บทที่ 12 กลับมาเริ่มต้นที่จุดเดิม
(ปัจจุบัน)
สายตาในวันนั้นช่างเหมือนกับนางที่นั่งอยู่ในยามนี้นัก
“…” ฟ่านเยว่ซินไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวคนตรงหน้าแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ควรตอบว่าอะไรดี?!
“ฟ่านเยว่ซิน เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
“…”
“เหตุใดจึงไม่ตอบข้า” ฟ่านเยว่ซินเอาแต่เงียบ
“เจ้าพูดไม่ได้?” นางก็ยังไม่ยอมตอบอะไร อยากเข้าใจอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ
“เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ นั่งอยู่ตรงนั้นต่อไปคงไม่ดี” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ไปให้เยว่ซินเกาะเพื่อลุกออกจากโพรงเล็ก แต่หญิงสาวมองมือนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า ทำทีเหมือนปฏิเสธกลายๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมาด้วยตนเอง ฮ่องเต้เก็บมือกลับไปด้วยความเจ็บปวดใจ พอออกมาหญิงสาวก็สูดอากาศหายใจเข้าไปอย่างเต็มปอดแล้วปัดเศษดินตามตัวแล้วเช็คดูเสื้อผ้าหน้าผมอย่างเคยชินกับการที่ต้องดูดีเสมอในฐานะเจ้าของแบรนด์แฟชั่น จนลืมว่าไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง
ฮ่องเต้หนุ่มนึกในใจว่านางคงยังไม่ให้อภัยพระองค์และรู้สึกว่าฟ่างเยว่ซินตรงหน้านี้ให้ความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไป หน้าเหมือนแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ยิ่งยืนมองยิ่งเพลิดเพลินกับการจ้องมอง หากเป็นคนอื่นคงรีบก้มกราบแนบหน้าผากลงกับพื้น ไม่กล้าทำตัวสบายๆ เช่นนี้
“อ่ะฮึ่ม” เสียงกระแอมของร่างสูงตรงหน้า ทำให้เยว่ซินรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าลืมตัวทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ต์ฮ่องเต้
“เจ้ายังไม่ยอมพูดกับข้าแม้สักครึ่งคำ ตกลงเจ้าคือฟ่านเยว่ซินใช่หรือไม่ มันเป็นไปได้อย่างไร ปรมาจารย์หรือผู้วิเศษคนไหนเป็นคนช่วยเจ้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เจ้าหายดีแล้วใช่ไหม” ฮ่องเต้ยิงคำถามใส่เยว่ซินรัวจนไม่มีช่องว่างให้นางตอบ
ฟ่านเยว่ซินไม่ตอบเพียงแค่มองไปยังสายตาห่วงหาอาทรของอีกฝ่าย พานนึกหมั่นไส้ เคยสั่งโบยนางจนตาย เวลานี้กลับมาทำเหมือนห่วงใยนักหนา
นางยังคงไม่ยอมปริปากพูดอะไร นอกจากมองจ้องสบสายตากับฮ่องเต้อย่างไม่ยอมลดละ ก่อนจะทำท่าจะเดินผ่านฮ่องเต้ไป
ฮ่องเต้รีบคว้าแขนร่างบางไว้ไม่ยอมปล่อยให้นางเดินหนีออกไปเฉยๆ ได้ แม้นางจะทำหยิ่งใส่หรือเสียมารยาทกับพระองค์เพียงใด พระองค์ไม่อาจเห็นนางจากไปได้อีก ไม่เป็นครั้งที่สองแน่
“เอาเถอะ หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะพูด ข้าก็จะไม่บังคับ แต่ยามนี้เจ้าไม่มีที่ไป ชินอ๋องไม่อยู่ที่วังนี้แล้ว เจ้าไปกับข้าเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยแกมขอร้องฟ่านเยว่ซิน นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยอมฮ่องเต้เพราะตอนนี้นางเจ็บเท้าเหลือเกิน
ฮ่องเต้ถอดอาภรณ์ชั้นนอกมาสวมทับให้ฟ่านเยว่ซิน พระองค์เห็นนางแต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่อยากให้ใครมาเห็นหรือจ้องมอง ไม่งั้นพระองค์อาจเผลอควักลูกตาพวกมันก็เป็นได้
ขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าต่างวิ่งกรูกันเข้ามา เหล่าทหารเข้ามาเรียงแถวตรงหน้าคนทั้งสองอย่างรวดเร็วพร้อมทำการประสานมือไว้ที่ด้านหน้า หัวโค้งลงด้านหน้าเพื่อทำความเคารพผู้เป็นดั่งโอรสสวรรค์
“ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมาอารักขาล่าช้าขอทรงลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ หาใช่ความผิดใคร ข้ามาของข้าเอง พวกเจ้าถอยไปได้” สายตายังคงจดจ้องแต่เพียงร่างบางข้างกาย
“ฝ่าบาท..แล้วนางผู้นี้ให้กระหม่อมจับตัวไปสอบสวนเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารผู้หนึ่งกล่าวแล้วเงยมาเหลือบสายตามองไปที่ฟ่านเยว่ซิน
เหอะ งานเข้านางแล้วสินะ
“บังอาจ! นางคือพระชายาฟ่านเยว่ซิน พวกเจ้ากล้ามาจับนางรึ” ฮ่องเต้พูดออกไปด้วยโทสะ หากใครกล้าแตะต้องนาง พระองค์จะตัดแขนมันให้ขาดกระเด็น
ทหารที่ยังก้มหน้ารอรับคำสั่งต่างเอียงหน้าไปสบตากันด้วยความสงสัย เหมือนจะสื่อว่าพระชายาในชินอ๋องสิ้นพระชนม์ไปแล้วจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
ข่าวการเสียชีวิตของพระนางมีใครบ้างไม่รู้หรือไม่เคยได้ยิน แต่สิ่งที่หนาหูกว่าข่าวลือเรื่องการสิ้นพระชนม์คือข่าวการนองเลือดในคืนที่พระชายาสิ้นพระชนม์ หมอหลวงที่ถูกเรียกไปให้ช่วยชีวิตพระชายาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เห็นแม้แต่ร่างไร้วิญญาณ ครอบครัวของหมอหลวงเหล่านั้นก็เอาแต่ปิดปากเงียบ
เรื่องในวังหลวงคือเรื่องที่ชาวบ้านมักชอบเอาไปเล่าปากต่อปากหรือเอาไปเป็นนิทานตามโรงเตี๊ยม เฉกเช่นการสิ้นพระชนม์ของพระชายามาพร้อมกับเงื่อนงำหลายที่ชาวบ้านต่างสงสัยใคร่รู้ แค่ถูกโบยไม่กี่สิบไม้เหตุใดจึงถึงตาย แถมพวกโรงหมอยังเคยแอบเล่ากันว่าฮ่องเต้ส่งบัวหิมะหายากที่ดอกของมันจะบานเพียงแค่ครั้งเดียวทุกยี่สิบปีไปให้ ของบำรุงมากมาย ไม่กี่วันก็น่าจะหายแต่กลับเสียชีวิต อาจถูกวางยาไม่ก็ฆ่าตัวตาย คนในวังบางคนก็สันนิษฐานว่าพลานามัยของพระชายาอาจจะอ่อนแอกว่าปกติที่มาจากหลายสาเหตุ เป็นอันรู้กันในบรรดาขันทีนางกำนัลเพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอาไปพูดข้างนอก
“ยังไม่ถอยไปอีก ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งรึ” เหล่าทหารต่างแหวกทางให้ฮ่องเต้จูงมือหญิงสาวออกไปโดยไม่มีใครกล้าทักท้วง
“ไม่ต้องตามมา” ทหารหน่วยรักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์เตรียมจะก้าวเดินตามก็ต้องหยุดชะงักลง ถึงจะอยากตามไปแต่ถ้าท่านราชองครักษ์หยุนซีหรือท่านอุ้ยกงกงไม่อยู่ใครจะกล้าทักท้วงที่จะขอติดตามองค์ฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นนับแสน
ฟ่างเยว่ซินยอมให้ฮ่องเต้จับจูงเดินฝ่าวงล้อมของเหล่าทหารออกมาแล้วเดินออกไปเรื่อยๆ พระองค์เลื่อนจากการกุมต้นแขนมาเป็นเกาะกุมมือนางเดินผ่านตำหนักแล้วตำหนักเล่าโดยไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหน อยากจะทักท้วงก็ไม่ได้ด้วยรู้ตัวว่าแกล้งเป็นใบ้อยู่ ส่วนฮ่องเต้เองฉกฉวยโอกาสที่มีน้อยนิด เดินกุมมือนุ่มเดินไปเรื่อย ทรงจงใจเดินอ้อมให้มันไกลกว่าปกติเพียงหวังอยากจะได้กุมมือนี้ได้นานอีกสักหน่อยก็ยังดี
พระองค์เป็นฮ่องเต้ต้องเสียสละเพื่อบ้านเมืองปวงประชา พระหัตถ์ของพระองค์แบกรับชีวิตของผู้คนทั้งแคว้น วาจาของพระองค์เปรียบดั่งคำประกาศิตสั่งได้แม้กระทั่งให้ใครอยู่หรือตายก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ อยากเป็นเจ้าของสิ่งใดไม่มีใครหาญกล้าจะปฏิเสธ
มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่อให้อยากครอบครองเพียงใดแต่พระองค์ก็ไม่อาจครอบครอง จำใจต้องปล่อยดอกไม้งามนี้ให้ได้อยู่ที่ที่อยากอยู่ เพราะคิดว่าจะช่วยให้ดอกไม้นั้นได้บานสวยงาม แต่กลับผิดพลาดครั้งใหญ่ ครั้งนี้จะเป็นไปได้ไหมที่พระองค์จะไม่ปล่อยให้ดอกไม้นี้หลุดมือไปอีกแล้ว