บท
ตั้งค่า

บทที่ 14 ครุ่นคิด

วันต่อมา

ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้กำลังนั่งตรวจฎีกาของราษฎรแต่ใจกลับไม่ได้อยู่กับฎีกาเหล่านั้น เอาแต่วนเวียนอยู่กับความคิดว่าควรทำอย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่พระองค์ไม่อยากตามชินอ๋องกลับมาอยู่เมืองหลวง ทั้งที่ปกติคอยส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้กลับมา ในขณะที่กำลังนั่งใจลอยอยู่นั้น ราชองครักษ์คู่กายก็เข้ามากราบทูลเรื่องที่ให้ไปตรวจสอบ

“กระหม่อมหยุนซี ถวายบังคมฝ่าบาท ขอถวายรายงานพ่ะย่ะค่ะ”

“รีบลุกขึ้น เรื่องเป็นมาอย่างไร” ฮ่องเต้วางฎีกาลงแล้วไถ่ถามหยุนซีที่ให้ปลีกตัวออกไปสืบเรื่องที่พระองค์อยากรู้

“กระหม่อมไปสืบดูจากหัวหน้าคณะละครที่มาทำการแสดงในวันนี้และบรรดานักแสดงก็ไม่มีใครทราบว่าแม่นางคนนั้นโผล่มาได้อย่างไร ตามลำดับการแสดงคือนักดนตรีที่เป็นตัวเอกของงาน หลังจากเล่นพิณจนจบ จะเดินออกมาลงจากบันไดเวทีเพื่อทำความเคารพฝ่าบาท แต่พอจะถึงช่วงจังหวะที่ต้องออกไปก็เหมือนถูกผลักออกแล้วมีแม่นางคนนึงแทรกออกไปยืนแทน แล้วหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทรงทราบ กระหม่อมสอบปากคำอย่างหนัก คณะอื่นที่มาร่วมแสดงเองก็ไม่รู้เห็นเรื่องนี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้เพียงถอนหายใจแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

ส่วนหยุนซีที่กราบรายงานก็นึกถึงการกระทำตนเองที่สมควรถูกลงโทษ ตามหลักหากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เขาต้องพุ่งทะยานไปจับตัวและสันนิษฐานไว้ก่อนว่านางผู้นั้นเป็นคนร้าย เนื่องจากเข้ามายังเขตพระราชฐานโดยพลการ แต่เมื่อแรกเห็นใบหน้านั้น ร่างกายแข็งค้างไม่ขยับราวกับถูกสาป ใบหน้าที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่อาจลืมเลือน นายหญิงคนแรกของเขา บุญคุณท่วมหัวหยุนซีที่ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันใช้หมด คุณหนูของหยุนซีผู้นี้ตลอดกาล วันที่ร่างบอบบางนั้นไร้ซึ่งลมหายใจ เขาก็พร้อมตามไปรับใช้นางในปรโลกเพียงแต่จำต้องอยู่ต่อเพื่อปกป้องใครคนนึง...

“หมายความว่า นางไม่มีที่มาและยังหมายความได้ว่านางสามารถเป็นคนคนเดียวกับคนที่เจ้าและข้าคิด”

“ตามสัญชาตญาณของกระหม่อมเป็นนางพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่มีหลักฐานใดจะยืนยันกับพระองค์ได้”

“คนตายฟื้นคืน พูดไปใครจะเชื่อ แม้แต่เจ้าห้าก็อาจจะยังไม่เชื่อ” เจ้าห้าที่ว่าหมายถึงองค์ชายห้าผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ยิ่งกว่าใครในแคว้น

“ตามความเห็นกระหม่อม ยากนักจะพิสูจน์แต่ใครเล่าที่จะมีหน้าตาที่เหมือนกันเท่านี้ นอกจากนางจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ของแคว้นซ่ง ว่ากันว่าเมื่อสวมใส่หน้ากากนี้จะปลอมเป็นใครก็ได้ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน”

“หากเป็นหน้ากากหนังมนุษย์จริง เหตุใดนางถึงโผล่มาอุกอาจยิ่งนัก ท่ามกลางสายตาคนนับร้อย"

"ไม่ทราบได้พ่ะย่ะค่ะ"

"นี่ก็เข้ายามอิ่ว [1] แล้ว ข้าจะไปหาองค์ชายน้อยเสียหน่อย ไม่ได้ไปหาหลายวัน เขาคงน้อยใจข้าแย่แล้ว เจ้าเองก็มาด้วยกันเพราะหากข้าไม่พาคนโปรดขององค์ชายน้อยไปด้วย คงน้อยใจต่อไปอีกพักใหญ่” ฮ่องเต้ลุกจากโต๊ะ เดินนำองครักษ์หยุนซีออกไปยังตำหนักองค์ชายน้อย

“กระหม่อมขอตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนซีขานรับ ซึ่งตามจริงเขาต้องไปหาองค์ชายน้อยเกือบทุกวันอยู่แล้ว

“ฝ่าบาท แล้วใครจะจัดการกับฎีกากองพะเนินนี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ” อุ้ยกงกงอยากร้องไห้

เพลานี้ในวังวุ่นวายเพราะงานเลี้ยงที่จำต้องหยุดชะงักกลางคันจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เจ้ากรมพิธีการถึงกับเป็นลมไม่ฟื้นตั้งแต่เมื่อวาน ฎีกาก็กองท่วมโต๊ะ ฮ่องเต้ก็ทรงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน กงกงอย่างเขามีกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้กับอารมณ์ขึ้นลงประดุจลมกรดของฮ่องเต้พระองค์นี้

 

