บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 แผนชิงหัวใจคนงาม

เรื่องที่ฉิงอี๋โอบเอวหลันเซินพร้อมประกาศต่อหน้าทุกคนว่า หลันเซินเป็นของตนด้วยท่าทางฮึกเหิม ทำเอาคนในเมืองเฮยหนิงต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างออกรส

มิหนำซ้ำ ยังมีคนใจกล้ากระโดดเข้าไปสอบถามเจ้าสำนักเหยาเซียวว่า ‘บุตรชายคนเล็กท่านจะแต่งสะใภ้แซ่หลันจริงหรือ’ นั่นเล่นเอาเหยาเซียวถลึงตาใส่คนถามด้วยความโมโห รีบถกเถียงกลับอย่างเดือดดาลว่า ‘บุตรชายคนเล็กที่ไหน ฉิงอี๋คือบุตรสาวข้า!’

ได้ยินคำตอบของเจ้าสำนักใหญ่ คนผู้นั้นแสดงสีหน้าตะลึงยิ่งกว่าเหยาเซียวก่อนหน้านั้นหลายเท่า ‘ไอ้หยา! เช่นนั้นบุตรสาวคนเล็กท่านก็อยากแต่งสะใภ้แซ่หลันเข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ สตรีกับสตรีจะสร้างเด็กตัวขาวจ้ำม่ำได้อย่างไร’

เดือดร้อนเหยาเซียวต้องกุมขมับวิ่งกลับมาถามบุตรสาวให้รู้ความ

“ฉิงอี๋ นี่เจ้าจะแต่งหลันเซินเข้าตระกูลมู่กวนเราจริงหรือ” น้ำเสียงของเหยาเซียวแทบบอกอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าเขายินดีหรือไม่ยินดีกันแน่

“เจ้านี่นะ...เจ้า...”

สุดท้าย เหยาเซียวก็พูดอะไรไม่ออก

ฉิงอี๋นั่งปอกเปลือกส้มบนสนามหญ้าสีเขียวอยู่ข้างๆ ลานฝึก ขาข้างหนึ่งชันเข่า ส่วนขาอีกข้างเหยียดตรง ลักษณะท่าทางของนางคล้ายบุรุษเจ้าสำราญจริงๆ นั่นแหละ

“ท่านพ่อจะบอกว่าข้าทำเรื่องงามหน้าหรือ” นางพูดโดยไม่แหงนหน้ามองบิดาที่ยืนค้ำศีรษะ

“ใครว่าล่ะ” เหยาเซียวตะเบ็งเสียงพูด “ข้าจะบอกว่าเจ้าตาถึงยิ่งนัก!”

ท้ายประโยคเหยาเซียวพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าบิดาก็เห็นพ้อง ฉิงอี๋จึงแหงนหน้ายิ้มกว้างแล้วชูนิ้วโป้งให้

“ท่านพ่อก็เห็นด้วยกับข้าใช่หรือไม่ จริงๆ แล้วข้าเพิ่งรู้ตัวเมื่อเร็วๆ นี้เอง หากพี่ใหญ่ไม่บอก ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาข้าปกป้องหลันเซินเพราะเหตุใด”

“แล้วเพราะเหตุใด” บิดาถามกลับ

“ก็เพราะข้าอยากครอบครองคนงามน่ะสิ!”

“ดีมาก แบบนี้สิถึงจะเป็นลูกสาวของข้า เหยาเซียว” เหยาเซียวยิ้มร่า ก่อนจะนั่งแหมะข้างๆ ลูกสาว “พูดก็พูดเถอะ แต่ก่อนที่ข้าเข้าใจผิดคิดว่าหลันเซินคือเด็กผู้หญิง ข้าเคยคิดจะหมั้นเด็กคนนั้นให้กับพี่ชายเจ้า คิดว่าในเมืองเฮยหนิงไม่มีตระกูลใดเหมาะสมกับตระกูลมู่กวนนอกจากตระกูลหลันอีกแล้ว...”

“ท่านพ่อ!” ฉิงอี๋พูดแทรกบิดาทั้งที่ยังมีส้มอยู่เต็มปาก เสียงของนางจึงดังอู้อี้ “หลันเซินต้องเป็นของข้า ไม่ใช่ของพี่ใหญ่เสียหน่อย”

เหยาเซียวเดาะเสียงทำเสียงจิจ๊ะก่อนว่า “ข้ายังพูดไม่จบ ถึงตอนแรกข้าจะหมายตาหลันเซินมาเป็นสะใภ้ ภายหลังพอรู้ว่าเขาคือบุรุษ ซ้ำยังเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลหลัน ข้าก็รู้สึกหมดหวังแล้วจริงๆ ถึงเจ้าจะปกป้องเขา แต่เจ้ากลับชอบท่องยุทธภพมากกว่า ข้ายังคิดว่าเจ้าจะไม่สนใจเรื่องแต่งงานแล้วเสียอีก แต่ตอนนี้ พ่อของเจ้าสบายใจแล้ว”

ฉิงอี๋ยัดส้มเข้าปากอีกคำ “ใช่ว่าข้าต้องการเขาแล้วเขาจะมาเป็นของข้า หลันเซินเหมือนเกลียดข้าเข้าให้แล้วน่ะสิท่านพ่อ”

“เด็กโง่ เขาเกลียดเจ้า เจ้าก็แค่พยายามคว้าหัวใจเขามาให้ได้เท่านั้นเอง” ท้ายประโยค เหยาเซียวยังทำท่าเอื้อมมือออกไปตรงหน้า แล้วไขว่คว้าอากาศกลับมา ทำเหมือนว่าอากาศนั้นก็คือหัวใจของหลันเซิน

ฉิงอี๋เบิกตามองอากาศที่บิดาไขว่คว้ากลับมา สักครู่หนึ่ง นางถึงมีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา

“ท่านพ่อ แล้วข้าต้องทำอย่างไรถึงจะคว้าหัวใจของหลันเซินมาได้”

เหยาเซียวหัวเราะหึๆ ขึ้นมาทันใด ทั้งสีหน้าและรอยยิ้มมีเลศนัยแบบแปลกๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาป้องปาก กระซิบบอกบุตรสาว

“รู้กันแต่เราพ่อลูกนะ สมัยก่อนที่ข้ารู้จักแม่ของเจ้า ข้าเคยเกี้ยวพาราสีนางหลายต่อหลายครั้ง แต่จนใจที่แม่เจ้าใจแข็ง ข้าเลยตื๊อนางไม่สำเร็จสักที สุดท้ายข้าจึงใช้ไม้เด็ด ให้สหายในสำนักสราญเมฆาปลอมตัวเป็นโจรเข้าไปลักพาตัวนาง จากนั้น ข้าก็เข้าไปช่วยเหลือแม่เจ้าจนนางเกิดความประทับใจ เอาอย่างนี้ เจ้าก็ทำอย่างเดียวกับพ่อ หลันเซินคนนั้นไม่มีทางไม่ประทับใจเจ้าหรอก”

“ดียิ่ง!” ฉิงอี๋แทบจะปรบมือรัวๆ แต่ติดตรงที่นางยังถือส้มอีกลูกไว้

พูดคุยกับบิดาเรื่องวางแผนชิงหัวใจ ‘ว่าที่เขยแซ่หลัน’ อยู่นานสองนาน ฉิงอี๋เดินยิ้มกว้างเข้าไปหาสหายของนางกลุ่มหนึ่ง หรือก็คือศิษย์สำนักสราญเมฆานั่นเอง

พูดไปแล้ว สมัยเด็กนอกจากฝึกฝนวรยุทธ์ร่วมกับสหายกลุ่มนี้ ฉิงอี๋ยังเคยชวนพวกเขาออกนอกสำนักเพื่อวิ่งเล่น บางครั้งก็ชวนกันไปยิงนกตกปลา และยังถูกลงโทษด้วยกันหลังจากกลับเข้าสำนัก ดังนั้น สหายกลุ่มนี้จึงถือว่าเป็นสหายคนสำคัญของฉิงอี๋

เห็นพวกเขานั่งพักเหนื่อยหลังจากฝึกฝนวิชาหมัดมวยในตอนเช้า นางทิ้งตัวนั่งลงระหว่างกลางสหายที่มีชื่อว่า ‘อาฮุ่ย’ ผู้มีใบหน้าเซ่อซ่า แต่กำลังภายในกลับแข็งกร้าวดุดัน และ ‘อามู่’ ผู้มีอุปนิสัยแข็งเหมือนท่อนไม้ ส่วน ‘อาหรง’ ผู้เพียบพร้อมนั้นไม่อยู่ เพราะเขาเดินทางกลับบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน

อาหรงไม่ใช่เด็กกำพร้าที่ท่านพ่อของนางเก็บมาเลี้ยงเหมือนอย่างอาฮุ่ยกับอามู่ ดังนั้นในแต่ละปี อาหรงจะเดินทางกลับบ้านหนึ่งถึงสองครั้ง

หลังจากฉิงอี๋นั่งลงข้างๆ พวกเขาดังตุบ อาฮุ่ยเป็นคนแรกที่สะดุ้ง ก่อนจะมองนางด้วยใบหน้าเซ่อๆ ซ่าๆ จากนั้นตะโกนว่า

“ฉิงอี๋นี่ ฉิงอี๋!”

“อะไรกัน ข้ากลับสำนักมาตั้งหลายวันแล้ว เจ้าเพิ่งดีใจหรือ” ฉิงอี๋พูดหยอกล้อ

“ก็หลังจากเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าก็วุ่นวายทุกวันเลยนี่” อาฮุ่ยบอกอย่างตัดพ้อ

ฉิงอี๋ยิ้มขอโทษให้กับอาฮุ่ย แล้วหันมองอามู่ อีกฝ่ายมองนางด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตามีประกายราวกับจะบอกว่า ‘ข้าดีใจที่เจ้ากลับมาสำนักแล้ว’ ดังนั้น นางจึงใช้หัวไหล่ชนกับหัวไหล่ของอามู่เป็นการทักทายทีหนึ่ง

“นี่ ข้ามีเรื่องสนุกๆ ให้พวกเจ้าทำด้วย” นางเปรยขึ้นมา แล้วเว้นช่วงเพื่อสังเกตสีหน้าของสหายทั้งสอง

อาฮุ่ยผู้เซ่อซ่าพยักหัวถี่ๆ เหมือนนกจิกแมลง ส่วนอามู่เบิกตาแสดงออกว่าสนใจเรื่องที่นางกำลังจะพูดต่อจากนี้

เมื่อเห็นพวกเขาสนใจเรื่องสนุกๆ ฉิงอี๋จึงกระดิกนิ้วให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดถึงแผนการที่นางได้วางเอาไว้

ระหว่างนั้น อาฮุ่ยจะพยักหน้าเป็นพักๆ ถามนั่นถามนี่ราวกับคำที่นางพูดไปนั้นไม่ได้เข้าหัวอีกฝ่ายเลย ผิดกับอามู่ที่พูดว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

ฉิงอี๋พูดแผนการทั้งหมดครบแล้ว นางตบบ่าสหายทั้งสอง ในใจก็คาดหวังว่าแผนนี้จะสามารถชิงหัวใจคนงามมาได้สำเร็จ...

หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นกระมัง!

ช่วงหัวค่ำ หลังจากหลันเซินกลับเข้าเรือนของตน เขาจะมีเวลามานั่งจิบชาในสวนเพื่อผ่อนคลายปัญหาต่างๆ ในแต่ละวัน

กลิ่นบุปผาในสวนหอมรื่น สายลมพัดเย็น อีกทั้งบรรยากาศรอบด้านเงียบสงบยิ่งนัก สงบเงียบเสียจนอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้

ขณะนั่งจิบชาชื่นชมบรรยากาศในสวน เสียงพึบพับดังขึ้นไม่ไกลนัก ก่อนที่เบื้องหน้าจะปรากฏเงาร่างสีดำสองสาย อีกทั้งใบหน้าของผู้บุกรุกยังปิดบังด้วยผ้าสีดำ

หลันเซินผงะอึ้ง พลันนั้นเขาได้ยินหนึ่งในสองคนชุดดำพูดด้วยเสียงแหลมๆ เหมือนถูกบีบจมูก

“เป็นคนงามสมคำร่ำลือจริงๆ”

ในเมื่อพูดเช่นนั้นแสดงว่าคนชุดดำทั้งสองไม่ใช่คนเมืองเฮยหนิงใช่หรือไม่ หลันเซินตั้งคำถาม พร้อมกับมองคนชุดดำทั้งสองอย่างระแวง

ตั้งแต่เล็กจนโต หลันเซินไม่เคยออกจากเมืองเฮยหนิงมาก่อน แม้มีบ้างที่ทั้งชายและหญิงในเมืองเฮยหนิงตามตื๊อเขาจนเกิดความรำคาญ แต่นอกจากนั้นก็ไม่เคยสร้างอันตรายใดๆ ที่มีก็แต่คนต่างถิ่นที่ต่อสู้แย่งชิงเขาตามท้องถนน ทว่าไม่เคยมีใครบุกรุกเข้ามาถึงบ้านตระกูลหลัน

ระหว่างหลันเซินคิดหาทางหนี ชายชุดดำทั้งสองเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว

หลันเซินลุกขึ้นจากเก้าอี้หินอ่อน ก้าวถอยหลังช้าๆ และพยายามไม่ตื่นตระหนกเกินเหตุ

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”

“ก็พาเจ้าไปอย่างไรล่ะ” ยังคงเป็นเสียงบีบแหลม

“ทะ...ทำไมไม่ต่อรองเรื่องเงินแทนที่จะจับข้าไปล่ะ ปล้นเงินจะไม่คุ้มกว่าหรือ”

“ไม่ต้องการเงิน”

คราวนี้ไม่ใช่คนที่มีเสียงแหลมพูด แต่เป็นชายชุดดำที่อยู่ข้างๆ กัน น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง ท่าทางก็แข็งกระด้างเหมือนท่อนไม้

ถ้าฝ่ายนั้นไม่ต้องการเงิน คราวนี้ก็ต่อรองยากแล้ว! หลันเซินคิดอย่างผวา

ตระกูลหลันเป็นตระกูลวาณิชมาหลายรุ่น ผู้สืบทอดตระกูลล้วนเก่งการคำนวณ แต่เรื่องวรยุทธ์กลับเป็นศูนย์ ดังนั้นอย่าหวังว่าหลันเซินจะมีวิชาไว้ป้องกันตัว แค่หนีเอาตัวรอดให้ได้ยังยากเลย

“พวกเจ้าไม่อยากได้เงินจริงหรือ เงินสำคัญมากไม่ใช่หรือ ข้าจะให้เงินพวกเจ้า แต่อย่าคิดทำอะไรข้าเด็ดขาด” หลันเซินบอก

“ไม่ได้หรอก ข้าไม่ได้มาเพื่อชิงเงิน แต่มาชิงตัวคนงามต่างหาก” คราวนี้เป็นเสียงทุ้มและคำพูดซื่อๆ

หลันเซินพยายามมองว่าเป็นเสียงใคร เสียงของคนตัวเล็กกว่าหรือคนที่ยืนนิ่งเหมือนท่อนไม้ ถ้าเป็นเสียงของคนที่ตัวเล็กกว่า ตั้งแต่แรก เขาจะพูดด้วยเสียงแหลมเหมือนถูกบีบจมูกไม่ใช่หรือ...

พอคิดตระหนักได้ถึงบางสิ่ง หลันเซินย่นคิ้ว ทว่าก็ยังไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป

“จับตัว” ชายที่ยืนนิ่งเหมือนท่อนไม้พูด นั่นทำให้หลันเซินกลับมาตระหนกอีกครั้ง

พอได้รับคำสั่ง ชายชุดดำที่ตัวเล็กกว่าก็พุ่งเข้ามาทางหลันเซินทันที

หลันเซินไม่ทันได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ เขาถูกปิดปากและถูกจับมัด ก่อนทุกอย่างจะพลิกคว่ำ กลับหัวกลับหาง หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกวิงเวียนเพราะอีกฝ่ายใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยาน กระโดดข้ามกำแพงออกจากบ้านตระกูลหลัน

คนไม่เคยฝึกวรยุทธ์ พอตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมปรับตัวไม่ทัน หลันเซินแทบอาเจียนออกมา แต่การทำแบบนั้นมันน่าอาย เขาจึงอดทนกัดปาก ปล่อยให้อีกฝ่ายพาไปแต่โดยดี

หวังว่าคนของทางการหรือไม่ก็...คนของสำนักสราญเมฆาจะช่วยได้ทันก่อนเขาจะตกเป็นสามีของใครก็ไม่รู้!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel