั้งสามจึงสะดุ้งโหยง ยืนตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำ

“ว่าไง...ความผิดของพวกแกยังมีอยู่นะ จะให้ฉันทำยังไงก็ว่ามา...”

เจ้าคนตัวโตกว่าเพื่อน ยกมือไหว้ท่วมหัว

“โธ่…นาย ครับ พวกผมน่ะ หวังดีหรอก อยากจะทดน้ำมาไว้ที่ร่องของเรา เพราะท้องร่องตรงช่วงโน้นค่อนข้างจะแห้ง ผมกลัวว่าส้มจะฟ่ามเสียหมด”

คนงานอีกสองคนที่เหลือรีบเออออตาม พลางยกมือไหว้เขาท่วมหัวปะหลกๆ

“เอาล่ะๆ” ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณให้หยุด

“ฉันขอบใจมาก แต่พวกแกก็ไม่ควรทำอย่างนี้ อย่างที่เขาว่าก็ถูกแล้วล่ะ ทำอย่างนี้น่ะวิธีสกปรกชัดๆ ลูกผู้ชายที่ไหนเขาทำกัน คนเราอยู่ใกล้กันก็ควรจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้าหากน้ำในร่องโน้นแห้งนัก เราก็คิดหาวิธีอื่นดีกว่า ยังมีหนทางแก้ปัญหาอีกตั้งเยอะ ดีกว่าจะมานั่งผิดใจกันเพราะเรื่องเท่านี้…”

‘นาย’ยกมือลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้เจ้าคนตัวผอมโกร่งชะโงกหน้ามาถาม

“เจ็บหรือครับ?”

อีกคนยิ้มเห็นฟันขาวกระซิบตอบ หากก็ดังพอที่คนเป็นนายจะได้ยิน

“เฮ้ยย! ไม่เจ็บหรอก นายเป็น ‘ลูกผู้ชาย’โว้ย แค่นี้เดะๆ”

“ไป ไปทำงาน ทำการกันได้แล้ว ยังจะมาโอ้เอ้อีก โน่นหินพวกนั้นกับกระสอบทรายน่ะ ขนมาจากไหน เอากลับไปไว้ที่เดิมให้หมด เดี๋ยวฉันจะกลับมาดู ถ้ายังไม่เสร็จก็ไม่ต้องกินข้าวกลางวัน”

เสียงเข้มดุมีอำนาจออกคำสั่ง เป็นผลให้ลูกน้องทั้งสามแตกวงกระจายออกไปทำงานอย่างเร็วรีบ ตะวันเคลื่อนสูงขึ้นทุกขณะ หากยังชักช้าอยู่ อาจจะต้องอดมื้อกลางวันกันจริงๆ ก็ได้

ในยามทำงาน ‘คำสั่ง’ ของนายคือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างแข็งขัน และต้องลุล่วงให้ทันกำหนด

หากในยามสนุกสนาน ‘คำสั่ง’ จะกลายเป็น ‘คำชักชวน’ อย่างเป็นกันเอง ไม่ว่าจะ…

“คืนนี้ ก่อไฟกันนะ”

“ไปกินเหล้าเถอะ” หรือ…

“มาเตะตะกร้อกัน “

ยามนั้น…ระหว่างนาย กับ ลูกน้อง จะเสมอกัน เฉกเช่นผู้ชายที่มีความเท่าเทียมกันทุกประการ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel