บทที่3
เสียงเอ็ดตะโรดังลั่นทำให้ชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินอยู่ระหว่างท้องร่องต้องชะเง้อมองหาต้นตอของเสียง เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจับทิศทางว่ามาจากทางใดแน่ ครั้นแน่ใจจึงออกเดินมุ่งไปทางปลายสวนซึ่งติดกับสวนข้างเคียง
ยิ่งใกล้ เสียงดังลั่นก็ยิ่งชัดเจนขั้นเป็นลำดับ เป็นเสียงผู้หญิง...แหลม เล็ก ตวาดเกรี้ยวอย่างมีโมโห
เมื่อเดินพ้นท้องร่องสุดท้ายปลายสวน ก็คือลำธารกว้างซึ่งมีน้ำใส...เย็น...ไหลตลอดปี เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสวนส้มของเขาและของเพื่อนบ้าน
กลางลำธาร...มีคนยืนกันอยู่เกือบสิบคน สามในนั้น...เขาจำได้ว่าเป็นคนงานในสวนของเขาเอง
ทั้งสามคนยืนก้มหน้า ไม่ยอมพูดยอมจาปล่อยให้เจ้าของเสียงแหลมเล็กซึ่งยืนเอามือเท้าสะเอวข้างหนึ่ง อีกข้างกำไม้ขนาดพอเหมาะไว้มั่น ด่าฉอดๆ อย่างเกรี้ยวกราด
ชายหนุ่มอดยิ้มอย่างนึกขันไม่ได้ ...ก็ร่างเพรียวในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตดูทะมัดทะแมงนั้นเปียกปอนเกือบทั้งตัว เขาเดาเอาเองว่าตอนที่เจ้าหล่อนตะกายลงน้ำด้วยความโมโห คงจะเหยียบพลาดลื่นไถลตกน้ำแน่ๆ จึงได้มีสภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำสักเท่าไร หากทีท่ากราดเกรี้ยว...จริงจัง ทำให้เกือบทุกผู้เงียบงันด้วยความกริ่งเกรง เว้นแต่หญิงสาวสองคนที่ยืนขนาบพลางรั้งแขนคนร่างเพรียวเอาไว้คนละข้าง
นี่ถ้าไม่มีสองคนนั่นรั้งไว้ ไม้ท่อนนั้นคงจะฝากรอยไว้บนหัวใครต่อใครเข้าบ้างหรอก
“อ้าว...บ้านแตกกันหรือยังไง เสียงดังไปถึงนู่น”
เสียงเข้ม ดุ เอ่ยถามเหมือนรำคาญเต็มที
ร่างเพรียวชะงัก หันขวับ ดวงตาวาวโรจน์
“คุณมายุ่งอะไรด้วย”
หญิงสาวถามกลับมาเกือบจะตะคอก หากท้ายเสียงกลับอ่อนลง เพราะนึกสงสัยว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ที่เพิ่งจะมาถึงเป็นใคร
ดูจากลักษณะท่าทางแล้วไม่น่าจะเป็นเพียงคนงานในสวน เพราะเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนที่ใส่ดูมีราคา ไหนจะรองเท้าบู๊ตกับหมวกทรงคาวบอยหนังแท้นั่นอีกเล่า...
มีนาวลัยมองหน้าคนมาใหม่...แวบหนึ่งคล้ายมีภาพซ้อนของใครสักคนทาบทับใบหน้าของเขา หญิงสาวรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครสักคน ทว่าหล่อนนึกไม่ออก
“ไม่ให้ยุ่งได้ไงคุณ ก็นี่...” ชายหนุ่มกวาดมือชี้กราดไปทั่วสวนของตน
“สวนผม และนี่...” ท้ายสุดปลายนิ้วก็ชี้ตรงไปยังเจ้าคนงานสามคนที่มองมาที่เขาอย่างใจชื้น
“คนของผม”
“อ๋อ...”
คราวนี้เสียงที่เริ่มจะอ่อนลงกลับเกรี้ยวกราดดุจเดิม ความคิดที่ว่าผู้ชายตรงหน้าคล้ายใครสักคนที่เคยรู้จักอันตรธานไปในทันที หล่อนเลิกคิดหาคำตอบ จ้องหน้าเขาแน่วแน่...แม้ว่าเขาจะหน้าเหมือนใครก็ช่าง ตอนนี้มีนาวลัยรู้แต่ว่า...จำเลยที่หนึ่งเดินมาให้หล่อนพิพากษาถึงที่
"งั้นก็ดีล่ะ มาก็ดีแล้ว”
คนร่างเพรียวสะบัดแขนหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของเพื่อนได้ ก็เดินหน้าเชิดตรงมาหยุดยืนจังก้าหน้าเจ้าของสวนหนุ่มผู้เพิ่งมาถึง แล้วก็ฉอดๆ เสียจนอีกฝ่ายรับไม่ทัน
“คำสั่งคุณใช่มั้ย ที่ให้เจ้าพวกนี้ขนหินมากั้นลำน้ำไว้ ต้องคำสั่งคุณอยู่แล้วล่ะ เพราะฉันรู้จักป้าสุดี ป้าสุไม่มีวันทำอะไรสกปรกๆอย่างนี้แน่ คนอะไร้...เห็นแก่ตัวชะมัด นึกว่าลำธารนี้เป็นของคุณคนเดียวหรือไง นี่ฉันจะบอกให้...ลำธารนี้น่ะ ของ... ‘ส่วนรวม’ เข้าใจมั้ย?”
เจ้าหล่อนถามโดยไม่รอฟังคำตอบแล้วก็พูดต่อ
“ส่วน...รวม น่ะ” คนพูดเน้นทีละคำ ราวกับกลัวคนฟังจะไม่เข้าใจความหมาย
“นี่คุณเล่นเอาหินมาถมกั้นน้ำไว้อย่างนี้ น้ำก็ไหลเข้าสวนฉันไม่ได้สิ ถามจริงเหอะ...คุณน่ะเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า อ๋อ...หรือว่าเป็น...ลูกหมา เชอะ! น่าเสียดายหน้าตาก็ดี ไม่น่าเล้ย ฉันล่ะเสียดายจริง จริ๊ง”
ท้ายเสียงสูงราวกับคนพูดจะย้ำให้รู้ว่าเสียดายจริงๆ
“เอาล่ะ คุณพูดจบแล้วใช่มั้ย”
คนยืนฟังมานานเอ่ยถามเรียบๆ เขาไม่เว้นช่องให้อีกฝ่ายได้ตอบคำถาม เพราะหากทำอย่างนั้น เขา...จะกลายเป็นคนที่ต้องจบคำพูดเสียเอง
“ก่อนอื่น...ผมต้องขอชี้แจงว่า ที่ไอ้สามคนนี้เอาหินมากองขวางทางน้ำไว้นี่ ผมไม่รู้เรื่อง และก็ไม่ได้เป็นคนสั่งให้มันทำด้วย เพราะผมเองก็ไม่ชอบไอ้วิธีการ ‘สกปรก’นี้เหมือนกัน”
คนพูดเหลือบแลไปทางต้นเหตุซึ่งดูเหมือนจะรู้ความผิดของตนดี เพราะต่างคนก็ต่างก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาเจ้านายหนุ่ม ด้วยรู้ดี...
เจ้านาย...แม้จะใจดี หากก็เด็ดขาดเสียยิ่งนัก
เสียงเรียบเรื่อยยังคงดังต่อไป ใบหน้าคร้ามแดดซ่อนยิ้มละไม จนคนร่างเพรียวนึกหมั่นไส้
...จะยิ้มอะไรนักหนา...
“และ...ถึงผมจะจากบ้านเกิดเสียนาน ยังไงผมก็ยังไม่ลืมภาษาแม่ของผมหรอกครับ ‘ส่วนรวม’น่ะผมรู้และเข้าใจความหมายของมันดี คุณไม่ต้องย้ำหนักแน่นอย่างนั้นหรอก เดี๋ยวจะเหนื่อยเสียเปล่าๆ ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยว่าผมน่ะเป็นลูกผู้ชาย หรือ ลูกหมา...”
คนพูดเว้นจังหวะนิดหนึ่ง พลางใช้สายตากวาดมองคนร่างเพรียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยแววตาคล้ายจะเยาะ
“ผมตอบได้ตรงนี้ว่า ผมน่ะลูกผู้ชายเต็มตัว แต่คุณนี่ซี...เหมือนลูกหมาไม่มีผิด”
