บทที่ 4 คำประกาศของฉิงอี๋
หลังจากกลับมาเมืองเฮยหนิงที่ไม่ได้กลับมาสองปีกับอีกหกเดือน เช้าวันนี้ ฉิงอี๋ออกมาเดินเล่นบนถนนตามประสาคนเพิ่งกินอิ่มและว่างงาน
นางเดินเล่นไปเรื่อย ผ่านร้านรวงมากมาย หยุดดูการแสดงปาหี่ ทั้งยังเดินผ่านหอเหมันต์ หยุดยืนมองหน้าประตูบานใหญ่ จากนั้นก็ก้าวเดินต่อ กระทั่งมาถึงโรงน้ำชาชื่อว่า ‘หอมหมื่นลี้’ เป็นอีกหนึ่งกิจการของตระกูลหลัน นางหยุดมองเข้าไปในร้านเพียงครู่ จากนั้นก็ก้าวเดินผ่านโรงน้ำชาไป
เดินไปได้สิบก้าวก็ต้องก้าวถอยกลับมาสิบก้าว แล้วเบนฝีเท้าเดินเข้าไปในโรงน้ำชาราวกับตัดใจจากไปไม่ลง เมื่อเข้ามาในร้าน นางเลือกที่นั่งตำแหน่งเหมาะๆ เพื่อนั่งจิบชากินขนม
โรงน้ำชาหอมหมื่นลี้มีทั้งชาชั้นยอดและขนมเลิศรส ต่อให้ท่องยุทธภพไปสุดหล้า สุดท้ายน้ำชาของตระกูลหลันย่อมดีกว่า
หลังจากเลือกที่นั่งได้แล้ว และกำลังเดินไปยังที่นั่งที่ตนหมายตา ชายหนุ่มโต๊ะที่ฉิงอี๋เพิ่งเดินผ่านกล่าวทักทายนาง
“อ้าว จอมยุทธ์มู่กวน ไม่เห็นหน้าเจ้านานเลย เจ้ากลับมานานแล้วหรือ”
ฉิงอี๋หันไปมองพบว่าเป็นคุณชายแซ่เฉิน เมื่อเจ็ดปีก่อน เขาเคยเข้าสำนักสราญเมฆา ภายหลังออกจากสำนักเพื่อมาดูแลกิจการและสร้างครอบครัว
การที่ฝ่ายนั้นเรียกนางว่า ‘จอมยุทธ์มู่กวน’ สาเหตุเป็นเพราะแต่เดิม ฉิงอี๋ไม่เคยสวมใส่ชุดสตรี แม้แต่ตอนนี้ก็ด้วย ปกตินางจะสวมใส่ชุดของศิษย์สำนักสราญเมฆา นั่นคือชุดรัดกุมสีน้ำเงินแถบขาว ผมรวบตึงง่ายๆ และสะพายกระบี่ข้างเอว หลายคนจึงเข้าใจว่านางคือผู้ชาย ซึ่งนางก็ไม่ถือสานะ
เห็นคนรู้จักทักทาย ฉิงอี๋จึงพยักหน้าทักทายตอบ
“กลับมาเมื่อสองวันก่อนนี่เอง คุณชายเฉินสบายดี?”
“แน่นอนว่าสบายดี” อีกฝ่ายยิ้มตอบ “ไหนๆ ก็ไหนๆ มานั่งร่วมโต๊ะกับข้าก็ได้นะ”
ฉิงอี๋ไม่ปฏิเสธ เปลี่ยนมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกับคุณชายเฉิน ซ้ำยังกล่าวหยอกล้ออีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม
“ท่านว่างหรือ ถึงได้มานั่งจิบชากินขนมสบายใจแบบนี้ ประเดี๋ยว แม่เสือที่บ้านก็ตามมาโวยเอาหรอก”
คุณชายเฉินหัวเราะฮาๆ “แม่เสือของข้าเพิ่งกลับบ้านเกิดที่อยู่เมืองถัดไปนี่เอง ข้าถึงมานั่งผ่อนคลายที่นี่ได้อย่างไรเล่า”
“อ้อ” นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“นี่ๆ เมื่อสองวันก่อน หอเหมันต์มีเหล่าจอมยุทธ์ต่อสู้แย่งชิงคนงามประจำเมืองเฮยหนิงอีกแล้ว เกิดเป็นคนงามนี่ก็ลำบากนะ เจ้าว่าไหม” ชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น ดึงความสนใจฉิงอี๋กับคุณชายเฉินให้หันไปทางนั้น
“นั่นสิ เกิดเป็นคนงามนี้ลำบากจริงๆ ทั้งที่หลันเซินเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่กลับถูกผู้ชายด้วยกันเกี้ยวพา และยังถูกแย่งชิงไม่หยุด เป็นข้า ข้าคงได้อาเจียนวันละหลายหน” เพื่อนร่วมโต๊ะเดียวกันกล่าวเสริม
ฉิงอี๋ย่นหัวคิ้ว เป็นคนงามแล้วไยต้องอาเจียนหลายหนด้วย นางฟังแล้วไม่เข้าใจสักนิด ทว่าพอคิดว่าตนก็เข้าใจผิดคิดว่าหลันเซินคือสตรี สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเซ่อซ่าขึ้นมาทันที บางทีอาจเป็นเพราะถูกผู้อื่นกระทำเหมือนตนเป็นสตรีคนหนึ่ง นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลันเซินอยากอาเจียนก็เป็นได้
“คุณชายหลันงดงามมาก แต่ก็น่าสงสารมากเช่นกัน” คุณชายเฉินยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ ฉิงอี๋ด้ยเสียงกระซิบ
ฉิงอี๋ผงกหัว เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
“สมัยก่อน ข้ายังหลงเข้าใจว่าคุณชายหลันเป็นสตรี ที่น่าตลกก็คือหัวใจข้าสั่นไหวเพราะเขาด้วย แต่ภายหลังพอรู้ว่าเขาคือบุรุษไม่ต่างจากข้า ข้าก็ตัดใจได้เอง แต่คนพวกนั้นน่ะสิ คงจะรู้สึกเสียดายและเสียหน้ากันมากกระมัง ถึงได้ต่อสู้แย่งชิงคุณชายหลันอย่างถึงที่สุด” คุณชายเฉินพูดต่อ
ฉิงอี๋ยังคงผงกหัวเห็นพ้อง
ไม่ใช่แค่คนพวกนั้นรู้สึกเสียดาย เมื่อก่อน ฉิงอี๋ยังคิดว่าหากตนเป็นผู้ชายก็คงดี เพราะจะได้อ้อนวอนบิดาส่งแม่สื่อไปสู่ขอคนงาม ทว่าในเมื่อเขาเป็นบุรุษและนางเป็นสตรี หากนางจะขอให้ท่านพ่อส่งแม่สื่อไปสู่ขอก็คงไม่ผิดแล้วกระมัง
ฉิงอี๋คิดแล้วก็ตั้งใจว่าจะสอบถามคุณชายเฉิน ว่าสมควรไหว้วานแม่สื่อคนไหนดี ถึงจะได้แม่เสือมาครอบครอง
จังหวะที่นางเปิดปากเตรียมพูด หลันเซินเดินเข้ามาในโรงน้ำชาเพื่อคิดบัญชีประจำวันพอดี ฉิงอี๋จึงรีบหุบปากลง แล้วเบนสายตามองคนงาม จากนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความอาวรณ์ พร้อมกับพึมพำในใจ
‘มือนุ่มนิ่มเอ่ย ผิวพรรณผ่องขาวเอ่ย ใบหน้าอ่อนใสเอ่ย ดวงตาดอกท้อเอ่ย รวมถึงริมฝีปากแดงเรื่อฉ่ำวาวนั้นเอ่ย ข้าอยากจะครอบครองทั้งหมดนั้นจริงๆ’
พอฉิงอี๋รู้สึกว่าตนอยากครอบครองหลันเซิน นางก็ต้องตระหนักอีกอย่างหนึ่งว่า คนอื่นก็อยากครอบครองเขาเช่นกัน
คิดแล้วก็ทอดถอนใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง
เกิดเป็นหลันเซินนี้ลำบากเสียจริง ต้องพบกับความวุ่นวายจากพวกมดแมลง เป็นนางคงอดทนเช่นเขาไม่ได้แน่
“พูดถึงคุณชายหลัน คุณชายหลันก็มาพอดี คนงามไม่ว่าไปที่ไหนล้วนตกเป็นเป้าสายตา เป็นข้าคงอึดอัดแย่” คุณชายเฉินพูดต่อ แล้วยกจอกชาขึ้นจิบ
“อืม ข้าเองก็อึดอัด” ฉิงอี๋พยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
“เอ๊ะ!? เหตุใดจอมยุทธ์มู่กวนถึงอึดอัดไปด้วยเล่า” คุณชายเฉินถาม
“ไม่รู้สิ แต่ว่า...”
ฉิงอี๋หยุดคำพูดลง เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาไม่คุ้นที่นั่งโต๊ะใกล้กับโต๊ะคิดเงินเริ่มลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปหาหลันเซิน
“ได้ยินว่าเมืองเฮยหนิงมีคนงาม ข้ารึอุตส่าห์เดินทางจากเมืองทางใต้เพื่อมายลโฉม มิคาดว่าแม่นางในชุดบุรุษจะงดงามสมกับคำร่ำลือ” ชายจากทางใต้คนนั้นเอ่ย
ฉิงอี๋มุ่นหัวคิ้ว
นั่นไงคือเหตุผลที่ทำให้นางอึดอัด!
คุณชายเฉินหันมองตามสายตาของฉิงอี๋ พอเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็หันกลับมาพูดกับนางด้วยเสียงเบา
“แบบนี้กระมังที่เจ้ารู้สึกอึดอัด แต่ว่านะ ตอนที่จอมยุทธ์มู่กวนไม่อยู่เมืองเฮยหนิงก็มีเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยๆ น่าสงสารคุณชายหลันจริงๆ”
“บ่อยเลยหรือ” นางย้อนถาม
“บ่อยเลย” คุณชายเฉินบอก
“แล้วสำนักสราญเมฆาทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ปกป้องคน” ฉิงอี๋ถาม แต่ในใจกากบาทตัวแดงๆ ไว้บนหน้าบุคคลสำคัญไว้แล้ว
กลับบ้านไปจะเล่นงานท่านพ่อกับพี่ชายให้หนัก โทษฐานไม่ยอมดูแลคนงาม!
“สำนักสราญเมฆายังคงดูแลชาวเมืองเฮยหนิงอย่างดี แต่เจ้าคิดดูนะ มดแมลงรอบตัวคุณชายหลันมิใช่น้อยๆ เช่นนี้จอมยุทธ์มู่กวนอย่าถือโทษโกรธบิดากับพี่ชายเจ้าเลย”
หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ สาวน้อยสาวใหญ่ล้วนมองหลันเซินเหมือนอยากกลืนกินลงท้องทุกวัน แค่เขาเอาตัวรอดและครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องมาได้ทุกวันนี้ก็ประเสริฐมากแล้ว ความจริงคุณชายเฉินอยากพูดคำนี้มากกว่า
“หึ!”
ฉิงอี๋แค่นเสียงขึ้นจมูก พอเห็นชายทางใต้คนนั้นยื่นมือจะแตะสัมผัสคนงาม นางก็ตบโต๊ะเสียงดังปัง! แล้วเหินทะยานเข้าไปยืนข้างๆ หลันเซิน มือหนึ่งก็โอบเอวชายหนุ่มแล้วดึงเข้ามาหาตัว
นางไม่สนใจว่าหลันเซินจะพูดอย่างไร หรือคนในโรงน้ำชาหอมหมื่นลี้จะคิดอย่างไร ฉิงอี๋รู้เพียงว่านางทำไปตามสัญชาตญาณทั้งสิ้น
“เจ้า...!” หลันเซินส่งเสียงเอ็ด
ฉิงอี๋เชิดหน้า ประกาศต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางฮึกเหิม
“คนผู้นี้เป็นของข้า ห้ามเจ้าแตะต้อง!”
มิเพียงเท่านั้น นางยังหันไปถลึงตาใส่ชายหนุ่มจากแดนใต้
เวลานี้เอง ไม่เพียงแค่หลันเซินกับชายหนุ่มแดนใต้ตระหนกตกใจกับคำพูดของฉิงอี๋ คนในโรงน้ำชาทั้งหลายล้วนเบิกตาโตด้วยความตะลึงแล้ว!