บท
ตั้งค่า

บทที่ 16 แคว้นชิงหลงชื่อและตระกูลฟ่าน

(อดีต)

ฮ่องเต้ที่ยังคงจับจ่อกับฝันร้ายนั้น ยังไม่อยากปักใจเชื่อในสิ่งที่ขุนนางกราบทูลและพยายามจะลืมเลือนฝันนั้นไป เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง

ต่อมาถึงแม้องค์ชายทั้งห้าจะต่างทรงมีความเก่งกาจและพระปรีชาสามารถที่ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกองค์นั้นต่างให้ความสนใจเหมือนกันคือลูกสาวคนกลางของตระกูลฟ่านผู้ที่ครั้งนึงเคยอยู่ในตำแหน่งรองแม่ทัพร่วมรบทัพจับศึกคู่กายกับอดีตฮ่องเต้ ในกาลต่อมาได้เลื่อนขั้นเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ทำหน้าที่ด้านธุรการทางการทหาร เสนาบดีฟ่านเป็นหนึ่งในขุนนางคนโปรดของอดีตฮ่องเต้จึงมีโอกาสได้พาบุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเข้าวังบ่อยครั้ง

ใต้เท้าฟ่านมีบุตรชายอยู่สองคนนามว่า ฟ่านเยว่ส่างและฟ่านเยว่ชื่อ ล้วนแล้วแต่มีความหมายเกี่ยวข้องกับพระจันทร์ทั้งสิ้น

ทั้งสองมีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือกับบรรดาองค์ชายเมื่อครั้งยังเล็กพร้อมๆ กับบุตรชายจากตระกูลขุนนางตระกูลอื่น ส่วนบุตรสาวคนกลางของใต้เท้าฟ่านมีนามว่าฟ่านเยว่ซินเปรียบเสมือนน้องเล็กสุดวัยเจ็ดขวบที่แวะเวียนเข้าวังพร้อมกับพี่ชายทั้งสอง แต่เพราะเป็นหญิงจึงไม่ได้เข้าเรียน ได้แต่หาอะไรเล่นไปเรื่อยตามประสาเด็กและจะส่งยิ้มให้แก่เหล่าองค์ชายทุกครั้งที่เจอ ด้วยความน่ารักใสบริสุทธิ์ของฟ่านเยว่ซินเป็นที่ถูกใจของเหล่าองค์ชาย ทำให้พวกเขามักมาเป็นเพื่อนเล่นให้แก่เด็กสาวอยู่บ่อยครั้ง เด็กสาวตัวน้อยเองก็ดีใจทุกครั้งที่เหล่าองค์ชายมาเล่นด้วย

ในบางครั้งยามเล่นซ่อนแอบด้วยกัน พวกองค์ชายจะแกล้งทำเป็นหาไม่เจอ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าฟ่านเยว่ซินชอบไปแอบอยู่ที่เดิมเป็นประจำไม่เคยเปลี่ยน แต่เพราะอยากให้เด็กน้อยดีใจที่ตนแอบสำเร็จจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ที่ซ่อนของนาง เด็กสาวจึงเข้าใจว่าตนเองเก่งและแอบได้อย่างแนบเนียน ระยะเวลาเพียงสองชั่วยามต่อวันที่เล่นด้วยกัน นานวันเข้าความสนิทสนมยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าวันนึงความสนุกในวัยเด็กจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นรักฉันหนุ่มสาวไปโดยไม่มีใครทันรู้ตัว

ในวันนึงบุตรสาวเสนาบดีฟ่านที่อายุได้เพียงห้าขวบมีโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกันกับบิดา ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาแข่งตอบปัญหาที่ฮ่องเต้ทรงจัดขึ้นโดยมีบรรดาขุนนางเข้าร่วม จึงได้เข้าร่วมแข่งตอบปัญหาเชาวน์ เด็กหญิงตัวน้อยตอบชนะแถมยังคิดปัญหาเชาวน์โต้ตอบกลับไปจนผู้ใหญ่จนแต้ม

“อะไรเอ่ย เกิดมามีสี่ขา โตขึ้นมีสองขา แก่ตัวมีสามขา” พวกผู้ใหญ่พากันหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามคิดหาคำตอบ แต่ไม่มีใครตอบได้จนหนูน้อยจึงยอมเฉลยว่า คำตอบคือ “คน” โดยให้เหตุผลว่าแรกเกิดคนเราต้องฝึกคลานจึงมีสี่ขา ต่อมาโตขึ้นเดินได้จึงมีสองขาและพอแก่ตัวเดินไม่ไหวต้องใช้ไม้เท้าพยุงจึงมีสามขา

ฮ่องเต้ทรงหัวเราะพอพระทัยในความเจ้าปัญญาของบุตรสาวเสนาบดีฟ่านแต่ก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดเด็กน้อยที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงสามารถตอบและคิดปัญหาเชาวน์แปลกๆ ขึ้นมาได้ หนูน้อยฟ่านเยว่ซินตอบด้วยความใสซื่อว่า

“หม่อมฉันชอบอ่านตำราของท่านพ่อและมองดูสังเกตผู้คนยามท่านพ่อพาไปเที่ยวเพคะ” ฮ่องเต้จึงตระหนักได้ว่าฟ่านเยว่ซินเป็นเด็กช่างสังเกตและพูดจาฉะฉานทั้งที่อายุแค่เจ็ดขวบ หากเป็นชายคงสามารถสอบเข้ารับราชการในวันข้างหน้าความสามารถคงทำให้ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงได้ เสียดายนักที่เป็นหญิง

ฮ่องเต้ทรงประทานอนุญาตให้หนูน้อยฟ่านเยว่ซินขอสิ่งที่อยากได้อย่างนึงเพื่อเป็นรางวัลที่ชนะการแข่งขันตอบปัญหา หนูน้อยจึงขอถามคำถามในสิ่งที่นางอยากรู้ ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นการอนุญาตให้ถามได้ หนูน้อยจึงถามว่า

“เพราะหม่อมฉันเกิดเป็นเด็กผู้หญิงจึงไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเช่นท่านพี่ที่เป็นเด็กผู้ชายใช่ไหมเพคะ” ห่านเยว่ซินตัวน้อยถามอย่างใสซื่อ

ในแคว้นชิงหลงชื่อแบ่งแยกหน้าที่ของชายหญิงอย่างชัดเจน ตามหลักคุณธรรมสามเชื่อฟังสี่คล้อยตาม หญิงสาวทั่วแคว้นจึงไม่ได้เรียนหนังสือเฉกเช่นบุรุษ เพียงแต่ร่ำเรียนการวาดรูป ดนตรี เย็บปักถักร้อย การบ้านการเรือนเพื่อออกเรือนเท่านั้น

"เยว่ซิน!" เสนาบดีฟ่านหันไปดุบุตรสาวและจับให้นางคุกเข่าขออภัยโทษ "ขออภัยฝ่าบาท อย่าทรงถือสาบุตรสาวกระหม่อมเลย นางยังเด็กไม่รู้ความว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด กระหม่อมจะอบรมนางเองพ่ะย่ะค่ะ" เสนาบดีฟ่านรีบคุกเข่าขอประทานอภัยแทนบุตรสาว

“ไม่เป็นไร เจ้าลุกขึ้นเถอะ บุตรสาวเจ้าช่างมีปัญญาล้ำเลิศ แตกต่างจากหญิงสาวในแคว้น ฟ่านเยว่ซิน เจ้าคิดว่าเหตุใดหญิงจึงสมควรเรียนหนังสือเหมือนกับชาย ในเมื่อหน้าที่ของหญิงมีเพียงเย็บปักถักร้อย ดูแลบ้านเรือนและปรนนิบัติสามีเท่านั้น เจ้าเคยอ่านตำราสี่จรรยาสามเชื่อฟัง [1] หรือไม่”

“หม่อมฉันเคยอ่านเพคะ และทราบว่าแคว้นของเราดำรงด้วยหลักคุณธรรมนี้ สี่จรรยาประกอบด้วย ประพฤติงาม วาจางาม หน้าตารวมถึงกิริยางาม และสุดท้ายงานฝีมืองาม ส่วนสามเชื่อฟังคือ ก่อนออกเรือนให้เชื่อฟังบิดา หลังออกเรือนให้เชื่อฟังผู้เป็นสามี หากสามีเสียชีวิตให้เชื่อฟังบุตรชาย แต่หากผู้หญิงไม่มีความรู้ก็ยากที่จะเอาตัวรอดได้และไม่สามารถได้รับการปกป้องได้ตลอด คงจะดีหากผู้หญิงมีความรู้ติดตัวและเป็นกำลังเสริมให้กับชายได้เพคะ”

“เยว่ซิน!” หลังจากบุตรสาวตอบจบ เสนาบดีฟ่านก็หันมาดุบุตรสาวอีกครั้งเพราะเกรงว่าคำตอบจะทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะลั่นท้องพระโรงแทน

“ฮ่าๆๆ ยอดเยี่ยม บุตรสาวเจ้าช่วยให้ข้าได้หายข้องใจในบางอย่าง ข้าปรารถนาให้ชิงหลงชื่อเป็นแคว้นที่มีแต่ความก้าวหน้าและมั่นคง ข้าเคยได้ยินว่ามีบ้านเมืองอันไกลโพ้นที่ทั้งเมืองมีประชากรชายอยู่เพียงน้อยนิดจนเหมือนเป็นการง่ายที่เมืองจะถูกยึดครอง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะสตรีลุกขึ้นมาจับดาบปกป้องบ้านเมืองและยังสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาหลายชั่วอายุคน ด้วยทุกบ้านทั้งชายและหญิงต่างรู้หนังสือและศาสตร์ต่างๆ มากมาย โดยไม่มีแบ่งแยก ข้าก็มีความคิดที่จะให้หญิงในแคว้นได้เริ่มเรียนหนังสืออ่านตำราเฉกเช่นชาย เยว่ซิน เจ้าสร้างความกระจ่างแจ้งแก่ใจข้า ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะมีคำสั่งลงไปให้บุตรสาวทุกครัวเรือนสามารถเรียน เขียน อ่านอย่างที่บุตรชายได้รับ”

"เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" เหล่าขุนนางและผู้คนที่อยู่ตรงนั้นหมอบกราบลงพื้นให้กับพระปรีชาของฮ่องเต้

วันนั้นเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตของฟ่านเยว่ซินไปโดยสิ้นเชิง นับแต่นั้นอดีตฮ่องเต้ทรงเรียกเด็กน้อยเข้าเฝ้าบ่อยครั้งกว่าเก่าและยังให้เรียนร่วมชั้นกับเหล่าองค์ชาย จนเสียงร่ำลือว่าฮ่องเต้ทรงเอ็นดูบุตรสาวเสนาบดีฟ่านยิ่งนัก แต่อย่างที่คนมักพูดกัน อยู่กับฮ่องเต้ก็เหมือนกับอยู่กับเสือ ไม่อาจนิ่งนอนใจ ในพระทัยมีเป้าหมายอะไรกันแน่จึงรับฟ่านเยว่ซินไว้เป็นธิดาบุญธรรม

แต่สำหรับเหล่าองค์ชายนั้น ฟ่านเยว่ซินเป็นที่พอใจของบรรดาองค์ชายเพราะความสนิทสนมที่มีต่อกันมากขึ้น แม้แต่ช่วงยามที่เหล่าองค์ชายถูกส่งไปเรียนยังสำนักไท่ซ่างก็ไม่ได้ทำให้ความสนิทสนมลดลงแม้เพียงสักน้อย ต่างส่งจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่อกันอยู่ไม่ขาด ทำให้มีแต่คนอยากเข้าหาและอิจฉาริษยาอยู่เงียบๆ

เวลาแห่งความสุขดำเนินมาจนถึงวันที่ฮูหยินตระกูลฟ่านได้ให้กำเนิดเด็กผู้หญิงขึ้นมาอีกคน แต่การคลอดในครั้งนี้อันตรายจนเกือบพรากชีวิตของฮูหยินไปและเด็กในครรภ์เกือบไม่รอด สร้างความกังวลใจให้กับหัวเรือใหญ่อย่างเสนาบดีฟ่านเป็นอย่างมาก ทารกน้อยเกิดในวันพระจันทร์เต็มดวงเฉกเช่นบุตรชายและบุตรสาวคนอื่นๆ เสนาบดีฟ่านจึงตั้งชื่อให้ว่า ฟ่านเยว่จวน ที่มีความหมายว่าเพชรจากดวงจันทร์

ภายหลังจากวันคลอดไม่กี่วันมีนางพยากรณ์ที่ทางฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของเสนาบดีฟ่านเชิญมาเพื่อตรวจชะตาให้กับผู้นำตระกูลฟ่านและคนในตระกูล นางพยากรณ์ได้ให้คำทำนายว่าฟ่านเยว่จวนจะนำพาความสุขมาสู่ตระกูลแต่สุขภาพนางไม่อาจดูเบา จงดูแลให้ดี ส่วนบุตรชายทั้งสองจะนำมาซึ่งเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูล แต่จงระวังบุตรสาวคนกลางไว้ให้ดี สติปัญญาของนางนำมาซึ่งคุณและโทษ หายนะอาจมาสู่ตัวนางและตระกูลหากนางเลือกเดินทางในวิถีทมิฬ นางพยากรณ์ทิ้งคำพยากรณ์ไว้แค่นั้นก่อนจะจากไป คำทำนายสร้างความกังวลใจให้แก่ท่านเสนาบดี ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินฟ่านเป็นอย่างมาก

เสนาบดีฟ่านและฮูหยินจึงเริ่มเข้มงวดกับบุตรสาวคนกลาง คอยจับตาดูทุกฝีก้าวและกวดขัน แต่กับบุตรสาวคนสุดท้องกลับเอาใจประคบประหงมไม่ห่างเพียงเพราะเชื่อในคำทำนาย จนเกิดช่องโหว่ ความห่างเหินและการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนในตระกูล

การเปลี่ยนแปลงที่หนักที่สุดเห็นจะเกิดกับฟ่านเยว่ซิน สายตาที่อบอุ่นด้วยความรักของบิดาแทนที่ด้วยสายตาที่มีแต่ความคาดหวังระคนระแวง ส่วนมารดาที่เคยใช้สองแขนตระกองกอดก็แปรเปลี่ยนไปโอบอุ้มเพียงน้องน้อย เอื้อนเอ่ยวาจาไม่กี่คำก็หันไปสนใจทารกน้อยที่ส่งเสียงแผดร้องขึ้นมาราวกับต้องการขัดจังหวะการสนทนาเสียทุกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กสาวตัวน้อยในวันวานเริ่มจางหาย เห็นจะมีเพียงแต่จดหมายจากเหล่าองค์ชายที่พอทำให้ฟ่านเยว่ซินได้คลายความเหงาและความเศร้าไปได้บ้าง

[1] หนึ่งในหลักมาตรฐานทางจริยธรรมของจีนโบราณยุคศักดินา ซึ่งเป็นหลักที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรีในสมัยนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel