บท
ตั้งค่า

บทที่ 15 แคว้นชิงหลงชื่อ

(อดีต)

ในยุคสมัยแรกเริ่มตั้งแต่แคว้นชิงหลงชื่อมีชื่อเดิมว่าแคว้นชิง ยุคที่ต้นตระกูลเฉิงขึ้นปกครองเมือง นำพาความผาสุก รุ่งเรืองมาสู่แคว้นเรื่อยมา แคว้นชิงเปรียบเสมือนเมืองเล็กๆ ที่อยู่อยู่กันอย่างเรียบง่ายและสงบสุข เนื่องจากผู้ปกครองเมืองในยุคนั้นปรารถนามอบความสงบสุขให้กับไพร่ฟ้าทั่วราชอาณาจักร จนมาถึงยุคสมัยของอดีตฮ่องเต้เฉิงไท่หลง ผู้เป็นเสด็จพ่อของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงขึ้นครองราชย์ด้วยอายุเพียง 14 ชันษา ทรงมากด้วยปฏิภาณและเล็งเห็นว่าความสงบสุขของแคว้นที่มีอยู่ไม่อาจยั่งยืนนาน แคว้นชิงเป็นแต่เพียงแคว้นเล็ก ชัยภูมิตั้งอยู่โดยมีภูเขาโอบล้อมด้านนอกก็จริงแต่ไม่เก่งในด้านกองรบด้วยไพร่พลอ่อนแอยากจะปกป้องบ้านเมืองให้พ้นภัย พระองค์จึงทรงมีความคิดที่จะก่อตั้งสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องบ้านเมือง ซึ่งนับแต่นั้นพระองค์ไม่เคยหยุดทำการสงครามตลอดหลายปี

ทรงยึดหลักการปกครองด้วยพระเดชมากกว่าพระคุณ เหล่าขุนนางจึงพากันแตกระแหงแบ่งกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ซ้ำบางรายยังคอยยุแยงให้ฮ่องเต้ตามบุกตีแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อล่าอาณานิคมมาเป็นของตน ทรงต้องการตีเหล็กตอนที่มันยังร้อนอยู่เพื่อสร้างกระบี่ที่มีคุณภาพและไม่นานอาณาเขตแคว้นชิงก็รุกล้ำกลายมาเป็นแคว้นชิงหลงชื่อจนถึงทุกวันนี้ นำมาซึ่งความแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านก็มีศัตรูเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

เหล่าเมืองน้อยใหญ่เมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของความยิ่งใหญ่ของแคว้นชิงหลงชื่อที่มากด้วยอำนาจ บารมีและความแข็งแกร่ง ทำให้มีทั้งที่เต็มใจอยากเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและผู้ที่หวาดกลัวจนจำต้องเข้ามาสวามิภักดิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มีช่องว่างให้คิดคดทรยศแคว้นเหล่านั้นก็พร้อมจะลุกขึ้นมาแข็งข้อตั้งตนเป็นปฏิปักษ์เรื่อยมา เป็นเหตุให้มีศึกสงครามนับไม่ถ้วน จนฮ่องเต้เฉิงไท่หลงได้รับฉายาปีศาจผู้หลงใหลในสงคราม

อดีตฮ่องเต้ไม่เคยยับยั้งชั่งใจ ทรงมีความต้องการมากขึ้นและมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนประชาชนต้องเดือดร้อนไปทั่วหัวระแหงแต่ก็ยังทรงปิดหูปิดตา

กาลต่อมาทรงมีพระโอรสถือกำเนิดขึ้นมา อดีตฮ่องเต้มีพระโอรสกับฮองเฮาอยู่สามพระองค์ซึ่งมีองค์รัชทายาทเฉิงหวงหลง ตามมาด้วยองค์ชายสองเฉิงหลงซาน องค์ชายสามเฉิงต้าหลง และโอรสที่เกิดจากพระสนมหวงกุ้ยเฟยอีกสองพระองค์ ส่วนองค์ชายองค์หญิงที่เกิดจากสนมระดับอื่นนั้นล้วนสิ้นพระชนม์น์ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตกเลือดเสียก่อนด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจในวังหลัง โชคยังดีที่สนมหวงกุ้ยเฟยมีศักดิ์เป็นน้องสาววายเลือดเดียวกันกับฮองเฮา โอรสจึงได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัย แต่ด้วยมีบุญแต่ไร้วาสนาทำให้พระสนมกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์หลังจากคลอดโอรสแฝดซึ่งก็คือองค์ชายสี่เฉิงเหวินหลงและองค์ชายห้าเฉิงต้าหยาง ซึ่งต่อมาตกไปอยู่ในการดูแลของฮองเฮา

พี่น้องทั้งห้าเติบโตมารักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดีเป็นโชคดีของราชวงศ์ ไม่เหมือนในประวัติศาสตร์ที่พี่น้องต่างเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์

เมื่อเหล่าองค์ชายมีพระชนมายุมากขึ้น ฮ่องเต้ผู้เสพติดการทำสงครามต้องการลูกที่เป็นแม่ทัพจับอาวุธมากกว่าหนอนหนังสือ พระโอรสจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอาวุธและยุทธศาสตร์การทำสงครามมากกว่าโคลงกลอน

ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่พระโอรสทุกพระองค์ถูกส่งไปเป็นศิษย์เพื่อฝึกศาสตร์ต่างๆ กับพระอาจารย์หลิวไห่กงที่เชิงเขาไท่ซ่างเป็นเวลาหลายขวบปี ผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าปรมาจารย์มีชื่อมากมาย พระอาจารย์เล็งเห็นว่าการฝึกด้านบู๊เพียงอย่างเดียวไม่อาจนำพาความสงบสุขและความรุ่งเรืองมาสู่บ้านเมืองได้ จำต้องฝึกด้านบุ๋นให้แตกฉานในความรู้ด้านการปกครองเพื่อใช้ในการบริหารบ้านเมือง จำต้องมีสองสิ่งในตัวเพื่อเป็นยอดคนเปรียบดั่งหยินและหยาง

แต่มนุษย์เราจะมีสิ่งที่ถนัดหรือเรียกว่าพรสวรรค์อยู่ในตัว เหล่าองค์ชายก็เช่นกันต่างมีพรสวรรค์ได้ด้านที่แตกต่างกันออกไป

องค์ชายใหญ่เฉิงหวงหลง ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทและกลายเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แม้จะมีทักษะยุทธพอสมควรและได้นำพากองทัพออกรบแทนเสด็จพ่อในบางครั้ง แต่ทรงมีความแตกฉานด้านการเมืองการปกครองมากกว่าและด้วยอุปนิสัยเยือกเย็น ชอบใช้สมองมากกว่าอารมณ์จึงมักควบคุมอารมณ์ได้ดีที่สุดในหมู่พี่น้อง เขาสร้างผลงานไว้มากมาย รอยยิ้มที่เผยความพึงพอใจนั้นยากนักจะได้เห็นดุจเสือยิ้มยาก น้อยคนนักที่จะคาดเดาใจพระองค์ได้ ไม่กี่ปีทรงจัดการพวกขุนนางที่คดโกงราชสำนักหรือแอบเก็บส่วยขูดรีดประชาชนเรียกได้ว่าเดินตาเดียวกินรวบทั้งกระดาน สร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางเก่าหลายคน

ต่างจากองค์ชายรองเฉิงหลงซานที่ชำนาญในทักษะยุทธและการสงครามเป็นอย่างมาก ออกศึกบุกฝ่าตะลุยปราบศัตรูจนแพ้พ่าย เสริมสร้างกำลังใจให้เหล่าทหาร เรียกได้ว่าเมื่อไหร่ที่มีองค์ชายรองร่วมรบในกองทัพ ทหารต่างมั่นใจว่าศึกนั้นจะได้กำชัยชนะเป็นแน่แท้ ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพผู้คุมกองทัพทมิฬ กองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งสงครามซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นด้วยอดีตฮ่องเต้ผู้ได้รับสมยานามว่าปีศาจสงคราม องค์ชายเฉิงหลงซานเองก็เป็นลูกไม้ตกใต้ต้นที่ได้รับสมยานามใกล้เคียงกับพระราชบิดาเพียงแต่เปลี่ยนจากคำว่า'ปีศาจ' เป็น 'เทพ' สงครามแทน หลังจากชนะศึกกับแคว้นชุ่นก็ได้เลื่อนยศเป็นชินอ๋อง จากผลงานไร้พ่ายนับร้อยศึก เครื่องหน้าอันหล่อเหลาดุจชายนักรบซึ่งต่างจากอุปนิสัย ดุดัน แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด ดุจมังกรดำที่พร้อมแยกเขี้ยวใส่ผู้คนตลอดเวลา ในบรรดาพี่น้องชินอ๋องเป็นบุคคลที่ภายนอกอาจดูสุขุมเงียบนิ่ง จนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่แต่ภายในกายรุ่มร้อนดุจเปลวเพลิง ถึงแม้จะเนื้อหอมเพียงใด มีเพียงคนภายในที่รู้ว่าชินอ๋องเกลียดการเข้าใกล้อิสตรีเป็นที่สุด

คนนึงเป็นเสือยิ้มยาก อีกคนก็พร้อมแยกเขี้ยวใส่ทุกชีวิตที่คิดล้ำเส้นเข้ามาใกล้ ส่วนองค์ชายสามนั้น หากใครได้เห็นพระพักตร์องค์ชายสามก็พานอิ่มอกอิ่มใจเพราะใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอ เปรียบดั่งดอกไม้ที่ภายนอกดูสวยงามหน้าเข้าใกล้แต่แท้จริงคือดอกไม้กินคนที่พร้อมจะล้างผลาญผู้คนที่อยากเข้าใกล้เพื่อสัมผัส หากไม่เจ็บก็ตาย ทรงเป็นผู้สร้างสรรค์ศาตร์การต่อสู้รูปแบบใหม่โดยเฉพาะทดลองสร้างศาตราวุธชิ้นใหม่และการฝึกรูปแบบใหม่เพื่อใช้ในกองทัพอยู่ตลอด ทหารหรือผู้ใดต้องการเข้าสังกัดขององค์ชายสาม ถ้าไม่วิปลาสก็กล้ามากพอที่จะผ่านการฝึกหฤโหดนั้นไปได้ โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกให้นั้นคือองค์ชายสามเอง คนในสังกัดกองทัพเหลียนฮวามีน้อยนักนับได้เพียงหลักร้อย หากเทียบกับกองทัพอื่น แต่ไพร่พลเพียงคนเดียวในกองกำลังเหลียนฮวามีกำลังเทียบเท่าคนสิบคน องค์ชายสามมีนิสัยสุขุมนุ่มลึกดั่งแม่น้ำนิ่งใสยามลมสงบ อีกทั้งด้วยความสามารถในการช่างสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น จึงมีสายตาที่กว้างไกลจนมักเผลอจับไส้ศึกที่แฝงตัวเข้ามาได้โดยไม่ได้ตั้งใจหรือเรียกได้ว่าองค์ชายชอบหากระดูกในไข่ไก่ [1] พวกข้าศึกเป็นที่สุด สำหรับหญิงสาวเองต่างพากันลุ่มหลงในเสน่ห์อันมากล้นขององค์ชายเหวินหลงโดยเฉพาะยามแจกรอยยิ้ม โดยวหารู้ไม่ว่านั่นคือแมวร้องไห้ให้หนู [2]

องค์ชายสามองค์แรกนั้นนิสัยค่อนข้างไปในทางใกล้เคียงกัน ฮองเฮาทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างมาก แต่มาตกม้าตายกับองค์ชายฝาแฝดสุดท้องสององค์ที่เลี้ยงมาพร้อมกับพี่ๆ แต่กลับหาเรื่องปั่นป่วนวังหลวงได้ไม่เว้นแต่ละวัน

ถึงจะถูกส่งไปร่ำเรียนวิชายังสำนักไท่ซ่านก็ยังคงไม่สามารถแก้ไขความเจ้าเล่ห์เพทุบายขององค์ชายสี่ลงได้ ซึ่งมีดีต่อการรักษาประตูหน้าด่านแปดต่อเก้าส่วน ด้วยแผนการที่แยบยลขององค์ชายสี่เฉิงเหวินหลง ติดเพียงนิสัยที่เจ้าคิดเจ้าแผนการที่ก่อเรื่องให้วังหลวงไม่หยุดหย่อน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปรามอยู่ ด้วยรู้กันดีว่าฮ่องเต้ทรงภาคภูมิใจและตามใจองค์ชายทั้งห้ามากเพียงใด โดยเฉพาะองค์ชายสุดท้องที่พระปรีชาสามารถด้านการแพทย์ที่ยิ่งกว่าผู้ใด ทรงอ่านตำราแพทย์จนทะลุปรุโปร่งตั้งแต่วัยเยาว์ ทรงมักจะประกบติดกับฝาแฝดคนพี่อยู่ตลอด เรียกว่าองค์ชายสี่ไปป่วนที่ใดองค์ชายห้าก็ป่วนอยู่แถวใกล้ๆ กันนั้น ความรู้ทางการแพทย์นอกจากช่วยรักษาคนในวังและกองทัพแล้ว ยังมีความสามารถคิดค้นตัวยาแปลกพิสดารมากมายและมักนำพวกขันที นางกำนัลหรือทหาร มาทำการทดลองเสมอ ทำให้คนในวังทั้งหลายพากันหลบลี้หนีหน้าองค์ชายห้าอยู่ร่ำไป พักหลังดีขึ้นหน่อย เนื่องจากจับพวกที่แฝงตัวเข้ามา คนร้ายหรือพวกลอบสังหารได้อยู่เรื่อยๆ องค์ชายห้าจึงมีตุ๊กตาให้นำไปทดลองเล่นแทน สร้างความโล่งใจเป็นอย่างมากให้กับเหล่าคนในวัง

ในค่ำคืนนึงอดีตฮ่องเต้ฝันว่าทรงตื่นมามองอะไรไม่เห็นรอบตัวมีแต่หมอกหนาทึบ พอพยายามเดินคลำหาทิศทางก็มีลูกไฟปรากฏขึ้นมาแล้วไล่ตามเผาพระองค์จนสะดุ้งตื่น ฮ่องเต้นั่งทบทวนว่าฝันร้ายนั้นพยายามจะบอกอะไรกับพระองค์ ทรงนำเรื่องที่ฝันไปปรึกษากับขุนนางที่ไว้ใจ ขุนนางคนนั้นได้ทีกราบทูลเชิงเป่าหูว่าฝันนั้นอาจเป็นลางบอกเหตุให้อดีตฮ่องเต้คอยควบคุมและเฝ้ามองพฤติกรรมของเหล่าองค์ชายไว้ให้ดี เปรียบดั่งคนมองไม่เห็นการณ์ไกลภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟภัยก็จะน่ากลัว

การยุยงในครั้งนั้นนำผลร้ายตามมามากมาย...

[1] จงใจจับผิด

[2] เสแสร้งทำเป็นมีเมตตา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel