บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 คนงามในความทรงจำ

จำได้ว่าสมัยเด็ก อาจสักสิบกว่าปีได้กระมัง มู่กวนฉิงอี๋เคยช่วยเหลือคนงามตระกูลหลันครั้งหนึ่ง นับจากนั้นเป็นต้นมา นางจะเข้าไปคลุกคลีกับคนงามโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอ ทำราวกับว่าเป็นผู้กล้าช่วยหญิงงาม หลังจากนั้นก็จะปลอบขวัญคนงามด้วยคำพูดทำนองว่า ‘พี่สาวคนงามอย่ากลัวไปเลย ข้าจะปกป้องท่านเอง!’ หรือไม่ก็ ‘พี่สาวคนงาม ถึงข้าไม่ใช่บุรุษ แต่วรยุทธ์ของข้าล้ำเลิศไม่แพ้ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ ข้าสามารถปกป้องพี่สาว รวมถึงชาวเมืองเฮยหนิงได้สบายๆ อยู่แล้ว เชื่อข้าสิ!’

และทุกครั้งที่ฉิงอี๋มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนงาม นางก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า นางกับพี่สาวคนงามต้องมีวาสนาต่อกันแน่ๆ

การที่ฉิงอี๋มีความเชื่อมั่นเช่นนั้น มิใช่ว่านางเปลี่ยนรสนิยมหันมาชมชอบสตรีด้วยกัน แต่นางอดชื่นชมผู้มีใบหน้างามงดและมีผิวพรรณผ่องใสไม่ได้ โดยเฉพาะพี่สาวคนงามตระกูลหลัน อาจเพราะถึงจะเป็นสตรีเหมือนกัน แต่นางกลับแตกต่างจากพี่สาวคนงามอย่างสิ้นเชิง รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ หรือแม้แต่ความอ่อนหวาน ฉิงอี๋เทียบกับพี่สาวตระกูลหลันไม่ติดเลยสักนิด

ว่าก็ว่าเถอะ ตระกูลหลันน่าจะจ้างองครักษ์มากฝีมือคุ้มครองบุตรสาวคนงามเสียหน่อยนะ เพราะทุกครั้งที่คนต่างถิ่นเข้ามาในเมืองเฮยหนิง เมื่อพบพานพี่สาวคนงามทีไร เรื่องวุ่นวายมักตามมาด้วยเสมอ

ฉิงอี๋ทอดถอนใจให้ความงามล้ำของพี่สาวตระกูลหลัน บางครั้งอดใจสั่นไหวกับคนงามไม่ได้ และเมื่อมีความคิดเช่นนั้นผุดเข้ามาในหัว นางก็ยั้งปากและการกระทำของตัวเองไม่อยู่ เดินดุ่มๆ เข้าไปหาก่อนพูดในสิ่งที่คิดออกมาทันที

“พี่สาวงดงาม คราวหน้าคราวหลังหากจะออกบ้านละก็ หาอะไรมาปิดบังใบหน้าก็ดีนะ หากเกิดอันตรายกับท่านขึ้นมา ข้าคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ...ไม่ใช่สิ ชื่อเสียงของเมืองเฮยหนิงคงย่ำแย่เพราะปกป้องชาวเมืองของตนไม่ได้ ว่าแต่สำนักสราญเมฆาทำอะไรกันอยู่ เหตุใดไม่ปกป้องผู้เดือดร้อน...อ๊ะ พี่สาวคนงาม เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้นอีกแล้วเล่า”

ฉิงอี๋ยังพูดประโยคสุดท้ายไม่ทันจบดี ก็ถูกคนงามขึงตาใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว

เฮ้อ...แม้นางจะคอยปกป้องคนงามสุดกำลัง สุดท้ายมิวายโดนคนงามโกรธร่ำไป เพราะอะไรกันนะ

ทว่าหลังจากขึงตาใส่ด้วยความโกรธ คนงามชุดขาวกลับเดินผ่านฉิงอี๋ไปด้วยความเย็นชา ไม่แม้แต่จะสนใจนางสักนิด

จังหวะที่คนงามกำลังเดินผ่านไปนั้น ฉิงอี๋ที่รู้สึกไม่สบายใจรีบคว้าจับข้อมือของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอย่างจนใจ

“พี่สาวคนงามโกรธข้าหรือ ทำอย่างไร ข้ากับท่านถึงจะเป็นเพื่อนกันได้”

ตั้งแต่เด็กจนโต พี่สาวคนงามไม่เคยพูดคุยกับนางดีๆ เลยสักครั้ง ยิ่งนางช่วยเหลืออีกฝ่าย กลับยิ่งทำให้คนงามไม่พอใจมากขึ้น ฉิงอี๋ไม่เข้าใจ ทว่า บิดาสอนสั่งเสมอว่าจอมยุทธ์ต้องใจกว้าง เพราะอย่างนั้น ตลอดมาฉิงอี๋จึงทำได้แค่ยิ้มให้คนงามอย่างถือสา ทุกครั้งที่อีกฝ่ายแสดงความโกรธ

คนงามมองมือที่ถูกคว้าจับแวบหนึ่ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือ เปลี่ยนมาจับมือของฉิงอี๋ จากนั้นก็ดึงมือของนางไปแตะที่ลำคอของตัวเอง

“ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าข้าเป็นบุรุษ จับลูกกระเดือกข้าดู!”

แม้ว่าคนงามจะพูดด้วยความไม่พอใจ หากเสียงทุ้มนั้นกลับไพเราะน่าฟัง ทำเอาฉิงอี๋เคลิ้มลอย ไม่เพียงแค่น้ำเสียง ผิวพรรณแสนนุ่มลื่น น่าสัมผัสไปเสียทุกส่วน

ตอนนี้ ในหัวของฉิงอี๋ว่างเปล่าไม่รู้สึกตัวเลยว่าฝ่ายนั้นพูดถึงเรื่องอะไร ถึงอย่างนั้น มือของนางยังคงจับๆ ลูบๆ บนลำคอขาวผุดผ่อง

อืม...เนียนลื่นดีจริง!

ฉิงอี๋เคลิบเคลิ้มกับผิวพรรณของคนงาม ซ้ำยังลูบก้อนแข็งๆ บนลำคอซ้ำไปซ้ำมา เหมือนก่อนหน้านี้ คนงามบอกว่ามันคือ ‘ลูกกระเดือก’ ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้น ก้อนแข็งนี้ก็คือลูกกระเดือกสินะ...

เมื่อคิดได้ ฉิงอี๋ชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็ลูบๆ คลำๆ ใหม่เพื่อให้แน่ใจ

คนงามมีลูกกระเดือก...?

คนงามมีลูกกระเดือก...!!

ผู้หญิงไม่อาจมีลูกกระเดือกที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่คนงามมี...!!!

พอคิดได้ดังนั้น ฉิงอี๋เบนสายตาจากลูกกระเดือกไปที่ใบหน้าของคนงาม ทั้งที่มือยังลูบคลำบนลำคอของ ‘พี่สาวคนงาม’ ไม่หยุด ไม่ใช่สิ ตอนนี้ นางควรบอกว่า ‘พี่ชายคนงาม’ ถึงจะถูกต้องกว่าใช่หรือไม่

ฉิงอี๋กะพริบตา สติหลุดลอยอย่างไม่รู้ตัว

“ทะ...ทำไมเป็นเช่นนี้”

นางพึมพำพร้อมจ้องมองอีกฝ่าย จ้องแล้วจ้องอีก อีกฝ่ายก็จ้องนางคืน จ้องจนกระทั่งนางเป็นฝ่ายสะดุ้งและได้สติ ก่อนจะรีบชักมือกลับ

“พะ...พี่ชายหรอกหรือ!”

“ข้าย้ำกับเจ้าหลาครั้งแล้ว”

“ไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นพี่ชายจริงๆ หรือ”

พี่ชายคนงามถอนหายใจเฮือกให้กับฉิงอี๋เหมือนจะรำคาญ จากนั้นส่งเสียง “อืม” แล้วก็ผลักมือของนางออกจากลำคอของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปในหอเหมันต์

ฉิงอี๋มองตามร่างงดงามในชุดสีขาว การเยื้องย่างของอีกฝ่ายสง่างามตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียบร้อยและสำรวม แต่...การมองความงามด้วยความคิดที่ว่านั่นคือบุรุษกลับทำให้ฉิงอี๋ถึงกับใบ้รับประทาน ทำอะไรไม่ถูก

ฉิงอี๋ยืนยิ้มเซ่อซ่าอยู่ที่เดิม

‘ไม่จริงน่า คนที่งดงามเช่นนั้นจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไร’

นั่นคือความคิดที่ฉิงอี๋ใช้พูดกับตัวเองมาตลอด ก่อนหน้านั้นใช่ว่าคนงามไม่เคยบอกเสียหน่อยว่าตนเป็นบุรุษ แต่เห็นอย่างนี้ ฉิงอี๋กลับมีความเชื่อเป็นของตัวเอง นางเชื่อว่าบุคคลที่งดงามมากๆ ไม่ว่าอย่างก็ต้องเป็นสตรีเท่านั้น

อีกอย่าง ฉิงอี๋เคยจับมือถือแขนคนงามตระกูลหลันมาแล้ว ความเนียนนุ่ม บวกกับผิวขาวๆ ผิวพรรณแบบนั้นไม่มีเป็นของบุรุษแน่

ถึงอย่างไร ฉิงอี๋ก็เติบโตมาในสำนักของผู้ฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นวิธีแยกแยะบุรุษและสตรีของนางจึงค่อนข้างสุดโต่ง เป็นต้นว่า บุรุษต้องแข็งแกร่ง ส่วนสตรีต้องมีความอ่อนช้อย

ต่อให้คนงามตระกูลหลันย้ำนักย้ำหนาว่าตนเป็นบุรุษ แต่ฉิงอี๋กลับเชื่อในความคิดของตนมากกว่า

ทว่า...พี่สาวคนงามเป็นบุรุษจริงๆ สินะ ถ้าเช่นนั้น หลายปีที่นางเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่สาวคนงาม’ คอยปกป้องและยังพูดเหมือนอีกฝ่ายอ่อนแอยิ่งกว่าสตรี ไม่แปลกที่จะถูกฝ่ายนั้นเกลียด!

‘ข้านี่จริงๆ เลย มีตาแต่ไร้แวว คนโง่เขลาประจำเมืองเฮยหนิงอย่างข้า สมควรอยู่หรอกที่จะถูกคนงามโกรธ’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel