บทย่อ
‘หลันเซิน’ ไม่ชอบ ‘มู่กวนฉิงอี๋’ เพราะนอกจากนางจะมีนิสัยกระโดกกระเดกไม่สมกับเป็นสตรี นางยังเข้าใจผิด เรียกเขาว่า “พี่สาวคนงามอย่างนั้น” “พี่สาวคนงามอย่างนี้” คนเขาเป็นบุรุษอกสามศอก แต่กลับถูกม้าป่าอย่างนางทะนุถนอมราวกับเป็นบุปผาในเรือนหอ สำหรับบุรุษผู้หนึ่งแล้ว เรื่องแบบนี้มันเรื่องน่าอายมากเลยไม่ใช่หรือไง!
บทนำ
ท่ามกลางเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดและความอึกทึกรอบด้าน ‘มู่กวนฉิงอี๋’ ยืนมองคนงามซึ่งอยู่ตรงกลางกลุ่มจอมยุทธ์ทั้งหลายที่กำลังเงื้ออาวุธฟาดฟันอย่างไม่มีใครยอมใคร
พอเห็นคนงามตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย คมอาวุธสะท้อนวูบวาบรอบตัว แม้เป้าหมายไม่ได้มุ่งร้ายไปที่คนงาม แต่ถึงอย่างนั้น ฉิงอี๋ก็ยังอกสั่นขวัญแขวน
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ‘พี่สาวคนงาม’ เหลือคณา เกรงว่าคมอาวุธเหล่านั้นจะพลาดพลั้งบาดผิวพรรณขาวเนียนละเอียดเข้า ฉิงอี๋จึงใช้วิชาตัวเบาของสำนักสราญเมฆาโผนทะยานขึ้นสูง ทั้งเหยียบไหล่ทั้งข้ามศีรษะเหล่าจอมยุทธ์ที่กำลังต่อสู้กันอุตลุด โดยมีเป้าหมายคือช่วยเหลือคนงามออกจากวงล้อม
เมื่อปลายเท้าของฉิงอี๋แตะลงพื้นตรงหน้าคนงาม นางรีบตะโกนถามด้วยความร้อนใจทันที
“พี่สาวคนงาม ท่านเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า!”
มิคาดว่า พี่สาวคนงามจะส่งตาค้อนตาคว่ำใส่
ฉิงอี๋ผงะ
เอ๊ะ!? ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า นางก็แค่ต้องการช่วยเหลือพี่สาว แต่ทำไมถึงกลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายโกรธไปเสียได้
พอคิดว่าตนทำให้คนงามโกรธเข้าให้แล้ว ฉิงอี๋ยิ้มแหย พร้อมกับตัดสินใจแน่วแน่ ต่อให้คนงามไม่เต็มใจ นางก็ยังต้องพาพี่สาวคนงามออกจากสถานการณ์อันตรายนี้ให้ได้เสียก่อน
พอตัดสินใจได้แล้ว ฉิงอี๋คว้าหมับที่แขนของคนงามชุดขาวด้วยท่าทางห้าวหาญ แม้ว่าพวกตนจะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่ผิวของพี่สาวเนียนนุ่มกว่าที่เห็นมาก ซ้ำเรียบลื่นยิ่งกว่านางเสียอีก...อ่า ไม่ใช่สิ นางต้องพาพี่สาวคนงามออกจากตรงนี้ นี่คือจุดประสงค์เดิม
“พี่สาวคนงาม อย่าหาว่าข้าล่วงเกินเลยนะ แต่ข้าต้องพาท่านออกไปก่อน ตรงนี้อันตรายมาก”
เมื่อพูดจบ ฉิงอี๋ย่อตัวลง ใช้สองแขนแบกพี่สาวคนงามขึ้นพาดบ่า แล้วเหินทะยานออกจากหอเหมันต์ ด้วยการเหยียบบ่าคนนั้น กระโดดข้ามหัวคนนี้ ทำเหมือนอย่างกับตอนมาไม่มีผิดเพี้ยน ทิ้งความวุ่นวายของเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายไว้เบื้องหลัง
ฉิงอี๋แม้เป็นสตรีซึ่งอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ แต่บิดาของนางเป็นถึงเจ้าสำนักสราญเมฆา ซ้ำยังมีพี่ชายมากความสามารถ นางจึงฝึกฝนวรยุทธ์และกำลังภายในของสำนักมาตั้งแต่เด็กๆ โดยมีบิดาและพี่ชายเป็นต้นแบบ
ด้วยคลุกคลีกับบุรุษตั้งแต่เล็กจนโต มิหนำซ้ำ ฉิงอี๋ที่ฝึกฝนวรยุทธ์จนเชี่ยวชาญ สามารถแบกข้าวสารได้หลายๆ กระสอบในคราเดียว จึงแยกแยะไม่ออกว่าระหว่างสตรีกับบุรุษมีน้ำหนักต่างกันมากน้อยแค่ไหน
นอกจากฉิงอี๋จะมีพละกำลังมากกว่าบุรุษทั่วไปแล้ว ทั้งยังมีความสูงมากกว่าสตรีด้วยกัน ดังนั้นการอุ้มพี่สาวคนงามที่ตัวสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ ถึงแม้จะดูแปลกตาไปบ้าง แต่นางกลับไม่รู้สึกหนักเลยสักนิด ตรงกันข้าม การถึงเนื้อถึงตัวคนงามเช่นนี้ค่อนข้างทำให้นางมีความสุข ติดก็แต่ว่า...หน้าอกของคนงามยามพาดบนบ่าไม่นุ่มนิ่มอย่างที่คิด!
ทว่า ตราบใดที่ร่างกายของคนงามมีกลิ่นหอม ความเรียบลื่นของผิวพรรณ ทำให้คนแบกรู้สึกเหมือนล่องลอยบนสวรรค์ เพียงแค่นี้ก็๕มค่ากับความช่วยเหลือ
ดีเหลือเกิน การใกล้ชิดคนงามช่างดีอะไรเช่นนี้...
เฮ้อ แม้จะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่คนงามยังไงก็เป็นคนงาม ย่อมมองแล้วรื่นหูรื่นตามากกว่าอยู่ดี
แต่เรื่องเหล่านั้นช่างมันก่อนเถอะ นางออกท่องยุทธภพไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาสองปีครึ่ง วันนี้ เท้าเพิ่งเหยียบเหมืองเฮยหนิง ตั้งใจยลโฉมคนงามที่หอเหมันต์ก่อนค่อยกลับสำนักสราญเมฆา มิคาดว่าจะพบเห็นความวุ่นวายนี้เสียก่อน
หอเหมันต์คือโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในเมืองเฮยหนิง และยังเป็นแหล่งการค้าสำคัญของตระกูลหลัน ถ้าให้ฉิงอี๋เดาถึงสาเหตุของการที่เหล่าจอมยุทธ์ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย คงไม่พ้นเรื่องที่พวกเขาถกเถียงกันเพื่อแย่งชิงคนงาม เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องจึงลงไม้ลงมือและพังร้านของผู้อื่น
คิดแล้ว ฉิงอี๋ก็รู้สึกโมโหแทนพี่สาวคนงาม
ฉิงอี๋วางคนงามในอ้อมแขนลง ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในหอเหมันต์อีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึก ตอนตะเบ็งเสียงออกมา นางใช้กำลังภายในหนึ่งในสี่ส่วน
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงดังอื้ออึงทำเอาเหล่าจอมยุทธ์ที่ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งถึงกับหยุดชะงัก บางคนกำลังภายในไม่กล้าแกร่งพอต้องยกมือขึ้นปิดหูด้วยสีหน้าทรมาน
“อ๊าก! อะไรกันเนี่ย อะไรกันเนี่ย”
“กำลังภายในน่ากลัวเหลือเกิน!”
ฉิงอี๋ส่ายหน้ามองความอ่อนแอของจอมยุทธ์ทั้งหลาย เมื่อครู่เพิ่งทำให้โรงเตี๊ยมของผู้อื่นพังพินาศ ตอนนี้กลับไร้ความสามารถเหมือนไก่อ่อน
เฮ้อ...น่าสมเพชเสียจริง อ่อนแอขนาดนี้ หากแย่งชิงพี่สาวคนงามไปได้ ต่อไปจะเอากำลังที่ไหนมาปกป้องภรรยาของตนเล่า ฉิงอี๋คิดพลางส่ายหน้า หากก็นางยืดอกตะโกนสั่งสอนเหล่าจอมยุทธ์ต่อ
“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าเมืองเฮยหนิงมีสำนักสราญเมฆาคอยดูแล มาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ หรือว่าไม่เห็นเจ้าสำนักสราญเมฆาอยู่ในสายตา ดี! ข้าจดจำหน้าพวกเจ้าได้ทั้งหมดทุกคนแล้ว รู้ด้วยว่าพวกเจ้ามาจากสำนักใด ถ้าไม่อยากให้ข้าบันทึกพวกเจ้าในบัญชีดำก็ไสหัวออกไป อย่ากลับมาสร้างความวุ่นวายที่นี่อีก”
ตอนพูด ฉิงอี๋กวาดตามองจอมยุทธ์เหล่านั้นทีละคน
ผู้ท่องยุทธภพหรือคนที่ฉลาดสักหน่อยจะรู้ว่าสำนักสราญเมฆาไม่ได้มีเพียงวรยุทธ์ล้ำเลิศ บุตรชายของเจ้าสำนักยังถูกวางให้เป็นจ้าวยุทธภพลำดับต่อไป ดีไม่ดี ผู้ที่ตะโกนสั่งสอนพวกตนอยู่ตอนนี้อาจจะเป็น ‘ว่าที่จ้าวยุทธภพ’ ก็เป็นได้!
พอคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายก้มหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่
ฉิงอี๋โบกมือไม่ถือสา เพราะปกตินางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย นิสัยค่อนไปทางใจกว้างมากกว่า พอโบกมือให้พวกเขา กระแสลมพัดวูบผ่านตัวนางทีละสายสองสาย ไม่นาน ในหอเหมันต์ก็ไม่เหลือผู้ใดนอกจากนาง
ฉิงอี๋เดินยืดอกยิ้มไปทางคนงาม เพราะไม่เห็นสายตาไม่พอใจ นางจึงพูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเป็นธรรมชาติ
“พี่สาวคนงาม ท่านปลอดภัยแล้ว อา...ไม่ต้องขอบคุณข้าก็ได้ ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องช่วยเหลือคนอ่อนแอที่กำลังเดือดร้อนอยู่แล้ว”
พูดแล้วก็เหมือนนึกอะไรออก ฉิงอี๋รีบรัวเสียงถามต่อ มิหนำซ้ำยังจับแขนของคนงามขึ้นมาแล้วเลิกชายแขนเสื้อขึ้น สำรวจทีละจุด หาดูว่าบนผิวพรรณขาวละเอียดนี้มีรอยบอบช้ำตรงไหนหรือไม่ ไหนๆ พวกเราก็เป็นสตรีเหมือนกัน ทำแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหากระมัง
“ว่าแต่ว่า พี่สาวคนงามบาดเจ็บตรงไหนไหม ถ้าบาดเจ็บตรงไหนรีบบอกข้าเลยนะ ข้าจะพาพี่สาวไปหาหมอ สำนักสราญเมฆามีหมอมากความ...”
ฉิงอี๋พูดไม่ทันจบดี ความหวังดีของนางก็ถูกคนงามขว้างทิ้งและกระทืบซ้ำๆ
พี่สาวคนงามดึงแขนกลับด้วยท่าทีรังเกียจ และยังสะบัดหน้าไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าฉิงอี๋เป็นตัวประหลาดที่คนงามไม่อยากเห็น
ฉิงอี๋กะพริบตาปริบๆ
เอ๊ะ!?
ข้าทำอะไรผิด? เหตุใดคนงามถึงโกรธข้า (อีก) แล้วเล่า!