บทที่ 2 ลวนลามคนงาม
ใช่ว่าคนงามไม่เคยปฏิเสธยามถูกฉิงอี๋เรียกว่า ‘พี่สาวคนงามอย่างนั้น’ ‘พี่สาวคนงามอย่างนี้’ ทว่าเรื่องนี้ล้วนมีที่มาที่ไป
ขอเกริ่นก่อนว่า เมืองเฮยหนิงเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางแถบเหนือของแคว้น มีสำนักสราญเมฆาเป็นศูนย์กลาง เจ้าสำนักฝ่ายธรรมะผู้นี้มีนามว่า ‘มู่กวนเหยาเซียว’
มู่กวนเหยาเซียวมีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายมีนามว่า ‘มู่กวนเฮยไป๋’ ส่วนบุตรสาวมีนามว่า ‘มู่กวนฉิงอี๋’
ด้วยเพราะภรรยาของเหยาเซียวเสียชีวิตตั้งแต่บุตรสาวอายุได้เพียงห้าหกขวบ ตัวเขาเดินอยู่บนเส้นทางจอมยุทธ์มาตลอดชีวิต การอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวจึงเป็นงานยาก ยิ่งบ้านหลังนี้ถูกก่อตั้งเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของทางเหนือมาหลายรุ่น ศิษย์สำนักเกินครึ่งคือบุรุษตัวสูงใหญ่ ท่าทางหยาบกระด้าง มู่กวนเหยาเซียวไหนเลยจะกล้าเลี้ยงดูบุตรสาวให้อ่อนแอปวกเปียก คิดเพียงว่าอย่างน้อยๆ บุตรสาวของตนสมควรมีวิชาหมัดมวยไว้ป้องกันตัวบ้าง
หลังจากถ่ายทอดวรยุทธ์ของสำนักให้กับเฮยไป๋ บุตรชายซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนถัดไป เหยาเซียวยังถ่ายทอดวิชาสำนักสราญเมฆาให้กับฉิงอี๋ผู้เป็นบุตรสาวอีกด้วย
เนื่องจากบิดาเป็นถึงเจ้าสำนักใหญ่ ส่วนพี่ชายเป็นจอมยุทธ์มากฝีมืออันดับต้นๆ ในยุทธภพ จากเดิมตั้งใจฝึกฝนวิชาเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง กลายเป็นว่าฉิงอี๋เดินตามเส้นทางของบิดาและพี่ชายเต็มตัว ฝึกฝนวรยุทธ์จนเชี่ยวชาญและแข็งแกร่ง ทังนี้ก็ปกป้องผู้อ่อนแอเหมือนกับบิดาและพี่ชาย
ทว่ายิ่งฉิงอี๋ฝึกฝนวรยุทธ์มากเท่าไร ร่างกายของนางยิ่งมีความแข็งแรง โดยเฉพาะรูปร่างที่สูงกว่าสตรีทั่วไป ผิวพรรณเป็นสีน้ำผึ้ง โครงหน้าคมคายโดดเด่น จมูกโด่ง ฝ่ามือหยาบกร้าน ยามก้าวเดินไร้ความอ่อนช้อย หากกลับคล้ายบุรุษมากกว่า
นอกจากนี้ ฉิงอี๋ยังเป็นคนโผงผางอันเนื่องจากการคลุกคลีกับเหล่าบุรุษในสำนัก ชาวบ้านหลายคนจึงเข้าใจว่านางคือลูกชายคนเล็กของตระกูลมู่กวน หาใช่สตรี
เมื่อแยกแยะไม่ออกถึงความเป็นสตรีและบุรุษ หลายปีมานี้ ฉิงอี๋จึงเข้าใจผิดคิดว่าคนงามตระกูลหลัน หรือก็คือ ‘หลันเซิน’ คนงามในความทรงจำคือสตรี ทั้งที่ผ่านมา นางไม่เคยยอมรับว่าบนโลกนี้จะมีบุรุษสวยหยาดฟ้าได้ยิ่งกว่าสตรีคนไหน ซึ่งดูเหมือนหลันเซินจะเป็นกรณียกเว้น
ระหว่างคิดเรื่องของหลันเซินพร้อมกับเดินไปบนถนนเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้น ฉิงอี๋เห็นว่าคนงามที่ตนคิดถึงเดินผ่านหน้าไปต่อหน้าต่อตา
สวรรค์ต้องไม่ยุติธรรมขนาดไหนถึงมอบความงามเช่นนี้ให้กับบุรุษ ส่วนนางเป็นสตรีแท้ๆ กลับหยาบกระด้างเหมือนสุกรตัวผู้!
ฉิงอี๋หยุดยิ้มเซ่อซ่า หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว นางรีบวิ่งไล่ตามคนงามเพื่อกล่าวคำขอโทษ
“พี่สาว...ไม่ใช่สิ พี่ชายคนงาม ขออภัยจริงๆ ที่ผ่านมาข้าไม่ได้ตั้งใจดูถูกท่าน ท่านอย่าเกลียดข้านะ แต่ท่านงดงามมากจริงๆ ต่อให้พี่ชายคนงามเป็นบุรุษ แต่ความงดงามของท่านมีมากยิ่งกว่าฉางเอ๋อร์บนดวงจันทร์เสียอีก เทียบกันแล้ว ท่านดูข้าสิ ข้าเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังเทียบความงามกับท่านไม่ติด แล้วจะไม่ให้เข้าใจผิด คิดว่าท่านเป็นสตรีได้อย่างไร ท่านว่าจริงไหมล่ะ”
เพราะเป็นคนเปิดเผย มองสถานการณ์ไม่ขาด เมื่อเจอหน้าหลันเซิน บวกกับมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะพูด ฉิงอี๋จึงพูดสิ่งที่คิดออกไปอย่างหมดเปลือกโดยลืมอ่านสีหน้าของอีกฝ่าย
ถึงฉิงอี๋จะพูดเช่นนั้น ในใจยังคงไม่ยอมรับว่าหลันเซินเป็นบุรุษ บางทีก้อนแข็งๆ บนคอของฝ่ายนั้นอาจไม่ใช่ลูกกระเดือกก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ลูกกระเดือกแล้วจะเป็นอะไรล่ะ น้ำที่เขาอมไว้หรือ!? ไม่มีทาง
ความคิดของฉิงอี๋ตอนนี้มีทั้งความขัดแย้งและสับสน เพราะคิดไม่ตก นางจึงยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองแรงๆ แน่นอน ท่าทางของห่ามๆ ของนางล้วนเลียนแบบมาจากบิดา
คนเขาเข้าใจผิดมาหลายปี ให้ยอมรับความจริงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
เมื่อได้ยินฉิงอี๋พูดคำก็คนงามสองคำก็คนงาม ซ้ำยังเป็นกลางถนน ต่อให้ผู้หญิงหยาบกระด้างอย่างนางวิ่งตามมาขอโทษเขาด้วยความจริงใจ แต่การที่นางเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นหญิงงามประจำเมืองเฮยหนิงมาหลายปี และยังพูดจาเหมือนเขาอ่อนแอนักหนา มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
“หึ!”
หลันเซินแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนสะบัดแขนเสื้อก้าวเร็วๆ เข้าไปในหอเหมันต์
“ช้าก่อน”
เห็นว่าเป้าหมายกำลังหนีไปอีกแล้ว ฉิงอี๋รีบถลาเข้าไปคว้าแขนหลันเซินด้วยความเร็วรี่
“ยังจะพูดอะไรอีก ข้าไม่อยากฟัง” หลันเซินหันมาตวาดใส่ฉิงอี๋ด้วยเพราะไม่พอใจ
“พี่สาว...ไม่ๆ ข้าพูดผิด พี่ชายคนงาม สิ่งที่ข้าอยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่ข้ารั้งท่านไว้ก็แค่จะบอกว่า ให้ข้าเข้าไปดูก่อนดีไหมว่าหอเหมันต์ปลอดภัยแล้วจริงๆ หรือไม่” นางบอกเจตนาด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยม
“ไม่ต้อง”
หลันเซินตอบกลับความปรารถนาดีอย่างเย็นชา น่าเสียดายเหลือเกิน แม้เขาจะมีพร้อมทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ขาดคือกำลังภายใน ดังนั้นพอถูกอีกฝ่ายฉุดดึงจึงไม่มีทางสลัดแขนหนีได้ในช่วงเวลาสั้นๆ อีกอย่าง คำพูดที่เหมือนกับว่าเขาอ่อนแอนั่นมันอะไรกัน นี่นางยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเขาเป็นบุรุษ และบุรุษก็มีศักดิ์ศรี
ฉิงอี๋ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือยังคงพูดต่อ “จะว่าไป ข้าสั่งสอนคนหน้าไม่อายไปหมดแล้ว หอเหมันต์ของพี่ชายคนงามก็น่าจะปลอดภัยแล้วละ ถึงอย่างไร พวกเราก็คนเมืองเดียวกัน พี่ชายคนงามอย่าโกรธข้าเลยนะ”
ถ้าคนงามยังโกรธฉิงอี๋อยู่แบบนี้ เห็นทีว่าคืนนี้ นางคงนอนไม่หลับแล้วกระมัง
หลันเซินกุมขมับ สูดหายใจลึกหลายเฮือก ก่อนจะพูดเสียงตะคอก
“เจ้าเลิกยุ่งกับข้าเสียทีเถอะ ข้าขอร้อง”
“ได้ๆ ข้าจะไม่ยุ่งกับคนงามแล้วก็ได้ แต่ท่านต้องห้ามโกรธข้า ถือว่ายื่นหมูยื่นแมวแล้วกัน”
“เกี่ยวอะไรกับการยื่นหมูยื่นแมว เจ้าใช้คำผิดแล้ว อีกอย่าง เลิกเรียกข้าว่าคนงามเสียที!”
“ได้ๆ ข้าจะไม่เรียกท่านว่าคนงามแล้ว”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายโกรธมากแล้วจริงๆ ฉิงอี๋รีบรับปากให้ผ่านๆ ไปก่อน และยังหัวเราะแห้งๆ เพื่อหลบเกลื่อน ตลอดเวลาที่สนทนานางยังคงมองใบหน้างดงามของหลันเซินตรงๆ
สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย!
ไม่ใช่เพราะนางอยากมีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับหลันเซิน แต่คนงามประจำเมืองเฮยหนิงโกรธนางเข้าให้แล้ว นางจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี...
ถึงอย่างนั้น คนงามตระกูลหลันยังคงถลึงตามองฉิงอี๋
นางเอียงศีรษะ ยิ้มด้วยความสงสัย
หลันเซินหลุบตามองแขนที่ยังถูกฉิงอี๋คว้าจับ ก่อนจะพูดเสียงเย็นชาว่า “ปล่อยมือข้าได้แล้วกระมัง”
ตอนนี้เอง ฉิงอี๋เพิ่งตระหนักได้ว่าตนจับแขนอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ไม่ใช่แค่นั้น นิ้วหัวแม่มือยังลูบไล้บนหลังมือและข้อนิ้วเหมือนกำลังลวนลาม
พอตระหนักได้ว่ากำลังทำตัวเลียนแบบศิษย์พี่ในสำนักที่ชอบโอ้โลมสาว ฉิงอี๋รีบปล่อยมือจากหลันเซิน ทว่าในใจลึกๆ กลับนึกเสียดายที่จะไม่ได้ลูบไล้ความนุ่มเนียนของอีกฝ่ายต่อ
“ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้จะล่วงเกินท่าน”
คำพูดชวนเข้าใจผิดนั้นทำเอาหลันเซินขึงตาใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หยาบคาย ต่อไปห้ามเข้าใกล้ข้าอีก!”
หลังหลันเซินตะคอกใส่ฉิงอี๋ เขาก็เดินเข้าไปในหอเหมันต์อย่างไม่เหลียวกลับมามอง
พูดมาได้ว่าล่วงเกิน ตัวเขาเป็นบุรุษ ถ้าหากถูกสตรีล่วงเกินนั่นหมายถึงอะไรล่ะ ใช่ ถูกหยาบเกียรติอย่างไรเล่า!
ทว่า ฉิงอี๋ผู้โง่เขลากลับไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด และหลันเซินโกรธอะไร