ตำหนักองค์ชายเฉิงเยว่หลง

องค์ชายน้อยนามว่า เฉิงเยว่หลง อายุหกชันษาเป็นองค์เดียวที่มีที่มาเป็นปริศนา ข่าวลืมเล่าต่อกันว่าแท้จริงองค์ชายน้อยเป็นโอรสของฮองเฮาแต่เนื่องจากปัญหาภายในทำให้ถูกฮ่องเต้ยกประทานมอบให้สนมขั้นเฟยพระองค์นึงก่อนจะได้เลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟยในกาลต่อมา แต่ด้วยวาสนาน้อยนัก สนมกุ้ยเฟยสิ้นใจตายไปไม่นานหลังจากได้ดูแลองค์ชายน้อยไม่กี่เดือน ฮ่องเต้ปล่อยให้องค์ชายน้อยเป็นพระโอรสของกุ้ยเฟยต่อไปโดยไม่หามารดาไหนมาเลี้ยงดูอีกองค์ชายน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่มีท่าทีสนใจหรือถามหา ยิ่งทำให้ข่าวลืมแพร่สพัดถึงภูมิเบื้องหลังขององค์ชายเยว่หลงมากขึ้น

“เสด็จพ่อ เยว่หลงคิดถึงเสด็จพ่อ” เจ้าตัวกลมค่อยๆ วิ่งกระเตาะกระแตะมาเกาะชายผ้าสีทองลายมังกรเอาไว้ แลดูน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก

“ข้าก็คิดถึงเจ้า ไหนตัวหนักขึ้นอีกแล้วรึ หากเจ้าอ้วนมากข้าคงจะไม่สามารถจูงเจ้าไปเดินเล่นแต่คงต้องกลิ้งเจ้าไปแทน” ฮ่องเต้ก้มอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาพลางเย้าแหย่ องค์ชายเยว่หลงส่งเสียงหัวเราะคิกคักก่อนมุดหน้ากับอกฮ่องเต้อย่างออดอ้อน

“ลูกต้องกินเยอะ แม่นมบอกว่าหากข้าไม่กินให้เยอะ จะไม่โต หากไม่โตจะไปหาท่านพ่อไม่ได้” ท่านพ่อที่องค์ชายน้อยหมายถึงคือชินอ๋องเฉิงหลงซาน องค์ชายน้อยทำความเข้าใจตั้งแต่เกิดว่าเขามีเสด็จพ่อฮ่องเต้ และยังมีท่านพ่ออีกคนเป็นถึงชินอ๋องที่ไม่เคยได้เห็นหน้าแม้เพียงสักครั้ง ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีพ่อสองคน แต่เขาไม่เคยคิดจะถาม องค์ชายน้อยมักจะอ่านจดหมายที่ท่านพ่อเขียนถึงเสมอ ไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก และภาพวาดที่ฮ่องเต้พระราชทานให้วันที่องค์ชายน้อยถามว่าท่านพ่อหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายน้อยก็ยังอยากเจอท่านพ่อชินอ๋องสักครั้ง

ฮ่องเต้ได้ยินก็หนักใจ เหตุเพราะรู้ดีว่าในครั้งนี้พระองค์สามารถทำให้ท่านพ่อขององค์ชายน้อยกลับมาได้อย่างง่ายดายเพราะมีตัวช่วยสำคัญปรากฏตัว องค์ชายน้อยคงอยากเจอท่านพ่อในจดหมายตัวเป็นๆ สักครั้ง แต่ด้วยความเห็นแก่องค์เองทรงไม่อยากจะทำสักเท่าไหร่

หากให้เล่าถึงความสัมพันธ์และเรื่องราวทั้งหมดคงต้องเท้าความกันยาวเหยียด ช่างซับซ้อนนัก เอาเป็นว่านอกจากตัวพระองค์ หยุนซี และตัวชินอ๋องเองเท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ผู้ใดสู่รู้ก็จำต้องหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

“เช่นนั้น เจ้าก็กินให้เต็มที่ แม่นมไปบอกห้องเครื่องให้เตรียมอาหารมา อะไรอร่อยเอามาให้หมด ข้าจะกินกับองค์ชายน้อยที่นี่”

“เพคะ หม่อมฉันจะรีบให้ห้องเครื่องจัดเครื่องเสวยประเดี๋ยวนี้เลยเพคะ” แม่นมเอ่ยจบก็รีบออกไปสั่งอาหารกับห้องเครื่อง

“วันนี้ข้าพาหยุนซีมาหาเจ้าด้วย ระหว่างรอมื้อเย็นข้าจะให้เขาเล่นกับเจ้าเต็มที่ดีหรือไม่”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” องค์ชายน้อยรีบพยักหน้างึกงึก ก่อนจะขอลงจากอ้อมกอดฮ่องเต้ วิ่งไปกระโดดใส่องครักษ์หยุนซี

ฮ่องเต้อยู่มองดูองค์ชายน้อยเล่นอย่างเพลิดเพลิน จนถึงเวลามื้อเย็น ทั้งสองเสวยของอร่อยด้วยกันจนอิ่ม ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับเพื่อให้องค์ชายได้อาบน้ำแล้วเข้านอน ส่วนพระองค์ก็กลับไปนอนกลัดกลุ้มเช่นเคย ตั้งแต่ฟ่านเยว่ซินปรากฏตัว พระองค์ก็ไม่เสด็จไปค้างคืนตำหนักพระสนมคนไหนอีกเลย การปรากฏตัวนำพาความสุขมาสู่หลายคน แต่คนในวังหลังกลับกระส่ำกระส่ายราวกับกำลังก่อเกิดคลื่นใต้น้ำกับการมาของใครบางคนที่ยากเกินจะคาดเดาเหตุการณ์ต่อไป

 

[1] 17.00-18.59 น.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel